คำตรัสของไทเฮาแฝงไปด้วยการเหน็บแนม แต่อวี้อ๋องกลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่กระผีกริ้น ยังตอบออกมาตามตรง "การเข้าวังน่าเบื่อ ข้ายุ่ง"
ไทเฮาหัวเราะหึๆ "แล้วตอนนี้ไม่ยุ่งแล้ว?"
จากนั้นก็ปรายพระเนตรไปที่เฉียวเยว่ แม่หนูน้อยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ท่าทางใจลอยไปไกลแล้ว
อวี้อ๋องพยักหน้า "ตอนนี้ไม่ค่อยยุ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ได้ยินว่าเ้าแตงน้อยเข้าวัง กลัวว่าพวกท่านจะรังแกนาง ข้าเลยต้องมาดูหน่อย" คำตอบที่ตรงไปตรงมา ทำให้พระสนมสองสามคนหันมาสบตากัน ไม่รู้ควรจะพูดอย่างไร
แต่ไทเฮากลับแย้มพระสรวลอ่อนจาง "ดูเหมือนว่าเสด็จย่าอย่างเรายังสู้น้องสาวตัวน้อยของผู้อื่นไม่ได้"
กลิ่นน้ำส้มเข้มข้นโชยมา ประหนึ่งไหน้ำส้มพลิกคว่ำ
อวี้อ๋องอมยิ้ม "เสด็จย่าจะวิตกไปไย? ใครกล้าหุนหันพลันแล่นแม้เพียงเล็กน้อย เสด็จย่าก็สั่งปะาให้สิ้น ไม่ต้องไว้หน้าผู้ใด หากกลัวว่าพระหัตถ์จะสกปรก ก็สามารถมอบหมายทุกสิ่งให้หลานได้ อ๋องผู้นี้จะทำให้พวกเขาต้องเสียใจภายหลังที่ล่วงเกินเสด็จย่า ส่วนเ้าแตงน้อย เสด็จย่าก็ทรงทราบกระต่ายเป็สัตว์เลี้ยงในกรง ท่านเคยเห็นมันแยกเขี้ยวกัดคนหรือไม่? ด้วยเหตุนี้จึงต้องดูแลเป็พิเศษ ถึงอย่างไรตอนเป็เด็กนางก็น่ารักมาก"
พูดตามตรง คนทั่วไปมักรู้สึกเหนื่อยใจอย่างยิ่งยามคุยกับอวี้อ๋อง คำพูดของคนผู้นี้มักเฉียบคมจนทำให้คนตระหนกเสียขวัญได้จริงๆ
"พูดเหลวไหลอันใด ปะาให้สิ้นอันใด ถ้อยคำเลอะเทอะเช่นนี้พูดให้น้อยลงหน่อย" ไทเฮาแย้มพระสรวลน้อยๆ
อวี้อ๋องเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาหันไปมองเฉียวเยว่ "บอกว่าเ้าเป็กระต่าย เ้าก็เป็จริงๆ ไหนบอกว่าจะส่งดอกไม้ให้ข้าสองกระถาง ตัดเสียจนโกร๋นเหมือนนกแร้ง เ้าไม่อายบ้างเลยหรือ? หรือจะบอกว่าเ้าแทะกินไปหมดแล้ว?"
เห็นหรือไม่ นี่ใช้ได้หรือ? คำกล่าวเช่นนี้ ใคร่ครวญถึงอารมณ์ของผู้อื่นบ้างหรือไม่?
เฉียวเยว่สูดหายใจลึก หลังจากนั้นก็เงยหน้าพูดอย่างจริงจัง "นี่คือสิ่งที่ข้าเตรียมอย่างพิถีพิถัน อุตส่าห์ตัดแต่งอย่างดี แม้จะดูธรรมดาไปบ้าง แต่ก็มีกลิ่นอายของศิลปะท่วมท้น อีกอย่างมันจะอยู่ได้นานขึ้นหากตัดแต่งเช่นนี้"
ทั้งที่อยากฉีกหน้าคนมาก แต่ไร้หนทาง นางมันอ่อน!
ในฐานะคนใจเสาะ เฉียวเยว่ก็ได้แต่ยิ้มประจบสอพลอ "ท่านตาของข้าเคยพูดไว้ ท่านต้องเชื่อข้า"
อวี้อ๋องจ้องตาของเฉียวเยว่อยู่นาน "จะฝืนใจเชื่อเ้าแล้วกัน"
เฉียวเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
มีอวี้อ๋องอยู่ เหล่าสนมชายาที่ร่าเริงสองสามคนกลายเป็สงบเสงี่ยมกันหมด วาจาประโยคเดียวก็ยังไม่กล้าเอ่ย ได้แต่ยิ้มตามอย่างระมัดระวัง
ไทเฮาทรงวางพระองค์เป็ธรรมชาติ เริ่มคุยสัพเพเหระกับหรงจ้านโดยไม่คำนึงว่าทรงเรียกให้เฉียวเยว่มา
"่นี้ยุ่งอันใดอยู่หรือ?"
อวี้อ๋องเลิกคิ้ว "หลายวันมานี้ข้าไปเตร็ดเตร่ที่กั่วจื่อเจียนกับสำนักศึกษาสตรี และได้คุยกับเสด็จอาแล้ว ผู้าุโที่รับหน้าที่ดูแลกั๋วจื่อเจียนตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ ดูแลจนที่นั่นกลายเป็อะไรไปแล้ว ศิษย์แต่ละคนดีกว่าสวะเพียงแค่นิดเดียว ้าความรู้ก็ไร้ความรู้ ้ากำลังก็ไร้กำลัง นับวันมีแต่แย่ลงไปเรื่อยๆ ปีหน้าซีเหลียงจะมาเยือน ต้องงัดลูกไม้ออกมาเต็มรูปแบบเป็แน่ หากพวกเราไม่ปลุกพลังกันไว้ก่อนล่วงหน้าั้แ่ตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นสบช่องเล่นงานเราได้"
สนมชายาเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลใหญ่ ย่อมจะมีเด็กในบ้านที่ศึกษาอยู่ในกั๋วจื่อเจียน พอได้ยินอวี้อ๋องวิจารณ์เช่นนี้ก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าแกล้งตาย นึกโทษตนเองว่าเหตุใดต้องมาวันนี้
"ส่วนสำนักศึกษาสตรี กล่าวกันว่าสำนักศึกษาสตรีของต้าฉีมีความโดดเด่นเหนือผู้ใด แคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างเล่าลือกันไปไม่น้อย เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดัง หากพ่ายแพ้ในการแข่งขันกับซีเหลียง ก็จะกลายเป็ที่หยามหยันของเหล่านักปราชญ์ผู้ทรงภูมิ แม้ว่าพวกเราจะเป็แคว้นใหญ่มีอำนาจชี้ขาด ไม่ต้องกลัวเกรงทหารกุ้งแม่ทัพปูเหล่านี้ แต่ก็ไม่อาจเสียหน้ากระมัง ไม่ว่ากั๋วจื่อเจียนหรือสำนักศึกษาสตรี ก็ควรจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะศิษย์ชายเ่าั้ แต่ละคนแทบจะกลายเป็แม่นางน้อยกันอยู่รอมร่อ ช่างน่าขันจริงๆ"
พูดตามตรง เฉียวเยว่ฟังสิ่งเหล่านี้แล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ฉีอันยังบ่นอยู่เมื่อวาน ์ทรงโปรด ที่แท้การปลูกต้นไม้ยังไม่ใช่ตอนจบ ดูท่าคนผู้นี้ยังทรมานผู้อื่นไม่พอ!
แต่เวลานี้นางไม่กล้าพูดมากในตำหนักของไทเฮา
"่นี้ข้ากำลังเฝ้าสังเกต มีการเพิ่มหลักสูตรทั้งสองฝ่าย พวกเขา... ยังสบายกันเกินไป นี่คือสิ่งที่ข้ายุ่งอยู่ใน่นี้ เสด็จย่าไม่ทรงรู้สึกว่าหลานไว้เนื้อเชื่อใจได้หรือพ่ะย่ะค่ะ" อวี้อ๋องทอยิ้มน้อยๆ คล้ายกำลังรอคำชมจากไทเฮา
ไทเฮาชำเลืองมองสีหน้าระทมทุกข์ของเฉียวเยว่ พวกเขาย่อมไม่จำเป็ต้องเข้าไปเรียนอะไรในสำนักศึกษาสตรี แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยที่เพิ่งเข้าเรียนปีแรกกลับไม่คิดเช่นนั้น
พระนางทอดพระเนตรเฉียวเยว่ พลางแย้มพระสรวลตรัสถามว่า "เฉียวเยว่มีความคิดเห็นเช่นไรกับข้อเสนอของท่านอ๋องอวี้?"
เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้น ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า "หม่อมฉันอายุยังน้อย ไม่เข้าใจหลักการ เมื่อท่านอ๋องเห็นว่าถูกต้อง ก็ต้องถูกต้องแน่นอนอยู่แล้วเพคะ อย่างไรเสีย ท่านอ๋องก็อายุมากกว่า ปรกติเฉียวเยว่อยู่บ้านก็เขียนอักษรบ้างวาดภาพบ้าง เื่ราวภายนอกหรือวิสัยทัศน์อันใดล้วนไม่เข้าใจ เกรงว่าคงจะไม่อาจแสดงความคิดเห็นของตนเองได้เพคะ"
ไทเฮาจ้องเฉียวเยว่ เห็นนางทำตัวไม่ต่ำต้อยไม่โอหัง ก็อมยิ้ม "ก็จริง สกุลซูเป็ต้นกำเนิดของการศึกษาในครอบครัว เ้าไม่กลัวการศึกษาเล่าเรียน ย่อมไม่รู้สึกอันใด"
พระนางโบกพระหัตถ์ "เอาล่ะ เราเหนื่อยแล้ว เ้ากลับไปเถอะ"
หลังจากเว้นจังหวะครู่หนึ่งก็หันไปหาอวี้อ๋อง "จ้านเอ๋อร์อยู่กินมื้อเที่ยงเป็เพื่อนย่า?"
หรงจ้านพยักหน้ายิ้ม "ได้พ่ะย่ะค่ะ" หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น "ข้าจะส่งนางออกไปก่อน นางโง่เขลา จำทางไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ"
เฉียวเยว่ "..."
หรงจ้านกับเฉียวเยว่เดินตามกันออกมาจากตำหนัก เห็นฝนตกปรอยๆ เฉียวเยว่ไม่ได้พกร่มมา นางหันไปถาม "ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะหาร่มให้หม่อมฉันสักคันได้หรือไม่"
หรงจ้านมองไปที่ขันที ขันทีน้อยรีบไปเตรียมอย่างรู้งาน
เฉียวเยว่ "ข้าควรไปทูลลาองค์หญิงใหญ่"
หรงจ้าน "ไม่ต้องหรอก นางไปตำหนักของฮองเฮาแล้ว"
เฉียวเยว่ร้องเอ๋ หลังจากนั้นก็พูดว่า "แต่ถ้าไม่ไปก็คงไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรองค์หญิงใหญ่ก็เชิญข้ามา"
มือของหรงจ้านวางบนศีรษะของนาง ก่อนจะดีดหนึ่งทีโดยไม่ลังเล "โง่จริงๆ"
ถูกด่าว่าโง่ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้สึกอย่างไรหรือ?
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์จะพูด แต่ยุคสมัยนี้ นางะเิอารมณ์ออกมาไม่ได้ ทำได้แต่เพียงพูดอย่างจริงจัง "ท่านไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวผู้อื่น ด่าคนก็ไม่ดี ตีคนยิ่งไม่ดีใหญ่"
หรงจ้านทอยิ้มอ่อนๆ สีหน้าเผยแววเดียดฉันท์ "อยู่ดีๆ เ้าก็เรียกข้าว่าท่านอ๋อง ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด เมื่อครู่นั่นคือการลงโทษ"
เฉียวเยว่อยากเตะเขาให้กระเด็นไปเสียเดี๋ยวนั้นจริงๆ เอาให้หมุนติ้วสามร้อยหกสิบองศาไปเลย คนผู้นี้น่ารำคาญจริงๆ
น่ารำคาญที่สุด!
ตอนอายุน้อยยังเรียกได้ว่าเป็หนุ่มใสๆ แต่ตอนนี้ เหอๆๆ แสบตัวพ่อเลยล่ะ นับวันก็ยิ่งทำตัวประหลาด!
แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ นางก็ยังต้องยิ้มอย่างสุภาพ เผยฟันแปดซี่ตามมาตรฐาน "ท่านกล่าวถูกต้องแล้วเ้าค่ะ"
จะไม่ถูกได้อย่างไรล่ะ!
ผลลัพธ์ของความผิดพลาดก็คือการปลูกต้นไม้ในสำนักศึกษา นางไม่อยาก ไม่อยากสักนิด
รอยยิ้มหวานๆ ของนางทำให้คนโรคจิตอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย หรงจ้านถือร่ม "ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเ้า"
หา?
นางมองไปที่ขันทีน้อยอย่างหยามเหยียด ช่างเป็ขันทีน้อยที่รู้งานเสียจริง คนมีตั้งหลายคน เ้ากลับเอาร่มมาคันเดียว กล้าพูดหรือไม่ว่าไม่มีแล้ว?
"ไม่อยากไป?" หรงจ้านเลิกคิ้ว เห็นเฉียวเยว่จ้องขันทีน้อยแทบจะกินเืกินเนื้อก็ถามว่า "รู้จักกัน?"
เหอะๆ รู้จัก!
นางยิ้มอย่างอ่อนโยน "แต่มีร่มเพียงคันเดียว พวกเราจะไปอย่างไร? พี่จ้านไม่ต้องไปส่งข้าดีกว่า ข้าไปกับสาวใช้สองคนก็ได้"
"เ้าไม่อยากไปก็ตามใจ" เขาเก็บร่มเตรียมกลับเข้าด้านใน
เฉียวเยว่แค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดตามตรง นางเคยเห็นเด็กม.สองมาเยอะ แต่เขาทำตัวเด็กยิ่งกว่าเด็กม.สอง นางรู้สึกเหลือทนจริงๆ
แต่ทนไม่ได้... ก็ยังต้องทน
นางยิ้มพลางเอื้อมมือไปรั้งชายเสื้อของหรงจ้าน "ท่านพี่จ้านอย่าใจร้ายเช่นนี้สิเ้าคะ"
หรงจ้านพ่นลมหายใจทางจมูก มองนางลงมาจากที่สูง ไม่รู้เพราะเหตุใดเส้นผมของนางถึงมักไม่ค่อยอยู่ทรง มักกระดกขึ้นมาเสมอ แม้ว่าถักเป็เปียเส้นเล็กๆ ก็แล้ว แต่ก็ยังมองออก
ผมของนางกับเ้าตัวแลดูตลกและขี้เล่นเหมือนกัน
หรงจ้านลดตัวก้มลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา "ระหว่างข้าไปส่งเ้าที่หน้าประตูวัง หรือเ้าลุยฝนไป ข้าคิดว่าให้เ้าวิ่งตากฝนไปก็ไม่เลว"
เขายืนขึ้น "ไปหรือไม่ไป? ข้าไม่มีเวลาไปเป็เพื่อนเ้าได้ตลอดหรอกนะ เ้าควรรู้ว่าคนดีเช่นข้าในวังแห่งนี้มีไม่มาก"
เฉียวเยว่กัดฟันแต่ก็จำต้องยอมจำนน
"เช่นนั้น... รบกวนพี่จ้านแล้ว แต่สาวใช้ของข้า?"
จะให้เสี่ยวชุ่ยกับอวิ๋นเอ๋อร์เปียกฝนไม่ได้
"บ่าวไม่เป็ไรเ้าค่ะ คุณหนูไม่ต้องห่วง" อวิ๋นเอ๋อร์รีบพูดทันที
หรงจ้านโบกมือ "เ้าช่วยเอาร่มอีกคันให้พวกนาง"
หลังจากนั้นก็ใช้นิ้วชี้สะกิดแขนของเฉียวเยว่ "พวกเราไปเถอะ"
เฉียวเยว่พยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ ระงับความรู้สึกนึกคิดเป็หมื่นรอบ
นางทำแก้มป่อง หรงจ้านมองจากข้างบนลงมาย่อมสามารถมองเห็นริมปากน้อยๆ ของนางยื่นออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่กลับยังคงยิ้ม ฝนตกปรอยๆ หรงจ้านตัวสูงใหญ่ดุจต้นสน แต่เฉียวเยว่สูงกว่าเอวของเขาเพียงเล็กน้อย
แม้ไม่อยากเปียกฝน แต่อยู่ใกล้กันเกินไปย่อมไม่ดี อย่างไรเสียนางก็เป็แม่นางที่โตแล้ว ระหว่างเฉียวเยว่กับอวี้อ๋องอยู่ห่างกันเพียงครึ่งตัวคน
หรงจ้านคว้าคอเสื้อของเฉียวเยว่ดึงนางเข้ามาใกล้อีกสามส่วน สายลมอ่อนๆ พัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ ซึ่งไม่รู้มาจากที่ใด
เฉียวเยว่ดิ้นขัดขืน หรงจ้านเบะมุมปาก "เ้านึกว่าข้าสนใจกระต่ายโง่ไร้สมองอย่างเ้านักหรือ?"
"แค่กลัวว่าเ้าจะเปียกฝนจนไม่สบายเท่านั้น หากต้องไอเย็น ยังไม่รู้ว่าจะคิดเล่นอะไรแผลงๆ อีกบ้าง"
เฉียวเยว่ยิ้มเสแสร้ง "เช่นนั้นก็ขอบคุณที่ห่วงใยเ้าค่ะ"
หลังจากนั้นเดินห่างออกไปอีก หรงจ้านเห็นดวงตาดำขลับของนางเหมือนกำลังมีไฟลุกโชน อารมณ์ก็ยิ่งดีขึ้น หยาดฝนหยดลงมาบนหน้าผากของนาง ไหลผ่านหน้าม้าและดวงหน้า ก่อนหยดลงมาที่หน้าอก
เสื้อเปียกเป็ดวง ไม่มีสิ่งใดเผยออกมา แต่ทว่าใบหน้าของหรงจ้านกลับร้อนผ่าว เหตุใดวันนี้จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาเล่า?
เขาเอียงร่มไปด้านหน้ามากขึ้น
เฉียวเยว่โกรธจนแก้มป่อง
พอมาถึงประตูวังก็มองรองเท้าผ้าของตนเอง พลางบ่นพึมพำ "เปียกหมดแล้ว"
ราชวงศ์นี้ไม่นิยมรัดเท้าเหมือนราชวงศ์ก่อน เท้าของนางจึงมีขนาดเท่าที่เด็กอายุเท่านี้ควรจะมี นางยกเท้าขึ้น "ไม่ชอบออกจากบ้านตอนฝนตกเลย"
หรงจ้าน "เหตุใดถึงเื่มากนัก เ้าวอนขอ์ได้หรือไม่เล่า รีบขึ้นรถ"
เฉียวเยว่ทำแก้มป่องอีก
หรงจ้านเอานิ้วจิ้มเข้าไป ก่อนจะพูดเยาะหยัน "เ้าเป็ปลาหรือ แก้มป่องขนาดนี้ น่าจะเป็ปลาหัวโต อ้อ จริงสิ ข้าชอบกินหัวปลาหัวโตที่สุด"
เฉียวเยว่ : ฮึ้ย! น่าโมโหชะมัด แต่ยังคงต้องยิ้ม!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้