ร่องรอยของความตื่นเต้นฉายชัดในแววตาของมู่เฟิง เขาจ้องไปที่เศษชิ้นส่วนของหยกสีดำชิ้นนั้นไม่วางตา
เด็กหนุ่มไม่รอช้าที่จะส่งพลังิญญาเข้าไปสำรวจหยกเทวะทมิฬชิ้นนั้นทันที จากนั้นเขาก็พลันััได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง ดูเหมือนว่ามัน้าที่จะดึงพลังิญญาของเขาเข้าสู่เศษชิ้นส่วนของหยกเทวะชั้นนั้น
“ไม่ผิดแน่ มันคือชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬ”
มู่เฟิงเก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ในใจ
ครั้งก่อนเขาเคยได้รับชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬมาจากรังโจรูเาหม่าซาน และตอนนี้เขาก็ได้พบชิ้นส่วนของมันเพิ่มอีกหนึ่งชิ้นแล้ว และชิ้นส่วนทั้งสองชิ้นนี้ก็น่าจะมาจากหยกเทวะทมิฬชิ้นเดียวกัน
ซีเยว่เคยกล่าวเอาไว้ว่าหยกเทวะทมิฬเป็หยกศักดิ์สิทธิ์ที่บันทึกลายเส้นศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ดังนั้นภายในชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬชิ้นนี้ จะต้องมีลายเส้นศักดิ์สิทธิ์บันทึกเอาไว้อย่างแน่นอน
มู่เฟิงยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง เขากวาดตามองไปยังสิ่งของชิ้นอื่น จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปยังหยกเทวะทมิฬและกล่าวขึ้นว่า “เหลาป่าน นั่นคืออะไรหรือ?”
“ก้อนนั้น ข้านำมันมาจากบนูเา ไม่รู้ว่ามันทำมาจากหยกประเภทใดเหมือนกัน แต่เวลาััมันกลับให้ความรู้สึกร้อนอย่างประหลาด ฉะนั้นมันจะต้องเป็หยกล้ำค่าชนิดหนึ่งแน่”
ทหารรับจ้างมองตามสิ่งที่มู่เฟิงชี้ ก่อนจะกล่าวถึงที่มาของมัน
“ฮะๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็แค่ชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ล้ำค่าเพียงใดแต่เมื่อพังแล้วก็ไร้ค่า”
มู่เฟิงส่ายหน้า จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปยังสมุนไพรขั้นสองด้านข้าง และกล่าวขึ้นว่า “ข้า้าสมุนไพรห้ามเืนี้ ราคาเท่าไร?”
“หนึ่งร้อยเหรียญตำลึงทอง”
ทหารรับจ้างกล่าว มู่เฟิงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ชิ้นส่วนหยกแตกหักชิ้นนั้นก็มอบให้ข้าเป็อย่างไร ข้าชอบสะสมหยก”
“ตกลง เพียงเ้าเพิ่มเงินอีกสิบเหรียญตำลึงทอง ข้าจะมอบมันให้เ้าเป็กรณีพิเศษก็แล้วกัน”
เนื่องจากทหารรับจ้างไม่รู้ว่าหยกเทวะทมิฬนั้นล้ำค่าเพียงใด ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย ชิ้นส่วนหยกที่แตกหักแลกกับเงินสิบเหรียญตำลึงทอง นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
มู่เฟิงจ่ายเงินโดยไม่ลังเล เขารับเอาสมุนไพรและหยิบชิ้นส่วนหยกเทวะทมิฬชิ้นนั้นขึ้นมา
เพียงััก็พบว่าผิวของตัวหยกนั้นร้อนผ่าว เหมือนกับหยกเทวะทมิฬชิ้นก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
“มู่เฟิง เ้าเอาหยกที่แตกหักไปแล้วแบบนี้มาทำไม?”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่บอกเ้าหรอก”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ ข้าก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก”
“เอ๊ะ!”
ทันใดนั้นอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากมู่เฟิงมากนัก มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำปักลายเมฆาเพลิงอยู่ผู้หนึ่ง บนอกเสื้อและแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขามีตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเขาคือนักสลักลายเส้น เวลานี้เขากำลังเหลือบมองชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬในมือของมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าบนผิวของหยกชิ้นนั้นเหมือนจะมีลายเส้นบางอย่างที่มีแรงดึงดูดต่อพลังิญญาสลักเอาไว้ด้วย
เขาไม่รอช้ารีบเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งทันที และกล่าวว่า “เ้า แสดงหยกสีดำในมือของเ้าออกมาให้ข้าดู”
มู่เฟิงเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาใเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือนักสลักลายเส้น ทั้งยังเป็นักสลักลายเส้นขั้นสอง
‘หรือว่าเขาจะมองออก?’
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่แยแสว่า “ช่างน่าขัน เหตุใดข้าต้องให้เ้าดูด้วย”
ชายผู้นั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เมื่อคนอื่นเห็นว่าผู้มาใหม่สวมใส่ชุดคลุมของนักสลักลายเส้น พวกเขาก็ดูมีท่าทีเคารพอีกฝ่ายขึ้นมาสองส่วน
“ถ้าอย่างนั้นก็ขายหยกสีดำในมือของเ้าให้ข้าเสีย ข้าจะมอบเงินให้เ้าหนึ่งร้อยเหรียญตำลึงทอง”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิดใจ
“ไม่ขาย”
มู่เฟิงเก็บหยกเทวะทมิฬชิ้นนั้นเข้าไปทันที อีกฝ่ายมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มมีแหวนเฉียนคุน จากนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าให้หนึ่งพันเหรียญตำลึงทอง ขายมันให้ข้าเสีย เมื่อครู่เ้าเพิ่งซื้อมันมาในราคาสิบเหรียญตำลึงทองเองไม่ใช่รึ”
“หนึ่งพันเหรียญทอง!”
ผู้คนโดยรอบต่างก็อุทานออกมาด้วยความใ ก่อนจะหันมองไปทางมู่เฟิงอย่างริษยา หรือว่าชิ้นส่วนหยกนั่นจะเป็สมบัติล้ำค่ากัน?
ทหารรับจ้างที่อยู่หน้าแผงลอยตกตะลึงกับมูลค่าของมัน เขาพลันนึกเสียใจขึ้นมาในทันที
เขาเพิ่งทำการค้าสิ่งของที่มีมูลค่าหนึ่งพันเหรียญตำลึงทองด้วยราคาเพียงสิบเหรียญตำลึงทอง! นี่มัน…
ทหารรับจ้างนึกอยากจะตบตัวเองสุดแรง
“ไม่ขาย”
มู่เฟิงตอบกลับอย่างเฉยเมย ข่งเซวียนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างหันไปมองมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยกที่แตกหักนั้นถึงมีมูลค่ามากถึงเพียงนี้
“เ้า! พูดดีด้วยแล้วไม่ยอม อยากให้ข้าต้องบีบบังคับสินะ!”
ั์ตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็เ็า ทันใดนั้นคลื่นพลังอันแข็งแกร่งก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา
วรยุทธ์ของชายผู้นี้ก็อยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าเช่นกัน
“โอ้ เ้าจะทำอะไรข้าหรือ?”
มู่เฟิงแสยะยิ้มออกมา เขาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าขณะก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากตัวของมู่เฟิงไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย ทั้งยังแข็งแกร่งกว่ามากอีกด้วย
ชายหนุ่มถูกบีบให้ต้องถอยออกไปสองก้าว เขามองมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าคนตรงหน้าจะมีเส้นผมสีขาว แต่จากใบหน้าของเขาก็สามารถมองออกได้ว่าเขาเป็เพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น เหตุใดวรยุทธ์ของเขาถึงได้แข็งแกร่งนัก
“หึ ไม่รู้จักดีชั่ว ข้าเป็นักสลักลายเส้นเครื่องราง ฉะนั้นวรยุทธ์จึงไม่ใช่จุดแข็งของข้า”
ชายหนุ่มแค่นเสียงออกมาอย่างเ็า แผ่นยันต์จำนวนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา และเพียงเขาสะบัดฝ่ามือ แผ่นยันต์เ่าั้ก็กลายเป็ศรน้ำสีน้ำเงินพุ่งออกไปโจมตีมู่เฟิงหลายสาย
นี่คือแผ่นยันต์ศรวารี เป็แผ่นยันต์ขั้นสองระดับต่ำ อานุภาพพลังของมันเทียบได้กับการโจมตีของยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นสอง
หลังเห็นว่าคนทั้งสองเริ่มลงมือโจมตี ฝูงชนโดยรอบต่างก็ก็รีบถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพนี้ มู่เฟิงก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยาม “บังเอิญจัง ข้าเองก็เป็นักสลักลายเส้นเครื่องรางเช่นกัน”
มู่เฟิงสะบัดฝ่ามือ ลำแสงสีแดงพลันพวยพุ่งออกไปทันที
ปัง...!
คลื่นร้อนของเปลวเพลิงสาดซัดออกมาเป็วงกว้างก่อนจะกลายเป็ทะเลเพลิงอันร้อนระอุ ทำให้ศรน้ำเ่าั้ถูกทำให้ระเหยและหายไปทันที เมื่อเห็นคลื่นทะเลเพลิงลุกโหมกระหน่ำ สีหน้าของชายผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนไป เขารีบถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเส้นผมของเขาก็ยังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปบางส่วน
อานุภาพพลังของแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ขั้นสองนั้นน่าสะพรึงเป็อย่างยิ่ง ไม่ว่ามันจะอยู่ในระดับสูง กลางหรือต่ำ อานุภาพพลังของมันก็ล้วนเหนือกว่าแผ่นยันต์ศรวารีทั้งสิ้น สามารถเทียบได้กับการโจมตีของยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นสามเลยทีเดียว
“เ้าเองก็เป็นักสลักลายเส้นเครื่องรางอย่างนั้นรึ?”
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันมืดครึ้ม
“ไม่ได้หรือ?”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย
ชายหนุ่มหรี่ตาลง เขาพิจารณามองมู่เฟิงอย่างจริงจัง จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “เ้า ข้าจะจำเ้าเอาไว้”
แน่นอนว่ามู่เฟิงย่อมไม่เก็บบุคคลเช่นนี้มาใส่ใจ เขาคร้านจะสนใจอีกฝ่ายจึงพาข่งเซวียนเอ๋อร์ออกไปทันที
“มู่เฟิง เ้ามอบแผ่นยันต์แบบเมื่อครู่ให้ข้าสักสองแผ่นได้หรือไม่ มันดูสนุกนัก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กอดแขนของมู่เฟิงแน่น ขณะร้องขออีกฝ่ายอย่างมีความหวัง
แน่นอนว่ามู่เฟิงเองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวอะไร ดังนั้นแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์จึงปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนที่เขาจะอธิบายว่า “สิ่งนี้เรียกว่าแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ อานุภาพของมันเทียบได้กับการะเิพลังของยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นสาม เพียงส่งพลังปราณเข้าไปกระตุ้นและโยนมันออกไปภายในสามวินาทีเท่านั้น”
ข่งเซวียนเอ๋อร์รับเอาแผ่นยันต์นั้นมา นางยกมันขึ้นมาพิจารณาอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นก็มีแผ่นยันต์สีน้ำเงินปรากฏขึ้นในมือของมู่เฟิงอีกสองแผ่น “นี่เรียกว่าแผ่นยันต์ดาบน้ำแข็ง อานุภาพของมันเทียบได้กับการโจมตีของยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นหก เ้าเก็บเอาไว้ป้องกันตัวเถอะ”
“การโจมตีเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นหก...ช่างวิเศษนัก ขอบใจเ้ามาก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ประหลาดใจ ก่อนจะรีบรับมันมาด้วยความยินดี
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับไปที่โรงเตี๊ยม เมื่อเข้ามาในห้องพักแล้วมู่เฟิงก็นำหยกเทวะทมิฬทั้งสองชิ้นออกมาจากแหวนเฉียนคุน
เมื่อเขานำหยกศักดิ์สิทธิ์สองชิ้นมาเชื่อมต่อกันก็พบว่าส่วนที่แตกหักสามารถเข้ากันได้อย่างพอดิบพอดี กลายเป็แผ่นหยกรูปครึ่งวงกลม และทันใดนั้นหยกเทวะทมิฬก็พลันเปล่งแสงออกมา ก่อนที่รอยแตกจะสมานเข้าด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์ จากสิ่งที่เห็นทำให้คาดการณ์ได้ว่าหากมีเศษชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬอีกสักหนึ่งถึงสองชิ้นก็คงจะสามารถนำมาประกอบกันได้อย่างสมบูรณ์
และกลายเป็แผ่นหยกที่สมบูรณ์ได้
มู่เฟิงส่งพลังิญญาเข้าไปในแผ่นหยกเทวะทมิฬ และชั่วพริบตานั้นก็เหมือนว่าสตินึกคิดของเขาจะหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง
เขาพบว่าท่ามกลางความว่างเปล่าตรงหน้ามีหงส์ตัวหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากเปลวเพลิงอันร้อนระอุ หงส์ตัวนั้นกำลังกระพือปีกอยู่ในความว่างเปล่าพร้อมกับแผ่กลิ่นอายอันทรงพลังที่สามารถทำลายล้างโลกออกมา
อำนาจพลังของมันนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าร้อยกระบี่หวนคืนไม่รู้กี่เท่า แต่เมื่อได้พิจารณามองอย่างระเอียด กลับพบว่าในความเป็จริงแล้วโครงร่างของหงส์เพลิงตนนี้กลับประกอบด้วยลายเส้นกระบี่สีแดงเพลิงจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน มันถูกอัดแน่นและรวมเข้าด้วยกันจนดูเหมือนกับขนของหงส์ตัวหนึ่ง
“นะ นี่มันหมื่นกระบี่หงส์เพลิง!”
มู่เฟิงไม่อาจต้านทานอานุภาพพลังของกระบี่หงส์เพลิงได้ พลังปราณเทวะเ่าั้หลั่งไหลเข้าสู่จิติญญาของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงตกตะลึงของซีเยว่ที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขา