รุ่งเช้าวันถัดมา แสงแดดส่องลอดช่องกระเบื้องที่ปะด้วยเสื่อไม้ไผ่ ภายในบ้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงไก่ป่าร้องขับขานเบาๆดังลอดออกมาจากแนวไผ่หลังบ้าน
เด็กหนุ่มยังคงนอนพักอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ เสื่อรองตัวเขาถูกปูทับด้วยผ้าห่มเก่าของน้าชาย กลิ่นสมุนไพรจางๆ ลอยคลุ้งรอบกายเขาจากยาสมุนไพรที่หานซิ่วเหมยเปลี่ยนให้เมื่อคืน
“เขายังไม่ตื่นเหรอคะ?”หลินเซี่ยนกระซิบถามแม่ พลางย่อตัวลงข้างกายเด็กหนุ่ม ใบหน้าเขายังซีดเล็กน้อย แต่ลมหายใจเป็จังหวะสม่ำเสมอมากขึ้นกว่าเมื่อวาน
“เขาน่าจะเหนื่อย...ให้เขาพักอีกสักวันเถอะ”หานซิ่วเหมยตอบคำถามของลูกสาวเบาๆ
หลินเซี่ยนพยักหน้า ก่อนจะเดินออกมาหน้าบ้าน มองรอบตัวด้วยแววตาสำรวจ โลกใหม่ของเธอเริ่มจากที่นี่บ้านดินเก่าๆ ที่ล้อมด้วยแนวไผ่และแสงแดดอ่อนๆยามเช้า
“ไหนดูซิ...บ้านนี้มีอะไรบ้างนะ…”
เธอเดินวนไปหลังบ้านพื้นดินยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ละอองไอน้ำเบาลอยขึ้นมา เธอเห็นแปลงผักเล็กๆที่น้าชายปลูกไว้ ผักกาด พริก กะหล่ำขึ้นเขียวสลับกัน มีร่องรอยน้ำชุ่มฉ่ำจากสายฝนเมื่อคืน ถัดไปเป็จุดเก็บเครื่องมือการเกษตรซึ่งมีครบทั้งเคียว จอบ เสียม คราด และถังตักน้ำสำหรับรดแปลงผัก
ใต้ชายคาหลังบ้าน เธอเห็นชั้นไม้เล็กๆ วางกระปุกดินเผาเรียงราย ปิดฝาด้วยกระดาษน้ำมันที่ถูกเชือกป่านผูกไว้แน่น
หลินเซี่ยนลองแกะเชือกป่านเพื่อเปิดกระปุกหนึ่งขึ้น กลิ่นหอมฉุนลอยขึ้นจมูก
“นี่มัน...เก๋ากี้แห้ง กับดอกเก๊กฮวยแห้ง!”
เธอหยิบกระปุกอื่นขึ้นดู พบว่ามีทั้งใบชาจีนแห้ง เปลือกผิวส้มแห้ง ขิงแห้ง หญ้าหวาน และสมุนไพรอีกหลายชนิดที่เธอเคยเห็นในร้านขายยาจีนในชาติที่แล้ว
“นี่มันคลังสมุนไพรเลยนี่นา…”
สายตาเธอเปล่งประกายขึ้นทันที ไอเดียธุรกิจมากมายเริ่มผุดขึ้นในหัวราวดอกเห็ด
“ถ้าเราทำชุดชาสมุนไพร หรือยาดองขายควบคู่กับผักดองได้ล่ะ? หรือทำ‘ชาสมุนไพรเย็น’ดี? ขายให้คนงานหน้าร้อนก็ยังได้! ต้องลองไปถามน้ารองดูว่ามีโรงงานแถวใกล้ๆตำบลหรือเปล่า”
หลินเซี่ยนหอบกระปุกบางส่วนไปหน้าบ้าน วางเรียงบนชานไม้ ดูส่วนประกอบแต่ละชนิดด้วยความตื่นเต้น
“แต่จะเริ่มยังไงดีล่ะ...ไม่มีภาชนะ ไม่มีถุง ไม่มีป้าย”
เธอเงยหน้ามองต้นไผ่ที่ล้อมรอบบ้าน ความคิดใหม่แล่นเข้ามา
“ถ้าเราลองตัดไผ่มาทำแก้ว กับหลอดชา หรือหีบห่อเล็กๆ แบบสานมือ...น่าจะขายได้ในตลาดนะ”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงไอบางเบาก็ดังขึ้นจากในบ้าน
“แค่ก...แค่ก...”
เด็กหนุ่มค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปรอบห้องด้วยแววตาสับสน
หลินเซี่ยนรีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“พี่ดีขึ้นไหม?”
“ที่นี่...ที่ไหน...”เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“บ้านน้าของฉัน...ตำบลซั่งจิ่ง”
เขาขมวดคิ้วแน่น
“ฉันยังจำอะไรไม่ได้เลย...”เขาพูดพร้อมเอามือกุมศีรษะ
หลินเซี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเบาๆ
“ไม่เป็ไรค่ะ...งั้นตอนนี้ฉันเรียกพี่ว่า ‘พี่ใหญ่’ ไปก่อนก็แล้วกัน”หวังว่าเขาจะสุขภาพแข็งแรงในเร็ววันนะ เธอคิดในใจ
เขาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาสั่นไหว...เหมือนกลัวว่าถ้าเขาปิดตาลงอีกครั้ง ทุกอย่างจะหายไป
“งั้นฉันไปช่วยแม่ทำอาหารเช้าก่อนนะ”สิ้นเสียง เธอลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังมุมเตาฟืนด้านข้างที่หานซื่อนั่งเคี่ยวโจ๊กอยู่
“แม่คะ เมื่อวานแม่ได้เอาเนื้อหมูกับของที่เราซื้อไว้มาด้วยหรือเปล่าคะ?”
“เอามาทั้งหมดเลยลูก อยู่ในตะกร้านั้นจ้ะ”หานซื่อชี้มือไปยังตะกร้าสานที่วางไว้มุมห้อง เมื่อคืนทุกคนต่างเร่งรีบเก็บของ ในบ้านเก่าไม่มีสมบัติอะไรที่เธอสามารถนำติดตัวมาได้มากนัก มีเพียงเสบียงอาหารที่เธอและลูกสาวซื้อในตลาดนัดตำบลที่เธอจะไม่มีทางทิ้งไว้ในบ้านเก่าหลังนั้นแน่นอน
“เราเพิ่มหมูหมักลงไปในโจ๊กด้วยดีกว่าค่ะ อ้อ...ต่อไปนี้เราจะเรียกพี่ชายคนนั้นว่าพี่ใหญ่ไปก่อนนะคะ เพราะพี่ใหญ่ยังจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย”เธอยิ้มตาหยี บอกเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว ทำให้ในบ้านหลังเล็กเจือบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัวในยามเช้า
หลินเซี่ยนลงมือสับหมูแล้วหมักด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันงา แป้งมัน และขิงซอยเล็กน้อย ก่อนจะใส่ลงในกระทะเหล็กที่โจ๊กกำลังเดือดปุดๆ การหมักหมูลักษณะนี้จะทำให้หมูนุ่มละลายในปาก ยิ่งเคี้ยวโดนขิงซอย กลิ่นขิงที่กระจายในปากยิ่งหอมสดชื่น นี่เป็เมนูที่เธอทำเป็ประจำในชาติที่แล้ว รอหมูสุกได้เธอก็เรียกทุกคนมาทานข้าว เสี่ยวซานทานไป2 ชามใหญ่ เช่นเดียวกับน้าชายของเธอ
เด็กหนุ่มลืมตาช้าๆ เพราะได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาในอากาศ ก่อนหันไปมองหลินเซี่ยนที่เข้ามาเงียบๆพร้อมโจ๊กหมูร้อนๆ ในถ้วยไม้
“พี่กินไหวไหม?” เด็กหญิงถามเบาๆ เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วพูดเสียงแ่“เมื่อคืน...ขอบใจนะ”
หลินเซี่ยนไม่พูดอะไร เพียงยิ้มบางๆ แล้วค่อยๆช่วยพยุงตัวเขาให้นั่งพิงผนังช้าๆ เธอป้อนโจ๊กให้เขาทีละช้อน ทันทีที่ได้ลิ้มรสชาติของโจ๊กหมูหมักชามนี้ เขาราวกับเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้างจากแววตาที่ยังว่างเปล่า ค่อยๆ กลับมามีประกายราวกับระลึกบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นจนเขาพูดเบาๆว่า…
“...พวกเขาเรียกฉันว่า...อาเฟย…”
เด็กหญิงกับน้าชิ่งเจี๋ยชะงัก หลินเซี่ยนทวนชื่อเบาๆ “อาเฟย?”
เขาพยักหน้า สีหน้าสับสนแต่จริงจัง
“ฉัน...จำได้แค่นี้…”
กลางดึกวันนั้น ขณะที่สายลมพัดต้นไผ่ไหวเบาๆ หลินเซี่ยนยังนั่งขีดเขียนสูตรชาสมุนไพรลงบนกระดาษเก่าๆ ใช้ถ่านไม้แทนดินสอ ไอเดียธุรกิจยังโลดแล่นอยู่ในสมองน้อยๆ
ที่มุมบ้าน อาเฟยหลับสนิท แต่ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนละเมอบางอย่าง “...อย่า...หนีไป...”
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มาจากที่ไหน แต่แผลถูกแทงที่ชายโครงซ้ายของเขาชัดเจนว่าเกิดจากมีด ไม่ใช่อุบัติเหตุทั่วไป ใบหน้าของเขาก็ไม่ใช่ชาวบ้านแถบนี้ รูปร่างสูงเกินวัย ผิวขาวจัด มือทั้งสองด้านมีรอยด้านจากการฝึกหนักบางอย่าง...
แสงจันทร์ในคืนวันนั้นสาดส่องผ่านช่องลมเล็กๆ ราวกับลำแสงสีเงินที่เคลื่อนผ่านใบไผ่ที่สั่นไหวตามเสียงลม เสียงจิ้งหรีดกรีดร้องดังสลับกับเสียงของแม่น้ำที่ไหลเอื่อย หลินเซี่ยนทิ้งถ่านไม้ในมือลงในกล่องกระดาษอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันกลับไปมองยังที่นอนของอาเฟย
ชายหนุ่มยังคงนอนหลับอย่างเงียบสงบ ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อยเหมือนถูกฝันร้ายรบกวน หลินเซี่ยนยืนนิ่งมองเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของเขาในยามหลับดูสงบเหมือนกับภาพฝันที่หลุดลอยจากอดีตที่ไม่อาจจับต้องได้
"อาเฟย…" เธอเรียกเขาเบาๆ แม้จะรู้ว่าเขาหลับแล้ว แต่ใจหนึ่งก็ยังคงสงสัยในปริศนาที่เกี่ยวกับตัวเขา
คืนที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบในบ้านดินแห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยคำถามที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ ทั้งคำถามจากหลินเซี่ยนที่มาจากโลกที่แตกต่าง และคำถามจากอาเฟยที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคือใคร หรือมาจากไหน
เช้าอีกวันหนึ่งของตำบลซั่งจิ่ง เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ดวงอาทิตย์พยายามผลักทลายความมืดมนของค่ำคืนที่ผ่านมาให้พ้นไป ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากหม่นหมองเป็สดใส เหมือนกับชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นจากในบ้านดินหลังนี้
หลินเซี่ยนยืนอยู่หน้าบ้านอีกครั้งในเช้าวันใหม่ เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกได้ถึงความสดชื่นของธรรมชาติรอบตัว แม้จะมีความเหนื่อยล้าและความวิตกกังวลสะสมในใจ แต่วันนี้เธอจะต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นด้วยแผนธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ทุกคนเริ่มกลับไปทำงานที่แปลงผักหรือในครัว หลินเซี่ยนมองไปที่หีบสมุนไพรที่ยังคงอยู่บนชานไม้ และคิดถึงแผนการที่จะนำสมุนไพรเหล่านี้มาผลิตเป็ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่ให้กับครอบครัวของเธอ ทั้งชา สมุนไพรแห้ง และผลิตภัณฑ์ดองที่อาจเป็ตลาดใหม่ในหมู่บ้าน
ทุกอย่างล้วนแต่เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น...