“แต่ว่า ถ้าเปลี่ยนเป็ฉีดยา จะส่งผลต่อาแของเขาไหมคะ ฉันหมายถึง หากไม่มีการเสริมด้วยน้ำเกลือ…” อวิ๋นเจียวยังอดกังวลเกี่ยวกับอาการาเ็ของอวิ๋นฉี่ซานไม่ได้ ระหว่างความลับกับอาการาเ็ของพี่รอง ความรู้สึกของนางอยู่เหนือเหตุผลไปแล้ว สุดท้ายนางก็เลือกอย่างหลัง
หมอ “หมอตรวจดูอาการโดยรวมของเขาแล้ว พบว่าฟื้นตัวได้ดี ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์เห็นผลชัดเจน การฉีดยาปฏิชีวนะร่วมกับการรับประทานยาต่อเนื่องไม่น่ามีปัญหา”
อวิ๋นเจียวจึงค่อยวางใจ นอกจากยารักษาแล้ว หมอยังจัดยาฟื้นฟูร่างกายให้เขาอีกจำนวนหนึ่งตามคำขอของนาง
อวิ๋นเจียวรีบซื้อขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กจำนวนมาก จากนั้นแกะบรรจุภัณฑ์ของยาออกแล้วบรรจุลงในขวดใบเล็กๆ แยกไว้ต่างกัน เช่นนี้เวลาอวิ๋นฉี่ซานกินยาจะได้สะดวก
จากนั้นจึงฆ่าเชื้ออุปกรณ์การแพทย์ทั้งหมดแล้วเก็บเข้าไปในพื้นที่เก็บของในเถาเป่า และทิ้งขยะทางการแพทย์ทั้งหมดลงในถังขยะรีไซเคิลของเถาเป่า นางไม่ลืมที่จะถอดสายสวนปัสสาวะให้อวิ๋นฉี่ซาน
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตรวจดูอีกครั้งว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว อวิ๋นเจียวก็เปิดประตูออก ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องทันที นั่นก็คือหมอต้วน
“ช่างเหลวไหลสิ้นดี หากการสวดภาวนาได้ผล ไยต้องให้หมอรักษาด้วยเล่า… ์ ตัวไม่ร้อนแล้ว! ไข้ลดแล้ว!”
ได้ยินดังนั้นอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อต่างตื่นเต้น รีบเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นอวิ๋นฉี่ซานที่นอนอยู่บนเตียงใบหน้ามีเืฝาดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองคนก็ค่อยวางใจ
มองใบหน้าอิดโรยของอวิ๋นเจียวและรอยคล้ำใต้ดวงตาคู่สวย ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงต่างรู้สึกสงสารจับใจ
ทันใดนั้นอวิ๋นเจียวเห็นหมอต้วนกำลังจะเปิดผ้าห่มออกเพื่อตรวจดูาแที่ขาของอวิ๋นฉี่ซาน นางไม่ทันได้พูดกับอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อ ก็รีบเข้าไปขวางหมอต้วนไว้ทันที “ขาของพี่รองข้าดูไม่ได้นะเ้าคะ บนนั้นติดยันต์ที่ท่านนักพรตจากูเาหลงหู่มอบให้ หากคนอื่นเห็นยันต์จะเสื่อมพลัง”
หมอต้วนโกรธจนตาเบิกโพลง หนวดเครากระตุก “ช่างเหลวไหล นี่มันเื่อะไรกัน?”
ขณะนั้นฉู่อี้ที่ยืนเงียบอยู่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านหมอต้วน ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” เสียงของเขาสามารถดึงดูดความสนใจของหมอต้วนได้สำเร็จ ใบหน้าของหมอต้วนซีดเผือดรีบเข้าไปจับชีพจรของเขา
ฉู่อี้ดึงมือกลับพลางกล่าวว่า “ที่นี่ไม่สะดวก ค่อยกลับไปตรวจที่จวนเถิด” กล่าวจบเขาก็กล่าวลาอวิ๋นโส่วจงและคนอื่นๆ “ท่านลุง ท่านป้า เจียวเอ๋อร์ ข้าขอตัวกลับก่อน หากมีเื่อันใดส่งคนมาแจ้งข้าที่จวนได้เลย”
ฉู่อี้คิดถึงอาการาเ็ของตนเองในตอนนั้น คิดถึงยาเม็ดวิเศษที่อวิ๋นเจียวใช้รักษาเขา และคิดถึงสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของยานั้น เขาก็รู้ว่าอวิ๋นฉี่ซานไม่เป็อันตรายแล้ว ส่วนเื่ความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่นาง้าเก็บไว้ก็ปล่อยให้นางเก็บไว้เถิด
อวิ๋นโส่วจงรีบเดินออกไปส่งเขา “เซ่าชิง เ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องเป็ห่วงพวกเรา”
เช่นนี้แล้ว ในห้องจึงสงบลง ชุนเหมยเข้ามาเก็บกวาด ส่วนอวิ๋นหลานเอ๋อร์ อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ รวมถึงสองพี่น้องฉี่ชิ่งและฉี่เสียงต่างก็รออยู่ข้างนอกไม่ได้เข้ามา
อวิ๋นเจียวชี้ไปที่ขวดยาที่วางเรียงรายอยู่บนตู้แล้วพูดกับฟางซื่อว่า “ท่านแม่ ยาในขวดสีเขียวให้พี่รองกินวันละสามครั้งหลังอาหาร ครั้งละหนึ่งขวด ส่วนยาในขวดสีแดงให้ท่านพี่รองกินวันละสองครั้ง ตอนตื่นนอนหนึ่งครั้งและก่อนนอนอีกหนึ่งครั้ง ครั้งละหนึ่งขวดเช่นกันเ้าค่ะ”
ฟางซื่อมองอวิ๋นเจียวด้วยความสงสาร “เจียวเอ๋อร์ เ้ารีบดื่มโจ๊กแล้วไปอาบน้ำนอนเสียเถิด ดูเ้าสิเบ้าตาลึกโหลไปหมดแล้ว”
อวิ๋นเจียว: ...
เกินไปแล้วมั้ง แค่มีรอยคล้ำใต้ตาเล็กน้อยเอง แต่นางเหนื่อยจนถึงขีดสุดจริงๆ เพราะร่างกายนี้เป็เพียงเด็กหกขวบ ไม่สามารถเทียบกับผู้ใหญ่ได้ ประกอบกับเมื่อคืนนางต้องใช้สมาธิอย่างมาก
“เ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
โม่ซ่านรับหน้าที่ดูแลอวิ๋นเจียวต่อจากชุนเหมยแล้ว นางเป็คนฉลาด ตอนที่อวิ๋นเจียวเปิดประตู นางก็ยกโจ๊กร้อนๆ ที่เตรียมไว้เข้าไปในห้องของอวิ๋นเจียว และในขณะที่ปรนนิบัติอวิ๋นเจียวกินโจ๊ก นางก็เตรียมน้ำสำหรับอาบไว้ในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่อวิ๋นเจียวกินโจ๊กเสร็จก็สามารถอาบน้ำได้ทันที
ทว่าหลังจากที่อวิ๋นเจียวลงไปแช่น้ำในอ่างอาบน้ำ โม่ซ่านกลับมาเก็บชามและตะเกียบ อวิ๋นเจียวก็หลับไปในอ่างอาบน้ำเสียแล้ว
โม่ซ่านถือว่าอวิ๋นเจียวเป็นายของนางั้แ่ที่ฉู่อี้มอบนางให้กับอวิ๋นเจียวแล้ว คนของสำนักโม่เป็คนยึดมั่นในสัจจะ มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้เ้านาย ตายไปก็เป็คนของเ้านายอยู่ดี
ดังนั้นโม่ซ่านที่ก้าวเข้ามาในบทบาทใหม่ของตนเองแล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเจียวหลับไปในอ่างอาบน้ำเช่นนี้ นางจึงรู้สึกสงสารจับใจ
นางรีบใช้ผ้าขนหนูผืนสะอาดห่อตัวอวิ๋นเจียว จากนั้นอุ้มนางไปวางบนเตียงอุ่น ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วห่มผ้าห่มอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงค่อยๆ เดินออกไป
“เจียวเอ๋อร์หลับไปตอนไหน?” ไม่นานฟางซื่อก็เดินเข้ามา เห็นใบหน้าหลับใหลของบุตรสาวก็รู้สึกทั้งรู้สึกผิดและสงสาร
โม่ซ่าน “เรียนฮูหยิน คุณหนูหลับไปั้แ่เพิ่งลงอ่างอาบน้ำเ้าค่ะ”
ฟางซื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเ็ปในใจ ดูเหมือนเมื่อคืนเจียวเอ๋อร์จะเหนื่อยมากจริงๆ
“อืม เ้าดูแลนางดีๆ” สำหรับสาวใช้คนนี้ที่ฉู่อี้ส่งมา ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงไตร่ตรองอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจให้โม่ซ่านเป็สาวใช้ส่วนตัวของอวิ๋นเจียว
เดิมทีสองสามีภรรยายังคงมีความกังวลอยู่บ้าง แต่พอได้ยินว่าสาวใช้คนนี้เป็คนของสำนักโม่ก็ค่อยวางใจ ในแคว้นต้าเยี่ย ไม่ว่าจะเป็เศรษฐีหรือขุนนางชั้นสูง ล้วนถือเป็เกียรติหากได้มีบ่าวไพร่จากสำนักโม่ไว้รับใช้
สำนักโม่เป็พรรคหนึ่งในยุทธภพ ไม่มีใครรู้ว่ากองกำลังหลักของพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด แต่ในแคว้นต้าเยี่ยมีสาขาย่อยอยู่ไม่น้อย
คนที่สำนักโม่ส่งออกมาขายล้วนเป็เด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร ไม่เพียงแต่มีความสามารถอันโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความจงรักภักดีเป็เลิศ ดังนั้นบ่าวไพร่จากสำนักโม่จึงเป็ที่้าอย่างมาก
ไม่ว่าฉู่อี้จะมีจุดประสงค์อันใด แต่เพียงแค่ข้อที่โม่ซ่านเป็คนของสำนักโม่ก็ทำให้ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงไม่อาจปฏิเสธได้
เดิมทีพวกเขาก็อยากหาสาวใช้ส่วนตัวที่สามารถเป็องครักษ์ให้กับเจียวเอ๋อร์อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่พบคนที่เหมาะสม ตอนนี้ฉู่อี้ส่งคนมาให้ก็ถือว่าช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้
ช่างเถิด หนี้บุญคุณก็ติดไปแล้ว เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างจะเป็ไรไป สรุปแล้วคือพวกเขาเป็คนรับผิดชอบหนี้บุญคุณนี้ ไม่เกี่ยวกับเจียวเอ๋อร์ก็พอแล้ว
“นายท่าน ฮูหยิน คุณชายรองฟื้นแล้วเ้าค่ะ!” ฟางซื่อเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของอวิ๋นเจียว อวิ๋นโส่วจงก็เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของชุนเหมย
สองสามีภรรยารีบเข้าไปในห้องก็เห็นอวิ๋นฉี่ซานลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง “ท่านพ่อ ท่านแม่...”
น้ำตาของฟางซื่อไหลรินออกมาทันที “ซานเอ๋อร์ ลำบากเ้าแล้ว”
นางนั่งลงข้างเตียงอุ่น จับมืออวิ๋นฉี่ซานเอาไว้หยาดน้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนมือของอวิ๋นฉี่ซาน ก่อนจะไหลซึมลงไป
อวิ๋นฉี่ซานยกมือขึ้นอย่างอ่อนล้า ปาดน้ำตาที่มุมตาของฟางซื่อ “ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็ห่วง”
อวิ๋นโส่วจงกล่าว “เ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว รีบๆ รักษาตัวให้หายดี อีกไม่กี่วันก็ลงไปทำงานในไร่ได้แล้ว”
นี่เป็เพียงคำปลอบใจ อวิ๋นฉี่ซานย่อมรู้ดี “ท่านพ่อ ขาของข้า เป็อะไรหรือไม่ จะพิการหรือไม่?” หากกลายเป็คนพิการ เช่นนั้น...
ฟางซื่อแสร้งทำเป็โกรธ ตวาดเบาๆ ว่า “เ้าเด็กคนนี้ พูดอะไรแบบนั้น เ้าไม่พิการหรอก ท่านหมอบอกว่าแผลของเ้าไม่ลึก รีบๆ รักษาตัวให้หายดีก็พอแล้ว”
อวิ๋นฉี่ซานยิ้มเจื่อนๆ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณคนในบ้านเก่าที่ี้เี ไม่ยอมลับมีด”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยว่า “เ้าเด็กคนนี้ ยังมีแรงพูดจาเหลวไหลแบบนี้ แสดงว่าไม่เป็อะไรมากแล้ว”
กล่าวจบชุนเหมยก็ยกข้าวต้มเข้ามา อวิ๋นฉี่ซานไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน พวกเขากลัวว่ากระเพาะของเขาจะรับไม่ไหว จึงได้แต่ให้เขากินข้าวต้มรองท้องไปก่อน
อวิ๋นฉี่ซานเพิ่งจะกินข้าวต้มเสร็จก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากนอกบ้าน “โส่วจง พี่รองเ้าคะ ข้าขอโทษ...”