ม่อเวิ่นเฉินมองไปที่เหลยอวี๊เฟิงในดวงตานั้นฉายแววไม่สบอารมณ์ออกมา ทว่าก็เป็ความจริง่หลายวันมานี้เหมือนว่าซูฉีฉีมักจะคอยหลบหน้าเขาอยู่
คงเป็เพราะประโยคที่เหลยอวี่เหยากล่าวขึ้นวันนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือการทำให้ความกังวลในใจของซูฉีฉีหายไป เพราะความกังวลใจนี้เป็สิ่งที่เขามอบให้แก่นางเอง
ในคืนวันวิวาห์ตนได้พูดจารุนแรงเช่นนั้นออกไป น่าจะทำร้ายศักดิ์ศรีในตัวนางไปอย่างมาก สตรีที่เป็ดุจหิมะเช่นนางนั้นหลอมละลายง่ายยิ่งนักจากนั้นก็อาจจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“วางใจเถอะเพื่อดาบเสวียนหยวนแล้ว ข้าจะต้องทำได้แน่” ทันใดนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างท้าทายก่อนจะยกมือขึ้นตีบนตัวของเหลยอวี๊เฟิงเบาๆสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เหลยอวี๊เฟิงที่พิงอยู่บนเก้าอี้ยาวนั้นก็กลอกตาไปมา “หรือว่า บางทีข้าควรจะคิดหาวิธีให้นางหยุดรักเ้า”
“เ้ากล้า?” สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินคล้ำลงทันทีพลางเอ่ยออกด้วยท่าทีจริงจัง
เหลยอวี๊เฟิงหัวเราะออกมาด้วยสีหน้ากวนๆก่อนจะยกมือขึ้นดื่มน้ำชาในมือจนหมดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนักพลางเช็ดมุมปากของตนเบาๆ “นี่เป็การแข่งขันที่ยุติธรรมข้าไม่อาจทนเห็นเ้าชนะแล้วเอาดาบเสวียนหยวนไปต่อหน้าต่อตาได้หรอก”
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอยากที่จะได้เจียวเหว่ยอยู่ อยากได้เหลือเกิน
ม่อเวิ่นเฉินมองไปที่เหลยอวี๊เฟิงแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจนักสีหน้าเยือกเย็นขึ้นไม่น้อย “ได้สิ”
เขาไม่เคยกลัวความท้าสู้ ยิ่งเป็การท้าสู้ที่ยากลำบากเท่าใดเขายิ่งรู้สึกว่ามันน่าสนใจ
เหลยอวี๊เฟิงตบมือเข้าหากันเขารู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ “ในเมื่อตัดสินใจว่าจะไปแล้ว ข้าก็จะไม่ห้าม เอาอย่างนี้ก่อนไปข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองส่งพวกเ้าแล้วกัน”
“ได้ ไม่เป็ปัญหา” ม่อเวิ่นเฉินเองก็ไม่ปฏิเสธ ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพยักหน้าเข้าหากันนั้นเหลยอวี่เหยาก็ผลักประตูเดินเข้ามา
ก่อนจะวิ่งกระโดกกระเดกเข้ากอดเหลยอวี๊เฟิงที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าอยากไปเล่นที่หุบเขาขาดสะบั้น”
การปรากฏตัวของนางทำให้สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินคล้ำลงทันทีตอนนี้เขาเกลียดสตรีผู้นี้ไม่น้อย ถ้าหากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหลยอวี๊เฟิงและเพราะว่าที่นี่คือสำนักเหลยด้วยแล้ว เขาจะต้องไม่ไว้หน้าอย่างแน่นอน
ใบหน้าของเหลยอวี๊เฟิงบิดเบี้ยวจนเสียรูปสำหรับน้องสาวคนนี้ เขาไร้หนทางที่จะจัดการกับนางจริงๆ เขาตีสีหน้าเคร่งขรึมขณะผลักนางออกพลางยกมือขึ้นแคะหูของตน “หุบเขาขาดสะบั้น? ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่?”
เขาแสดงสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา แม่หนูคนนี้นับวันยิ่งทำอะไรไม่เข้าท่าเสียแล้ว
“แน่นอนว่าไม่ผิดที่ข้าจะไปก็คือหุบเขาขาดสะบั้น” เหลยอวี่เหยาพยักหน้าอย่างแรง
“ไม่ได้”ทันใดนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังพร้อมแฝงด้วยอำนาจอยู่หลายส่วน
เหลยอวี่เหยาเสมือนว่าเคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของเหลยอวี๊เฟิงแล้วนางยังคงไม่ออกไป ทำเพียงแค่ดึงแขนของเขามาแกว่งไปมา “ก็น้องอยากไปนี่”
ด้วยฝีมือของนางแล้ว หุบเขาขาดสะบั้นถือได้ว่าไม่ใช่สถานที่อันตราย เพียงแต่ว่าที่นั่นมีหิมะปกคลุมต่อเนื่องเป็เวลานานถนนหนทางขรุขระ การจะขึ้นไปหุบเขาขาดสะบั้นนั้นลำบากยิ่งนัก
เหลยอวี๊เฟิงที่มีสีหน้าจนปัญญานั้นก็ทำได้เพียงแค่หันไปขอความช่วยเหลือจากม่อเวิ่นเฉิน ทว่าม่อเวิ่นเฉินกลับทำเหมือนไม่ได้ยินก็มิปานเขาเพียงแค่สนอกสนใจกับการดื่มน้ำชามองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างพลางสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ซูฉีฉี
นางมักจะมีท่าทีประหนึ่งตัดขาดออกจากโลกมนุษย์แล้วก็มิปานมักจะอยู่คนเดียวเงียบๆ โดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยวเสมอ เมื่อเห็นแผ่นหลังอันบอบบางของนางในใจของม่อเวิ่นเฉินก็เกิดความสงสารขึ้นมา
เมื่อหันหน้ากลับมานั้นกลับเห็นเหลยอวี๊เฟิงนอนแนบลงไปอยู่ตรงนั้นอย่างอเนจอนาถพร้อมกับแสดงสีหน้าอับจนปัญญา “เวิ่นเฉินมิสู้วันพรุ่งนี้พวกเราไปหุบเขาขาดสะบั้นด้วยกันดีหรือไม่?”
ในสำนักเหลยนั้นเขาสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างไม่มีใครกล้าต่อกรหาเื่ ทว่าเขากลับไม่รู้จะทำเช่นไรกับน้องสาวที่รักยิ่งของตนผู้นี้ดี
ม่อเวิ่นเฉินแหงนหน้าขึ้นหัวเราะอย่างหนักก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ได้สิ ยินดีอย่างยิ่ง”
เขาก็อยากให้ซูฉีฉีออกไปเดินเล่นพักผ่อนจิตใจและกระชับความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย
เมื่อได้ยินว่าต้องไปที่หุบเขาขาดสะบั้นซูฉีฉีกลับไม่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงใดๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้านางเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“่นี้เ้ามีเื่อะไรในใจงั้นหรือ?”ในที่สุดม่อเวิ่นเฉินก็เดินไปดักอยู่ด้านหน้าซูฉีฉีก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
หลายวันมานี้ สีหน้าของซูฉีฉีนิ่งเรียบจนเกินไปทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
ซูฉีฉีส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มออกมา “ข้าจะไปมีเื่ในใจอะไรได้ เพียงแต่ว่าใกล้ถึง่ปีใหม่แล้วข้าเลยรู้สึกคิดถึง...ท่านแม่อยู่บ้าง”
เสียงของนางแ่เบามากอีกทั้งยังสั่นเครืออยู่ไม่น้อย
ม่อเวิ่นเฉินนิ่งอึ้งไปเขารู้ว่าการที่ซูฉีฉีสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้นั้นแสดงว่านางได้เชื่อมั่นในตัวเขาแล้วม่อเวิ่นเฉินก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นกดบนไหล่นาง กึ่งๆว่าเป็การโอบกอดนางเอาไว้ “ปีนี้ข้าจะอยู่กับเ้าเอง”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก ซูฉีฉีแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยประสานเข้ากับดวงตาของม่อเวิ่นเฉินในดวงตาของนางก็แฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างเห็นได้ชัด
“เ้าค่ะ”
“วันพรุ่งนี้ไปหุบเขาขาดสะบั้นเ้าก็เที่ยวเล่นให้มีความสุขเสียหน่อย” มือของม่อเวิ่นเฉินกระชับแน่นขึ้นพลางเอ่ยต่ออีกประโยคหนึ่ง
เหลยอวี่เหยาที่มองอยู่ไกลๆก็ได้แต่ทำท่ายื่นปากพลางกระทืบเท้าของตนอย่างแรงนางจ้องมองไปทางคนสองคนนั้นที่กำลังโอบกอดกันอยู่ด้วยสีหน้าเคียดแค้นจากนั้นก็ออกแรงหักกิ่งต้นเหมยด้านข้างของตนลงมา แล้วโยนลงไปที่พื้นก่อนจะออกแรงเหยียบ พลางก่นด่าออกมาอย่างเคียดแค้นเสมือนว่าจะได้ยินนางพูดว่าสตรีอัปลักษณ์ซูฉีฉีอะไรประมาณนั้น
ดูเหมือนว่านางจะเห็นซูฉีฉีเป็เหมือนหอกหนามที่ทิ่มแทงใจตนเสียแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่แถวนั้นก็บังเอิญได้ยินที่นางพูด
เขาก้าวไปด้านหน้าก้าวใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปออกแรงกระชากแขนเหลยอวี่เหยาอย่างแรง “อวี่เหยา เ้าคิดจะทำอะไร พี่ใหญ่ก็ล้วนไม่เคยห้ามเ้าแต่ว่าเ้าห้ามทำร้ายพระชายาโดยเด็ดขาด” เขาเอ่ยตักเตือนนางอย่างเข้มงวดมาก
เหลยอวี่เหยาที่ถูกทำให้ในั้นก็หันไปมองพี่ชายของตนในดวงตากลมโตของนางดูมีน้ำตาเอ่อคลออยู่บ้าง นางกัดริมฝีปากตนแน่นพลางออกแรงสะบัดหวังจะสะบัดแขนของเหลยอวี๊เฟิงออกไปให้พ้นตัวได้ “พี่ใหญ่ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าข้าชอบพี่เวิ่นเฉิน แต่เขากลับยังแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ผู้นั้น”
เหลยอวี๊เฟิงที่ได้ยินดังนั้นก็รีบยกมือขึ้นอุดปากนางก่อนจะมีสีหน้าจนปัญญา “เ้าเด็กบ้า พูดอะไรเช่นนี้”
แน่นอนว่าเขารู้ว่าเหลยอวี่เหยาชอบม่อเวิ่นเฉิน แต่ว่าบุรุษเช่นนั้นเขาจะหักห้ามใจให้น้องสาวตนเองแต่งงานให้กับเขาได้เช่นใด ต่อให้ม่อเวิ่นเฉินจะยินยอมเขาเหลยอวี๊เฟิงก็ไม่ยอมแน่
เหลยอวี่เหยาผลักเหลยอวี๊เฟิงออกก่อนที่น้ำตาของนางจะไหลรินออกมา “ข้าจะพูดๆ...”
ทว่านางกลับเห็นม่อเวิ่นเฉินกำลังโอบซูฉีฉีอยู่ไกลๆนั้นกำลังก้าวเดินมาทางนี้จึงได้หยุดคำพูดของตนลง หลายปีมานี้นางก็รู้ถึงความร้ายกาจของม่อเวิ่นเฉินต่อให้ตนนั้นเป็น้องสาวของเหลยอวี๊เฟิงแต่ถ้าหากไปสะกิดโดนแผลของเขาแล้วก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีเช่นกัน
เพราะฉะนั้นนางถึงไม่กล้าทำตัวเหลวไหลต่อหน้าเขา แต่ว่านางก็ยังชอบบุรุษผู้นี้
เมื่อเห็นซูฉีฉียิ้มออกมาอย่างมีความสุขสีหน้าของเหลยอวี่เหยาก็ยิ่งย่ำแย่ลง น้ำตาไหลอาบใบหน้าของนางไม่หยุดจากนั้นนางก็กระทืบเท้าแล้วหมุนตัวจากไปทันที
นางทนดูไม่ได้แล้ว
เหลยอวี๊เฟิงส่ายศีรษะเขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเผชิญหน้ากับซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินที่กำลังเดินมาทางนี้
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”ซูฉีฉียังคงเอ่ยถามออกมาอย่างมีมารยาทประโยคหนึ่งเมื่อครู่การกระทำของเหลยอวี่เหยานั้นพวกเขาได้เห็นหมดแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงยิ้มออกมาอย่างไม่ค่อยเป็ธรรมชาตินักพลางส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรหรอกๆ ล้วนแต่เป็เพราะข้าตามใจมากเกินไป”
เขาเอ่ยตอบพร้อมกับที่คนทั้งสามนั้นจะเดินกลับเข้าไปด้านในเรือนพรุ่งนี้ต้องไปหุบเขาขาดสะบั้นต้องเตรียมรถม้าอีกทั้งยังต้องเตรียมของที่ใช้ระหว่างทางให้พร้อมเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต่างก็แยกย้ายกลับห้องของตนเอง
หลายวันมานี้ซูฉีฉีมักจะรู้สึกว่างเปล่าในใจอยู่เสมอแม้ว่าคำพูดของม่อเวิ่นเฉินจะทำให้ความไม่สงบในใจของนางดีขึ้นบ้างทว่าความรู้สึกว่างเปล่านั้นยังคงไม่หายไป
นางมิได้เก็บข้าวของเพียงแค่ตามทุกคนออกเดินทางด้วยเท่านั้นเพราะเหตุนี้นางจึงยืนพิงขอบหน้าต่างมองดูทิวทัศน์ภายนอกแทน
ความรู้สึกไม่สงบนั้นออกมาจากภายในใจของนางไม่อาจจางหายไปได้ ทำให้นางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทว่าก็ไม่รู้จะเริ่มเอ่ยออกมาอย่างไร ในสมองของนางมักจะมีภาพรอยยิ้มของมารดาปรากฏขึ้นรอยยิ้มที่อ่อนแอแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยนนั้น
ลมพัดเข้ามาระลอกหนึ่งผ่านกระดาษที่บานหน้าต่างทำให้นางรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างซูฉีฉีตัวสั่นเล็กน้อยเพราะความหนาว นางยกมือขึ้นกอดไหล่ของตน อยู่ๆนางก็นึกถึงอ้อมกอดของม่อเวิ่นเฉินขึ้นมา
ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางดูเหมือนว่านางจะต้องพึ่งพาบุรุษผู้นี้เท่านั้น แม้ว่านางมักจะใช้ชีวิตและอยู่พึ่งตัวเองมาโดยตลอดแต่ว่านางก็ยังเป็แค่สตรีธรรมดาๆ คนหนึ่งนางเองก็้าที่พักพิงที่ช่วยให้อุ่นใจเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้