“ท่านพ่อ ข้าจะตั้งใจทำงาน ท่านวางใจเถิด ต่อไปหากว่าพี่น้องคนอื่นจากไปไกล พ่อกับแม่ทำใจจากที่นี่ไม่ได้ ลูกก็จะยังอยู่ที่แห่งนี้เพื่อเป็เพื่อนกับท่านทั้งสอง”
เขาแอบพูดจามีเลศนัย เป็การอยู่เป็เพื่อน แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน เป็การเคียงข้างแบบอยู่ร่วมหมู่บ้านเดียวกันเสียมากกว่า ถึงอย่างไรก็อยู่ข้างกัน มีเื่อันใดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปถึง
หลิวต้าฟู่มองไปที่บุตรชายคนที่สามคนนี้ รอยยิ้มใสซื่อนั้นทำให้เขาไม่กล้ามองอีกต่อไป อาศัยการควบจังหวะวัวไถนาแล้วเฆี่ยนแส้เพื่อกลบความเก้อเขิน
เขาเข้าใจหลิวฉีซื่อและความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะเป็ฮูหยินของตระกูลขุนนาง หากว่าหลิววั่งกุ้ยได้ดิบได้ดี เขากับหลิวฉีซื่อคงตามไปใช้ชีวิตอยู่กับบุตรชายคนเล็ก
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจต่อหลิวซานกุ้ย จึงตัดสินใจว่า คืนนี้ถึงอย่างไรก็ต้องทำใจแข็งสักตั้ง เพื่อไขว่คว้าเงินให้กับหลิวซานกุ้ยบ้าง
ห้าตำลึงคงเป็ไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเหลือครอบครัวให้ได้อะไรบ้าง
หลิวซานกุ้ยก็มีความสุขเช่นกัน หลังจากได้รับคําตอบจากหลิวต้าฟู่แล้ว ราวกับว่าได้รับพลังเปี่ยมล้นทั่วร่าง และคำนวณว่าหากได้เงินมาจะตัดชุดลายดอกสวยๆ ให้บุตรสาวสามคนสักสองชุด และตัดให้สะใภ้ตนเองหนึ่งชุด อืม ส่วนตนเอง ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ต้องเข้านาทุกวัน เท่าที่มีก็เพียงพอแล้ว
คิดว่าภรรยาของตนเองก็เริ่มท่องคัมภีร์ตรีอักษรได้บ้างแล้ว ในใจยิ่งเกิดความปรีดา แล้วรู้สึกเสียใจที่บุตรสาวคนรองเหตุใดจึงไม่ใช่บุตรชาย หากว่าใช่ ต่อไปนางต้องได้เป็จอมหงวนเป็แน่
ใช่แล้ว ในจุดนี้หลิวซานกุ้ยยังคงรู้สึกเสียดายสติปัญญาของหลิวเต้าเซียง ขณะเดียวกันก็มีเพียงนางที่คล้ายกับตนเอง แม้จะไม่ถึงขั้นมองผ่านๆ แล้วจำได้ แต่เมื่อให้ท่องสองสามรอบก็จดจำได้ สามารถตอบสิ่งที่ตนเองถามได้บ้างแล้ว
เพียงแต่ชิงชัง์ที่ไม่ยุติธรรม เด็กสาวไม่อาจเข้าร่วมราชสำนักได้
หลิวซานกุ้ยเพียงแค่คิด แต่มิกล้าเอ่ยออกมา ยิ่งต้องปิดบังคนทั้งหมดไม่ให้คนรู้ว่าบุตรสาวของตนนั้นรู้หนังสือ
เมื่อหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ยามเช้า เขายึดคันไถนาไว้มั่น ความคิดเริ่มเลยเถิดออกไป เขาเป็แค่คัมภีร์ตรีอักษรกับร้อยตระกูล บุตรสาวตนเองเล่าเรียนได้อย่างรวดเร็ว ผู้เป็พ่อเช่นเขายังไม่ถึงขั้นสำเร็จ ก็ถูกตามทันเสียแล้ว คิดอยู่ว่าจะเล่าเรียนให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร อย่างน้อยก็ให้บุตรสาวได้เล่าเรียนไปด้วย ทุกครั้งที่เห็นบุตรสาวทั้งสองได้ฟัง อ่านและเขียน ดวงตาก็เป็ประกาย ราวกับว่ามีแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ทำให้เขาปลาบปลื้มจนทนไม่ไหว
เมื่อเขากลับบ้าน หลิวเต้าเซียงได้ยินจึงรีบออกมาต้อนรับ “พ่อ ข้าเดาอยู่ว่าตอนนี้ท่านน่าจะกลับมาแล้ว รีบมาเร็ว ข้าต้มน้ำผักไว้ให้พ่อด้วย”
ในเดือนเมษายนคล้ายกับหญิงสาวที่บอบบาง นิสัยเอาแต่ใจ จะหนาวก็หนาว ฝนจะตกก็ตกเอาดื้อๆ เวลานี้การดื่มน้ำผักจะทำให้ช่วยขับความชื้นได้
“มาแล้ว!” หลิวซานกุ้ยอารมณ์มีความสุข ย่างเท้าเข้าบ้านอย่างผ่อนคลาย
เขารับชามกระเบื้องมาจากมือของหลิวเต้าเซียง ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความพอใจ แม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเขียวของผัก แต่ในปากกลับได้รับรสหวานจางๆ
“ลูกรัก เ้าใส่น้ำตาลหรือ?”
“อืม พ่อดื่มน้ำแกงก่อน ในหม้อยังมีอีก วันนี้ข้าใช้น้ำผักต้มไข่ รออีกเดี๋ยวก็จะได้กินไข่แล้ว อ้อ ใช่สิ พวกข้ากินกันแล้ว เหลือไว้สองใบ ตั้งใจเก็บไว้ให้ท่านพ่อ”
หลังจากหลิวเต้าเซียงพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของหลิวชิวเซียงเรียกกินข้าวจากเรือนกลาง
วันนี้โต๊ะอาหารหายไปหลายคน หลิวเหรินกุ้ยกินข้าวเช้าเสร็จก็พาหลิวจื้อไฉกับหลิวจื้อเป่าไปตำบล
หลังจากรับประทานอาหาร หลิวซุนซื่อก็วางชามข้าวลงและเตรียมที่จะลุกขึ้นจากไป หลิวฉีซื่อกล่าวว่า “สะใภ้รอง เ้าจะไปไหน?”
เมื่อเพิ่งได้เงินมา และรู้ว่าในมือของหลิวฉีซื่อยังมีเงินอีกมากมาย หลิวซุนซื่อจำคำพูดของหลิวเหรินกุ้ยได้ อย่างัดข้อกับหลิวฉีซื่อ
ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ข้ารีบกินไปหน่อย รู้สึกจุก กำลังคิดจะไปดื่มน้ำเสียหน่อย”
หลิวฉีซื่อไม่ชอบขี้หน้าที่สุดก็คือนาง อาศัยที่นาเป็สินเดิมออกเรือน แล้วไม่เห็นผู้าุโอยู่ในสายตา
นึกว่าหลิวฉีซื่อไม่เห็นสินะ ก่อนหน้านี้หลิวซุนซื่อใช้ตะเกียบคีบแต่อาหารดีๆ สามชาม?
ฮึ พวกตะกละ
หลิวซุนซื่อได้แสดงพฤติกรรมที่เกียจคร้านออกมาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้หลิวฉีซื่อมั่นใจเื่ที่นางนำข้าวเปลือกกลับไปแลกข้าวสารกินในตำบล
พอนึกถึงข้าวเปลือกบนรถเข็นวัวที่หนักถึงแปดร้อยชั่ง น่าจะได้รำข้าวมากมาย สามารถให้หมูในบ้านกินไปอีกนาน ก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่หลิวเต้าเซียงเคยพูดเมื่อคราวที่แล้ว หลิวซุนซื่อสอนวิธีทําปลาให้อร่อยน่ะใช่ แต่นางไม่ยินดีที่จะให้ตัวล้างผลาญในบ้านได้กินของอร่อยเช่นนั้น
“อืม ไปเถิด อีกเดี๋ยวอย่าลืมเก็บถ้วยชามด้วย แล้วก็ต้มน้ำล้างทุกอย่างให้สะอาด” หลิวฉีซื่อตัดสินใจว่าจะกำราบลูกสะใภ้รองคนนี้ให้ดี
หลิวซุนซื่อผู้ซึ่งกําลังเช็ดมุมปากของนางเบาๆ ถึงกับเหวอ “ท่านแม่ ว่าอย่างไรนะ?”
ตอนเช้าคุยกันดิบดีไม่ใช่หรือ ขอให้ตนเองแค่อยู่เป็เพื่อนยายเฒ่านี่?
“ว่าอย่างไร? ข้าใช้งานเ้าไม่ได้หรือ?” หลิวฉีซื่อเลิกปั้นสีหน้า!
“หาได้มีเื่เช่นนั้น ท่านแม่บอกให้ข้าล้างจานก็ต้องล้าง เพียงแต่…” หลิวซุนซื่อกลอกตาไปมา แล้วสายตาก็จรดอยู่ที่ตัวจางกุ้ยฮัว
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงคมกริบ ยิ้มแล้วเอ่ยทันใด “ป้ารอง ป้าคงไม่ได้ไม่อยากล้างถ้วยชามหรอกนะ!”
หลิวฉีซื่อฉียกคิ้วขึ้นและอธิบายให้หลิวเต้าเซียงฟังอย่างหน้าชื่นตาบาน “ป้ารองของเ้าไม่ได้เป็ตระกูลสูงส่งอะไร ก็แค่ตระกูลค้าขาย ไหนเลยจะทำเื่เหล่านี้ไม่เป็ ก็แค่ล้างถ้วยชามแค่นั้น ไม่ได้บอกให้นางไปทำนาทำไร่เสียหน่อย”
เมื่อหลิวซุนซื่อได้ยิน หัวใจถึงกับสั่นสะท้านแล้วเอ่ยอย่างฝืนทน “คำสั่งของแม่ข้าจะกล้าขัดได้อย่างไร เพียงแต่น้องสะใภ้สามดูแลงานเหล่านี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?”
“อ้อ พี่สะใภ้รอง อีกเดี๋ยวข้ายังต้องเลี้ยงหมู แล้วยังต้องให้นมชุนเซียง อีกอย่าง ในสวนผักยัง้าคนดูแล หากว่าพี่สะใภ้เห็นว่ามันลำบาก หรือไม่เราจะเปลี่ยนกันก็ได้” จางกุ้ยฮัวไม่ได้มีนิสัยเช่นแต่ก่อน
หลิวซุนซื่อยิ่งเป็ใบ้เข้าไปใหญ่ นางรู้สึกเพียงว่าครอบครัวนี้ทั้งคนใหญ่คนเล็ก ล้วนแต่แปลกประหลาดไปหมด
หลิวเต้าเซียงรู้ชัดแจ้ง ตอนนี้หลิวฉีซื่อกำลังเริ่มแผลงฤทธิ์แล้ว แค้นเก่าใหม่คิดรวมกัน ไม่รู้ว่าป้ารองของตนจะทนรับการทรมานได้มากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่เกี่ยวกับนาง
วันเวลาผ่านไป เมื่อหลิวเต้าเซียงไม่มีอะไรทําก็จะวิ่งไปให้อาหารไก่ แล้วช่วยเลี้ยงน้องสาวที่เหมือนเ้าก้อนข้าวเหนียว หรือไม่ก็ ถูกซูจื่อเยี่ยตามรังควาน
กระทั่งหมูยังอยากต่อต้าน เหตุใดมันต้องถูกเล็งยิงขณะนอนอยู่
ในวันนี้ หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นวิธีการต่อสู้ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้อีกหนึ่งรอบ ตัวละครหลักก็คือหลิวฉีซื่อกับหลิวซุนซื่อ
คงเพราะห้าตำลึงเงินนั้นหมดอายุการใช้งานแล้ว สองวันนี้หลิวซุนซื่อถึงเริ่มงัดข้อด้วยอารมณ์บ้าง
หากหลิวฉีซื่อต่อว่าหนึ่งประโยค หลิวซุนซื่อก็จะเถียงกลับห้าประโยค
หลิวเต้าเซียงกําลังคิดอย่างมีความสุข นี่เป็การเข้าสู่โหมดที่ถูกต้องสําหรับชีวิตประจําวันของชาวนา
“ข้าว่าสาวน้อย ่นี้เ้าดูว่างมากนะ!” คําพูดตลกขบขันของซูจื่อเยี่ยดังมาจากด้านหลัง
หลิวเต้าเซียงตัวสั่นสะท้านโดยไม่มีเหตุผล หันศีรษะขึ้นและยกคิ้วขึ้นอย่างเ็า “คนหลอกคน จะทำให้คนตายได้นะ!”
หัวกลมๆ ที่น่ารัก ริมฝีปากเบาบางสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโตดั่งเม็ดอัลมอนด์ ขนตายาวที่กะพริบแล้วเหมือนพัดที่กำลังไหว!
ขณะนี้นางกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นแพร์ในลานบ้าน ข้างกายมีเด็กทารกที่กำลังเล่นน้ำลายนอนอยู่ในเปลไกว
ดอกลูกแพร์เป็เหมือนเมฆและสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเมฆหมอกสีเงินกระจัดกระจายอยู่เหนือศีรษะ ร่างกาย และบนกระโปรง ราวกับดวงดาวระยิบระยับ
เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงและดมกลิ่นเบาๆ แล้วถามอย่างไม่แสดงออกว่า “เ้าไม่ได้สระผมนานเพียงใดแล้ว?”
“หือ?” หลิวเต้าเซียงไม่กระจ่าง พร้อมกับใบหน้าชมพูระเรื่อ สบตาอย่างเคืองโกรธ นี่กำลังบอกเชิงอ้อมว่านางตัวเหม็นหรือ?
ริมฝีปากสีชมพูดุจกลีบดอกไม้เอ่ยขึ้น “ก็เหมือนกันนั่นแล อย่าได้หัวเราะเยาะกันเลย เ้าเองหลังจากตกอยู่ในบ่อมูลหมูบ้านข้า ก็ได้ทำความสะอาดไปเพียงหนเดียว อ้อ ข้าลืมบอกเ้า นั่นคือพ่อข้าที่เป็คนช่วยเ้าทำความสะอาดนะ!”
ใบหน้าที่ดูดีของซูจื่อเยี่ยเปลี่ยนเป็สีเขียวทันที เมื่อเอ่ยถึงเื่ตกบ่อมูล เขาตัวแข็งทื่อไปเลย
เขารู้สึกว่าวันนี้คงตื่นมาในฤกษ์ยามที่ไม่ดีนัก
เมื่อมองไปที่ดวงตาเล็กๆ เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มของนาง แล้วเอ่ยถาม “ยามปกติแล้วเ้าก็แอบกินไม่น้อย! ปากจิ้มลิ้มนี่ถึงได้ยิ่งอยู่ยิ่งคมคาย”
หลิวเต้าเซียงถูกเขาหยิกจนน้ำตาคลอเบ้า ให้ตายเถอะ นี่มันเป็การโจมตีเพื่อแก้แค้นแน่นอน!
นั่นก็แค่พูดจี้ใจดำเขาไม่ใช่หรือ!
“เ้าต่างหากที่ขโมยกิน!” นั่นคือสิ่งที่นางหามาได้เองต่างหาก ใช้ดวงตาข้างไหนเห็นว่านางแอบขโมยกิน
“จุ๊ๆ คงเพราะย่าเ้ากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการป้ารองของเ้า เ้าจึงว่างมาก!” ซูจื่อเยี่ยหรี่ตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกที่สวยงาม
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาแล้วปัดมือของเขาลง เอ่ยอย่างมีน้ำโห “พูดมาเถอะ เ้ามีแผนชั่วอะไรอีก”
ซูจื่อเยี่ยเป็คนประเภทที่ไม่ทําอะไรที่ไม่เกิดผลประโยชน์
“เ้าว่างเพียงนี้ ข้าเองก็เบื่อหน่าย!” ความหมายก็คือ อยากให้หลิวเต้าเซียงหาเื่สนุกมาให้ ไม่อย่างนั้น เขาเองก็คงต้อง ‘เล่น’ นางแทน
ฮวงจุ้ยผลัดกัน คราวนี้เป็ตาของหลิวเต้าเซียง
“เ้า้าทําอะไร หรือไม่ เ้ามาช่วยข้ากวาดลานบ้าน หรือช่วยข้าเลี้ยงไก่!” หลิวเต้าเซียง้าได้แรงงานฟรี
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยดำมืดลง เขาพูดอย่างตั้งใจว่า “เ้าเห็นคุณชายอย่างข้าคืออะไร?”
“เอ่อ เอาเถิด เ้าเองก็ดูเหมือนแขนขาไม่มีแรง คิดว่าคงทำได้ไม่ดีหรอก” หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง มนุษย์จิ๋วในใจหลิวเต้าเซียงสะกิดความคิดนี้
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเผยความเป็ประกาย ยิ้มแล้วเอ่ย “แม่สาวน้อยช่างรู้เื่เยอะเสียจริง ทว่า ไม้นี้ใช้กับข้าไม่ได้ผล เ้ารีบคิดหาวิธีอื่นเถิด อ้อ ข้าลืมบอกเ้าไป เ้าว่า ข้าจะไปเตือนย่าของเ้าดีหรือไม่ เ้า พี่สาวเ้า กับแม่ของเ้าดูเหมือนจะไม่ได้ขยันเหมือนเช่นแต่ก่อน”
อ๊าก! ตัววายร้าย คิดแต่จะรังแกนาง ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน!
หลิวเต้าเซียงพิจารณาอย่างจริงจังสักครู่และรู้สึกว่านางยังไม่สามารถล้มเขาได้ ดังนั้นจึงถอดใจเื่การใช้แรงงานเขา เปลี่ยนเป็ยิ้มแล้วเอ่ย “ข้าว่าอาการาเ็ของเ้าก็ใกล้หายดีแล้ว หรือไม่ เ้าพาข้าไปหลังเขาเพื่อล่าสัตว์”
ละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านสามสิบลี้ไม่มีสัตว์ป่าที่ดุร้าย แต่เดิมเคยมี แต่ในวิกฤตอดอยาก ก็ถูกราษฎรที่อดอยากล่าไปกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ตอนนี้บนเขาจึงมีเพียงสัตว์ตัวเล็ก
“ล่าสัตว์?” ดวงตาของซูจื่อเยี่ยกะพริบเล็กน้อย แม่สาวน้อยมีความคิดอะไรกันแน่ เขาน่ะหรือไม่รู้?
หญิงชราในบ้านหลังนี้ร้ายกาจไม่เบา เขาสงสัยว่าหลิวซานกุ้ยนั้นเป็บุตรชายของนางจริงหรือไม่ ไม่เช่นนั้น ไหนเลยจะปฏิบัติต่อหลิวซานกุ้ยเฉกเช่นคนรับใช้ ไม่สิ ในบ้านเขา คนรับใช้ยังมีชีวิตที่ดีกว่าหญิงสาวตรงหน้าอีก
เขาพยักหน้าหลังจากคิดเล็กน้อย ทำให้ ‘ของเล่น’ ของตนมีความสุขบ้างก็นับว่าไม่เลว
“เช่นนั้นเ้าไปรอข้าที่ปากทางหมู่บ้านก่อน” หลิวเต้าเซียงไม่อยากเดินออกไปพร้อมกันแบบเปิดเผย
-----