อวิ๋นโส่วจงมีวิชาการดูคนอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง รู้ดีว่าในสถานการณ์ใดและคนประเภทใดที่พอจะไว้ใจได้ ในใจเขามีตราชั่งคอยวัดอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แค่ลองเสี่ยงดูสักครั้ง อวิ๋นโส่วจงเดินลึกเข้าไปในป่าไม่นานก็ได้ยินเสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบ มีคนกำลังดิ้นรนอยู่
เขารีบเร่งฝีเท้า พอเข้าไปใกล้ก็เห็นอู๋อวี่ถูกมัด ดวงตาถูกปิดด้วยผ้าสีดำ ในปากยัดด้วยฟางและใช้เชือกมัดปากของเขาเอาไว้
เขาชักกริชออกมาจากรองเท้า ก่อนจะใช้มันตัดผ้าสีดำที่ปิดตาของอู๋อวี่ออก จากนั้นจึงตัดเชือกที่มัดปากเขาออก อู๋อวี่กะพริบตาเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่าง จากนั้นก็รีบพ่นเศษฟางที่ถูกยัดอยู่ในปากออกมา
“ไว้ชีวิตข้าด้วย… ข้ามีเงิน… อย่าได้...” คำว่า 'ฆ่าข้า' ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา อู๋อวี่ก็เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน
ใบหน้าเ็าของอวิ๋นโส่วจงปรากฏขึ้นในสายตาของเขา ดวงตาของเขาหรี่ลง หลังจากนั้นความใแปรเปลี่ยนเป็ความไม่เกรงกลัวใดๆ
“ไฉจง เ้าคิดว่าจับข้าได้แล้วทุกอย่างจะจบลงหรือ? ข้าจะบอกให้เ้ารู้ไว้ ข้าส่งข่าวออกไปแล้ว ทางที่ดีเ้าปล่อยข้าเสีย ข้ายังพอจะช่วยเ้าไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาชีวิตเ้าไว้ หากข้าตาย คนที่จะต้องชดใช้ไม่ได้มีเพียงเ้าคนเดียว”
อวิ๋นโส่วจงมองเขาด้วยสายตาเ็า ก่อนจะล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อโบกไปมาตรงหน้าอู๋อวี่ “เ้าหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นจดหมายในมือของอวิ๋นโส่วจง ใบหน้าของอู๋อวี่ก็ซีดเผือดลงทันที เขามองอวิ๋นโส่วจงด้วยความหวาดกลัวพลางเอ่ยถาม “เป็ไปไม่ได้! จดหมายฉบับนี้ไปอยู่ในมือของเ้าได้อย่างไร? อู๋กังเป็คนสนิทของข้าเขาไม่มีทางทรยศข้า”
อวิ๋นโส่วจงยิ้มเยาะด้วยท่าทีเหยียดหยาม “แต่ก่อนเ้าเองก็เป็คนสนิทของนายท่าน”
คำพูดของเขาพลันทำให้อู๋อวี่สะอึกจนพูดไม่ออก แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อความจริงตรงหน้า “เป็ไปไม่ได้ ข้าเห็นอู๋กังขี่ม้าออกไปกับตา...”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “ไฉจง เ้าแอบใส่ยาสลบในน้ำที่ข้าดื่ม!”
คงมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่อธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงหมดสติไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในป่าแห่งนี้
อวิ๋นโส่วจงเข้าใจแล้ว หมอนี่โดนยาสลบเล่นงาน จนไม่รู้ว่าใครเป็คนจัดการเขา ในเวลานี้เขาเข้าใจวิธีการของฉู่อี้มากขึ้น เจิ้นหย่วนโหวผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
อวิ๋นโส่วจงเล่นกริชในมือโดยไม่ตอบคำถามของอู๋อวี่ ทันใดนั้นเขาก็เอากริชแทงลงไปที่เท้าของอู๋อวี่อย่างแรง กริชแทงทะลุฝ่าเท้าของเขาในทันที ทันใดนั้นอู๋อวี่ก็ร้องโหยหวนด้วยความเ็ป
รอจนกระทั่งเขาหยุดร้อง อวิ๋นโส่วจงจึงเอ่ยถาม “ปีนั้นใครเป็คนสั่งให้เ้าทรยศนายท่าน”
อู๋อวี่ร้องไห้คร่ำครวญ “เป็คนของชิ่งเก๋อเอ่อร์ไท่มาหาข้า ข้ามันโลภ ข้าทรยศท่านโหวเพราะความโลภของข้าเอง”
อวิ๋นโส่วจงดึงกริชออกและหลบอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เืสาดโดนตัว จากนั้นเขาก็แทงกริชลงไปที่เท้าอีกข้างของอู๋อวี่ เสียงกรีดร้องของอู๋อวี่ดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านไฉ… จริงๆ นะ… ข้าพูดความจริงทั้งหมด… ชิ่งเก๋อเอ่อร์ไท่ให้ตั๋วเงินข้าถึงหนึ่งแสนตำลึงเพื่อแลกกับเส้นทางการเดินทัพ”
อวิ๋นโส่วจงย่อตัวลงตรงหน้าเขา ก่อนจะใช้กริชกรีดเสื้อผ้าของเขาออกทีละน้อยโดยหลีกเลี่ยงเชือกที่มัดตัวเขาไว้ จนเผยให้เห็นเนื้อหนังอวบอ้วน อู๋อวี่มองเขาด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
อวิ๋นโส่วจงกรีดรอยบนร่างกายของเขา ไม่ลึกไม่ตื้น เจ็บแต่ไม่ถึงกับทำให้เขาหมดสติไปเพราะความเ็ป
ในเวลานี้อู๋อวี่ก็นึกขึ้นได้ ว่าแต่ก่อนทุกครั้งที่ท่านโหวจับเชลยศึกได้หากเจอคนดื้อรั้นไม่ยอมปริปากพูด ก็จะโยนให้ไฉจงเป็คนสอบสวน คนอื่นๆ ใช้เวลาหลายวันในการทรมานก็ยังไม่ได้ข้อมูล แต่พอมาถึงมือของไฉจง ไม่ถึงวันอีกฝ่ายก็จะยอมคายความลับออกมา
เมื่อคิดถึงตรงนี้อู๋อวี่ก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่อยากตาย แต่เขาก็รู้ดีว่าวันนี้คงหนีไม่พ้นความตาย แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายในตอนนี้ก็คือการตกไปอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญด้านการทรมาน
“ท่านไฉ… ท่านจะทำอะไร?”
“ท่านไฉ… ข้าพูดความจริงทุกอย่าง!”
อวิ๋นโส่วจงไม่สนใจเขา ยังคงกรีดรอยบนร่างกายของเขาอย่างตั้งใจ ขณะที่กรีดก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ที่แคว้นเหมียวเจียงมีวิชาหนอนกู่อย่างหนึ่ง คือการใช้มนุษย์เป็ปุ๋ยเพาะพันธุ์ไข่แมลง ไข่จะฟักตัวในร่างกายมนุษย์ อาศัยการกินเืเนื้อเจริญเติบโต”
“จากนั้นก็จะวางไข่ในเืเนื้อของมนุษย์... กระบวนการนี้ใช้เวลานานมาก อาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ในหนึ่งปีนี้ผู้ที่ตกเป็เหยื่อจะรู้สึกตัวตลอดเวลา ทุกๆ วันจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกกัดกินเืเนื้อ”
“แต่เ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเ้ากลายเป็ปุ๋ยชั้นดีของข้าแล้ว ข้าก็จะดูแลเ้าอย่างดี จะคอยให้อาหารเ้าทุกทุกวัน จะป้อนข้าวต้มเนื้อบดให้เ้า... เ้าอยู่สุขสบาย หนอนกู่ในร่างกายเ้าก็จะเติบโตได้ดี จะว่าไปแล้ว วิชานี้ เป็เพราะนายท่านเคยช่วยเหลือหัวหน้าเผ่าเหมียวเจียงเอาไว้ หัวหน้าเผ่าคนนั้นจึงมอบวิชานี้ให้แก่ข้า”
“ไม่ได้ใช้มานานหลายปีแล้ว ดีนะที่ยังไม่ลืมวิชา ไข่หนอนกู่ข้าก็พกติดตัวมาด้วย ตอนแรกข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ไม่นึกเลยว่า... จะมีวันนี้ หากเ้าไม่พูดก็ไม่เป็ไร ข้าจะไม่บังคับเ้า อย่างไรเสียทรมานจนตายก็นับว่าแก้แค้นให้นายท่านได้แล้ว”
อู๋อวี่หวาดกลัวจนิญญาแทบหลุดออกจากร่าง ในขณะนี้อวิ๋นโส่วจงเก็บกริชเรียบร้อยแล้ว หยิบห่อกระดาษเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เปิดมันออกและใช้ปลายเล็บนิ้วก้อยค่อย ๆ เขี่ยเม็ดสีดำเล็กๆ ในห่อกระดาษออกมา ก่อนจะฝังลงไปในาแของเขา
ไม่นานไข่หนอนกู่ในห่อกระดาษเล็กๆ ก็หมดลง อวิ๋นโส่วจงก็หยิบเข็มกับด้ายออกมาจากอกเสื้อ ร้อยด้ายเข้าเข็มอย่างคล่องแคล่วราวกับสตรี จากนั้นก็เย็บาแที่ฝังไข่เอาไว้อย่างประณีต
ในเวลานี้แม้จะเ็ปแต่ก็ไม่อาจปกปิดความหวาดกลัวเอาไว้ได้ อู๋อวี่แทบจะมองเห็นไข่สีดำกำลังฟักตัวอยู่ในเนื้อของเขา จากนั้นก็… ยิ่งคิดหนังศีรษะของเขาก็ยิ่งชา
“ท่านไฉ หยุดก่อน ข้าพูด ข้าพูดแล้วจริงๆ! เป็อู๋เยว่ เสนาบดีกรมกลาโหม อดีตผู้บัญชาการประจำกองกำลังรักษาการณ์เหลียวเป่ยเป็คนสั่งให้ข้าทำ!”
อวิ๋นโส่วจงไม่ได้หยุดมือยังคงถามต่อ “เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น?”
อู๋อวี่ร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านไฉ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริงๆ เขาบอกว่าท่านโหวคิดฏ ้ายืมมือชิ่งเก๋อเอ่อร์ไท่กำจัดท่านโหว หลังจากจัดการเื่นี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ให้เงินข้าหนึ่งแสนตำลึง บวกกับเงินอีกหนึ่งแสนตำลึงที่ชิ่งเก๋อเอ่อร์ไท่ให้ข้า จากนั้นเขาก็ให้คนเปลี่ยนชื่อให้ข้า ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน มาใช้ชีวิตซ่อนตัวอยู่ที่กองกำลังรักษาการณ์อำเภอไคอันเช่นนี้”
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเ้า?”
อู๋อวี่รีบพูด “ข้ากลัวว่าเขาจะฆ่าปิดปาก จึงเก็บจดหมายลับที่เขาส่งให้ข้าเอาไว้ โดยซ่อนไว้ใต้แผ่นกระเบื้องสีเขียวในห้องพักหมายเลขหนึ่งของจุดพักม้าที่ด่านเหิงซาน ท่านไฉ… ข้าไม่ได้โกหกท่าน! จริงๆนะ! หากไม่เชื่อ ท่านไปดูที่จุดพักม้าที่ด่านเหิงซานก็ได้”
อวิ๋นโส่วจงมองเขาด้วยหางตา สายตาเย็นเยียบจนน่าหวั่นเกรง “เ้ากลัวหรือไม่?”
น้ำมูกน้ำตาของอู๋อวี่ไหลอาบแก้ม เขารีบพยักหน้าพลางร้องไห้คร่ำครวญ “กลัว ท่านไฉ ปล่อยข้าไปเถิด ปล่อยข้าไป!”
ในตอนนี้เขามีทั้งเงินทองและหญิงงาม ไม่อยากต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่อยากตาย
อวิ๋นโส่วจงตบหน้าเขาเบาๆ “ในเมื่อเ้ากลัว เหตุใดตอนนั้นถึงทรยศนายท่าน? ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะยอมหักหลังนายท่านเพียงเพราะเงินสองแสนตำลึง หากเ้าไม่ยอมพูดความจริง เช่นนั้น...”
สีหน้าของอู๋อวี่เปลี่ยนไปอย่างมาก รีบพูดขึ้นมาทันที “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว...”