ทั้งงานเลี้ยงก็เกิดเสียงพูดคุยขึ้นมา ไทเฮาพาซูิเยว่กับนางกำนัลข้างกายไปเปลี่ยนชุด โดยที่งานเลี้ยงเองก็ดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ไทเฮาก็พาพวกซูิเยว่กลับเข้างานอีกครั้ง ทุกคนต่างมองไปด้านหน้าด้วยแววตาระยิบระยับ
เมื่อชุดนี้อยู่บนตัวของไทเฮานั้นเหมาะสมมาก มองไกลๆ งดงามยิ่งกว่าที่ให้ดูเมื่อครู่อีก ผ้าสีเขียวหมอกปักด้วยดอกมู่จิ่นสีเงินกับเฟิ่งหวงสีทองทำให้ไทเฮาดูเด็กลงหลายปี
รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากหน้าของไทเฮา กระทั่งนางเดินมานั่งตรงตำแหน่งประธานอย่างพอใจ
ซูิเยว่เองก็กลับไปนั่งข้างซูโม่
“จวนสกุลซู” ไทเฮามองซูโม่ยิ้มกว้าง “ลูกสาวของเ้านั้นใส่ใจมากเลย ใต้เท้าช่างโชคดีนัก”
ซูโม่เองก็ยิ้ม “เหนียงเหนียงชอบก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็โชคดีของลูกสาวกระหม่อมแล้ว”
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป ทุกคนต่างชนแก้วกัน มีทั้งพูดคุยและหัวเราะ ฮ่องเต้เองก็สั่งให้ร้องเพลงเต้นรำเพื่อสร้างบรรยากาศ หลังจากร่ำสุรากันได้พอสมควรแล้ว ทุกคนก็ต่างเมามายกันเล็กน้อย ไทเฮาจึงเสนอให้คุณหนูทุกคนขึ้นมาแสดงความสามารถบนเวทีได้
เหล่าคุณหนูเองก็กำลังรอนาทีนี้อยู่ พวกนางอยากจะทำการแสดงมานานแล้ว ในงานเลี้ยงเช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็ที่จับตามองของคนทั้งงาน
คนที่ขึ้นเวทีแนะนำตัวเองเป็คนแรกก็คือ บุตรสาวของขุนนางขั้นสองคนหนึ่ง หลังจากการร่ายรำแขนเสื้อยาวดั่งสายน้ำที่เงียบสงบและครึกครื้นเหมือนกระต่าย ทุกการเคลื่อนไหวดูแล้วงดงาม ทุกคนต่างก็ชื่นชมนาง
หลังจากที่สตรีผู้นั้นลงจากเวทีไปแล้ว ต่อมาคุณหนูจากตระกูลขุนนางอีกหลายคนก็ทยอยกันขึ้นมาแสดง มีทั้งเต้นรำ แสดงวาดภาพ เป่าขลุ่ยและดีดฉิน แต่ละคนมีความถนัดกันคนละอย่าง เรียกได้ว่าเป็การแสดงที่งดงาม
ซูิเยว่ไม่ค่อยสนใจเื่นี้สักเท่าไร ไม่อยากออกไปเอาหน้าอะไรทั้งนั้น นางจึงหยิบขนมขึ้นมาค่อยๆ ทานพลางดูการแสดงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรายตาไปมองจี๋โม่หานอยู่ตลอด
จี๋โม่หานเหมือนจะไม่สนใจอะไรเลย เขานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นน้ำแข็งแกะสลัก ไม่หือไม่อือกับการร้องเล่นเต้นรำในงานเลี้ยง อีกทั้งไม่มีใครเข้าไปชนแก้วกับเขาเลย ดูแล้วน่าเบื่อหน่าย
แต่เขาที่เปรียบเสมือนกับอาหารตา น่ามองกว่านางรำพวกนั้นเยอะ
ซูิเยว่มองอย่างหลงใหลโดยไม่รู้ตัว บังเอิญกับที่หลิงชวนมองมาทางนี้พอดี เขาจึงก้มหน้าลงไปพูดบางอย่างกับจี๋โม่หาน ต่อมามุมปากของจี๋โม่หานก็ยกขึ้นเป็รอยยิ้มอย่างชัดเจน ดูแล้วน่าจะกำลังอารมณ์ดี
ซูิเยว่กลืนขนมในปากพลางครุ่นคิด จากนั้นก็หยิบเหยือกสุราขึ้นมารินใส่จอกสุรา ขุนนางมากมายต่างก็เดินไปมาเพื่อชนแก้วกัน หากนางจะเดินไปชนแก้วกับจี๋โม่หานตอนนี้ก็คงไม่เป็อะไรหรอก
ซูโม่เองก็รู้ว่าก่อนหน้านี้จี๋โม่หานเคยช่วยซูิเยว่ไว้ ดังนั้นคงจะไม่ว่าอะไรหรอก
พอคิดเช่นนี้นางก็ยืนขึ้นแล้วยกจอกสุราเดินไปตรงข้าม
ซูโม่มองนางก่อนจะหรี่ตาโดยไม่ได้พูดอะไร
ขุนนางหลายคนต่างเห็นภาพนี้ก็มองดูอย่างสนใจ พอเห็นซูิเยว่เดินไปทางจี๋โม่หานก็ประหลาดใจขึ้นมา
จี๋โม่หานมีนิสัยเ็า ไม่สนิทชิดเชื้อกับใคร นี่เป็เหตุผลที่เหล่าขุนนางไม่กล้าเข้าไปชนแก้วกับเขา แต่ตอนนี้ซูิเยว่กลับเข้าไปโดยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คนเริ่มมองมาทางนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างก็อยากจะเห็นเื่ตลกของนาง
มุมปากของจ้าวอวี้ถิงยกยิ้มเย้ยหยัน นางลอบพูดว่าซูิเยว่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ
หลายปีมานี้จี๋โม่หานไม่มีเหตุผลที่จะรับชายา ส่วนหนึ่งก็เป็เพราะร่างกายของเขา อีกส่วนหนึ่งก็เพราะนิสัยของจี๋โม่หานเอง ถึงเขาจะตาบอดพิการ แต่อย่างไรก็ยังเป็คนที่เก่งกาจ
แม่นางน้อยวัยแรกแย้มเพิ่งเริ่มมีความรักคนไหนบ้างที่ไม่คิดอะไรกับเขา แต่จี๋โม่หานกลับไม่ชอบเข้าใกล้คนอื่น โดยเฉพาะเพศตรงข้าม นานวันเข้าทุกคนต่างก็รู้นิสัยของจี๋โม่หาน จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปหาอีก
ซูิเยว่เหมือนไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของคนพวกนั้น มุมปากยกยิ้มขึ้นแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าจี๋โม่หานโดยสนใจแค่เป้าหมายของตัวเอง
หลิงชวนมองนางก่อนจะเรียกอย่างให้เกียรติ “คุณหนูซู”
ซูิเยว่พยักหน้าน้อยๆ เขย่าจอกสุราในมือเบาๆ สายตาจ้องไปยังใบหน้าของจี๋โม่หาน น้ำเสียงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าหม่อมฉันจะโชคดีได้ดื่มกับท่านสักแก้วหรือไม่เพคะ?”
จี๋โม่หานเงยหน้าน้อยๆ พร้อมกับเลิกคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “แน่นอนว่าได้”
ทุกคนต่างถูกท่าทางของจี๋โม่หานที่ปฏิบัติกับซูิเยว่ทำให้ใ
จี๋โม่หานยกจอกสุราขึ้นมาชนกับซูิเยว่เบาๆ แล้วเงยหน้าดื่มจนหมด
ฮ่องเต้จดจำภาพนี้เอาไว้ในสายตา เขาหรี่ตาลงน้อยๆ ดวงตามีแววครุ่นคิด
ซูิเยว่เดินกลับมานั่งที่ตำแหน่งของตัวเอง ตอนที่หันไปมองรอบๆ ก็เห็นจ้าวอวี้ถิงดึงสายตากลับมาอย่างไม่พอใจพอดี
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป มีหลายคนทยอยกันขึ้นไปแสดงศิลปะและความสามารถกันแล้ว
จ้าวอวี้ถิงรอจนทุกคนขึ้นไปแสดงได้พอสมควรแล้ว นางถึงได้ยืนขึ้นแล้วเดินไปตรงกลางลานแสดง จากนั้นก็ย่อตัวทำความเคารพผู้ที่อยู่สูงกว่า “หม่อมฉันจะแสดงระบำให้กับไทเฮาเหนียงเหนียง ฝีมืออาจจะไม่ดีเท่าไหร่เพคะ”
การขึ้นมาบนเวทีเต้นระบำของจ้าวอวี้ถิงดึงดูดสายตาของทุกคน บุตรีของเจิ้นหนานโหวก็พอจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง เดิมทีจ้าวอวี้ถิงก็หน้าตางดงามอยู่แล้ว วันนี้ยังแต่งตัวมาสวยเป็พิเศษอีก นางจึงดูโตกว่าคุณหนูคนอื่นๆ อีกมากมาย
แม้คุณหนูที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้จะไม่ได้เตรียมตัวกันมาก แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่าในบรรดาคุณหนูทุกคนแล้ว จ้าวอวี้ถิงนั้นค่อนข้างโดดเด่น
นักดนตรีรอบๆ เริ่มบรรเลงเพลง จ้าวอวี้ถิงร่ายรำไปตามเสียงเพลง
รูปร่างของนางดีมาก การเคลื่อนไหวในการเต้นรำแทบจะเผยรูปร่างของนางได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย จังหวะที่นางยกมือและเท้าขึ้นต่างก็ดึงดูดสายตาคนได้ชะงัก
เหล่าบุตรชายของครอบครัวร่ำรวยในงานจ้องจ้าวอวี้ถิงนิ่ง
จ้าวอวี้ถิงจดจำสีหน้าของทุกคนไว้ในแววตา และรู้สึกพอใจมาก
เมื่อการเต้นรำจบลงและดนตรีหยุดบรรเลง คนในงานเลี้ยงก็ยังไม่อาจดึงสายตากลับมา ทั้งงานเลี้ยงเงียบสนิทราวกับกำลังจมอยู่กับการเต้นรำเมื่อครู่
จ้าวอวี้ถิงยกยิ้มก่อนจะย่อตัวให้กับฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน “หม่อมฉันได้แสดงข้อบกพร่องออกมาแล้ว”
ทุกคนทยอยกันดึงสายตากลับมา ทั่วทั้งงานเลี้ยงก็มีเสียงครึกครื้นขึ้นมา
“ดีดีดี” ฮ่องเต้ตบมือยิ้มกว้าง เขาพอใจกับการเต้นของจ้าวอวี้ถิง
จ้าวอวี้ถิงกลับมานั่งที่นั่งของตัวเองท่ามกลางสายตาของทุกคน เหล่าบุตรชายของครอบครัวชนชั้นสูงพวกนั้นก็พากันยกจอกสุราเข้ามาพูดคุยกับนาง
สายตาฮ่องเต้กวาดมองไปทั่วก่อนพูดเสียงก้อง “ไม่ทราบว่ายังมีท่านไหนอยากจะขึ้นมาอีกหรือไม่?”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่หลังจากที่จ้าวอวี้ถิงแสดงเสร็จก็แทบไม่มีใครกล้าขึ้นมา การเต้นรำของจ้าวอวี้ถิงนั้นได้สร้างความกดดันเอาไว้
แทบจะกลบการแสดงของทุกคนก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทุกคนยังอดที่จะคิดถึงภาพเมื่อครู่ไม่ได้ คนที่ขึ้นไปแสดงก็ต้องอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูิเยว่ถือจอกมองเื่สนุกด้วยท่าทางนิ่งสงบ อย่างไรเื่พวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง
ดวงตาสวยงามของจ้าวอวี้ถิงกวาดมองไปทั่วก่อนจะหยุดมองซูิเยว่ ภายในแววตาฉายประกายชั่วร้าย
“ิเยว่ ได้ยินมาว่าฝีมือการดีดฉินของเ้าไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าวันนี้จะโชคดีได้ฟังหรือไม่?”