ตอนที่ภรรยาแท้งบุตร เขาไม่เพียงไม่ได้เฝ้าอยู่ข้างกายนาง ทว่ายังออกไปมั่วสุมกับผู้อื่น หลังจากที่ภรรยาของเขารู้เื่นี้ก็พยายามจบชีวิตตนเองและ้าหย่ากับเขา เขาสำนึกเสียใจและตำหนิตนเองเป็อย่างยิ่ง
ั้แ่นั้นมาเขาก็ได้กลับเนื้อกลับตัวเป็คนดี รักและทะนุถนอมภรรยา ไม่เที่ยวหญิงคณิกาอีก จิตใจทุ่มเทให้กับการทำงาน
เขาก่อตั้งเซียงเยวี่ยไจสาขาใหญ่ในเมืองเซียง ่สิบกว่าปีที่ผ่านมามีสาขาย่อยหลายสิบแห่ง ทำรายได้หลายหมื่นตำลึงต่อปี
นอกจากเซียงเยวี่ยไจแล้ว ยังมีโรงเตี๊ยมอีกหลายแห่ง การค้าล้วนเจริญรุ่งเรืองยิ่ง
ดังคำที่ว่าคนเสเพลเมื่อกลับตัวใหม่ แม้แต่ทองคำก็ไม่อาจแลกได้ หม่าชิงก็เป็คนประเภทนี้
หม่าชิงมองไปที่ชายชราหวังด้วยแววตาเป็ประกาย พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สูตรไข่เค็มเป็ของท่านลุงหรือ?”
ยามนี้ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุดของตระกูลหม่าคือขุนนางขั้นสาม และยังมีพระสนมในวังหลวงอีกหนึ่งคน
ตระกูลหม่าถือเป็ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งของเมืองเซียง
หม่าชิงเป็บุตรชายสายตรงที่เกิดจากภรรยาเอก ตัวเขาเป็พ่อค้าที่ร่ำรวย และยังดูแลกิจการส่วนใหญ่ของตระกูล จึงทำให้เขามีฐานะสูงส่งในตระกูล
แต่ถึงกระนั้น ยามเขาพบกับผู้เฒ่าหวังพ่อลูกที่เป็เพียงชาวบ้านขาเปื้อนโคลน ก็ยังคงมีมารยาทและสุภาพเรียบร้อย ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามแม้แต่น้อย
หลงจู๊ของเซียงเยวี่ยไจเป็บุรุษวัยกลางคนผิวขาวตัวอ้วนพี อายุประมาณสี่สิบปี มีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดูน่าคบค้าสมาคม เขายืนอยู่ด้านหลังหม่าชิง สายตาจดจ้องไปที่ผู้เฒ่าหวัง
“มิใช่ สูตรนี้เป็ของผู้อ่อนาุโที่บ้านข้า” ผู้เฒ่าหวัง้ารู้เื่จํานวนเงินมากที่สุด จึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “เซียงเยวี่ยไจ้าซื้อสูตรไข่เค็มด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงอย่างนั้นหรือ?”
หม่าชิงพยักหน้า “เป็เช่นนั้น”
ผู้เฒ่าหวังดีใจแทบหมดสติ หลังจากนั้นก็หันไปหาหวังเลี่ยงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย ชายชราเอื้อมมือขวาออกไปและตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่ม พลางเอ่ยด้วยความปลื้มปีติระคนโกรธเคือง “หนึ่งร้อยตำลึงเงิน เ้าได้ยินหรือไม่หนึ่งร้อยตำลึง! เ้ากับพี่ใหญ่ของเ้าส่งสารผิด เกือบจะทำลายการค้านี้ไปเสียแล้ว”
แท้จริงแล้วเมื่อวานที่หลงจู๊ยื่นมือออกไปหนึ่งฝ่ามือห้านิ้วนั้นหมายถึงห้าสิบตำลึง หม่าชิงก็ยื่นหนึ่งฝ่ามือพลิกกลับไปมาคือหนึ่งร้อยตำลึง
ตระกูลหวังยากจน วิสัยทัศน์ของหวังจื้อพี่น้องจึงต่ำ ทำให้เข้าใจผิดนึกว่าเป็ห้าและสิบตำลึง
เื่วุ่นวายเช่นนี้เป็เพราะการส่งสารที่ผิดพลาดอย่างแท้จริง
โชคดีที่ตอนนี้ความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขให้กระจ่างแล้ว ผู้เฒ่าหวังได้ให้คำมั่นว่าจะกลับเรือนและเรียกหลี่ชิงชิงมาเจรจาเื่สูตรไข่เค็ม
เื่ดีๆ เช่นนี้ กลัวว่ายิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งเกิดความผิดพลาดไปมากกว่านี้
หม่าชิงแย้มรอยยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านลุงอย่าได้รีบร้อน ค่อยๆ เดิน”
หลงจู๊รอหลังจากผู้เฒ่าหวังพ่อลูกจากไป พลันเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดนายท่านถึงยืนกรานที่จะซื้อสูตรไข่เค็มด้วยขอรับ”
นามของหลงจู๊คือหม่าเซี่ยงหนาน เขาเป็บุตรที่เกิดจากทาสในจวนของตระกูลหม่า แม้แต่แซ่ก็ยังได้รับความเมตตาจากตระกูลหม่า เขามีจิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดี และได้รับความไว้วางใจจากหม่าชิงมาก
หม่าชิงเอ่ยตรงไปตรงมา “เ้าเองก็เคยลิ้มรสแล้ว ไข่เค็มสามารถเก็บไว้ได้สองเดือนโดยไม่เน่าเสีย อาหารเช่นนี้สามารถขนส่งไปขายทางเหนือได้ ยามนี้ทางเหนือหนาวแล้ว หากว่าข้าส่งคนนำไข่เค็มไปขายที่ทางเหนือ เ้าคิดว่าจะเป็อย่างไร?”
มีเงินทุนมากเท่าใดก็สามารถทำการค้าได้มากเท่านั้น
หลี่ชิงชิงคิดเพียงจะขายไข่เค็มในเมืองเซียงเท่านั้น ในขณะที่หม่าชิงได้จินตนาการไปถึงขั้นจะขายไข่เค็มให้ทางเหนือของต้าถังเสียแล้ว
ดูเหมือนว่าหม่าเซี่ยงหนานจะเข้าใจขึ้นมาในทันที “โอ เหมันตฤดูอากาศหนาวเย็น ทางเหนือไม่มีผักสดกิน ไก่ก็ไม่ค่อยออกไข่ และไข่เค็มของเซียงเยวี่ยไจยังใส่เกลือด้วย สามารถกินเป็กับข้าวได้ อาหารอันโอชะเช่นนี้ย่อมขายดีอย่างแน่นอนขอรับ”
หม่าชิงนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขายิ้มเยาะพลางเอ่ย “ตาเฒ่าแซ่เหอของเจียงหนานไจยังคิดจะแย่งการค้ากับข้ายามเดือนล่าเยวี่ย [1] เฮอะ ยามนั้นข้ามีไข่เค็มแล้ว ดูสิว่าเขาจะแย่งอย่างไร!”
เจียงหนานไจคือร้านที่ทำขนมอีกร้านหนึ่งในเมืองเซียง ร้านนี้มีประวัติยาวนานหลายสิบปีแล้ว ร้านค้าสาขาใหญ่ไม่ได้อยู่ในเมืองเซียง แต่อยู่เมืองเจียงหนานที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของต้าถัง มีชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล ทุกคนที่เคยไปเจียงหนานล้วนรู้จัก
ตาเฒ่าแซ่เหอเป็หลงจู๊ของร้านเจียงหนานไจในเมืองเซียง และเป็บุตรชายสายตรงตระกูลเหอของนายท่านแห่งเจียงหนานไจ
นับั้แ่เซียงเยวี่ยไจก่อตั้งขึ้นมาก็ได้แข่งขันกับเจียงหนานไจ กลายเป็คู่ต่อสู้ทางการค้ากัน
แม้แต่ร้านเก่าแก่อันโด่งดังเลื่องลือไปทั่วเจียงหนานอย่างเจียงหนานไจ ก็ยังไม่ได้ส่งขนมไปขายยังทางเหนือ ด้วยหนึ่งในเหตุผลก็คือขนมนั้นเก็บรักษาได้ยาก
ครานี้หม่าชิงคิดจะใช้ไข่เค็มทําให้เซียงเยวี่ยไจสามารถข่มเจียงหนานไจอย่างหนักใน่เดือนล่าเยวี่ย และใช้ตีตลาดทางตอนเหนือ
หม่าเซี่ยงหนานรู้สึกเคารพเลื่อมใสอยู่ในใจ กล่าวยกย่องออกมาว่า “นายท่านช่างปราดเปรื่องยิ่งนักขอรับ”
หม่าชิงนั่งลงดื่มชาราวกับว่ากำลังสบายอกสบายใจ แต่แท้จริงแล้วในใจของเขากระสับกระส่ายยิ่งนัก
เพื่อให้ได้มาซึ่งสูตรไข่เค็ม คืนวันก่อนเขาได้มาที่อําเภอเหอ หวังว่าวันนี้จะทําเื่นี้ให้สำเร็จลุล่วง เช่นนี้ตนก็จะได้กลับไปที่เมืองเซียงเพื่อสั่งซื้อไข่เป็ดจํานวนมากเอาไว้
ผู้เฒ่าหวังพ่อลูกเร่งมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านหวัง ระหว่างทางผู้เฒ่าหวังไม่ได้ใส่ใจตำหนิบุตรชายเื่ส่งสารเื่จํานวนเงินผิดแต่อย่างใด
ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งจะเข้าหมู่บ้านหวังมาก็ถูกคนในตระกูลหวังต้าเหน่าไต้ [2] ที่กําลังเก็บมูลไก่อยู่บนถนนหมู่บ้านหยุดเอาไว้ “ท่านลุง บ้านลุงใหญ่จัดงานกินเลี้ยง หลิวซื่อกําลังหั่นผักอยู่ในห้องครัว นางไม่ทันระวังเผลอเฉือนนิ้วเข้า น้องสาวจวี๋บอกว่าพี่สะใภ้เฮ่ารู้วิชาแพทย์ จึงพาหลิวซื่อไปที่บ้านท่านแล้ว ยามนี้มิรู้ว่าเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
หวังต้าเหน่าไต้ปีนี้อายุสิบสามปี เป็บุตรชายของลูกพี่ลูกน้องคนรองของผู้เฒ่าหวัง เขามีศีรษะใหญ่ รูปร่างเล็ก หน้าตาสุขุม ดูราวกับอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี น้ำเสียงของเขาทั้งหยาบและหนักแน่น ยิ่งทำให้ดูเป็ผู้ใหญ่มากขึ้น
ครั้นได้ยินข่าวนี้ ผู้เฒ่าหวังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยถาม “หลิวซื่อใด?”
หวังต้าเหน่าไต้อธิบาย “คนจากฝั่งบ้านเดิมของท่านป้าใหญ่ นางมาช่วยทําอาหารโดยเฉพาะ ข้าได้ยินคนเรียกนางว่าหลิวซื่อขอรับ”
หวังเลี่ยงรีบร้อนเอ่ย “ท่านพ่อ ไม่ใช่ท่านแม่ข้า เป็หลิวซื่อจากนอกหมู่บ้านขอรับ”
ผู้เฒ่าหวังเอ่ยในใจ ‘การค้าหนึ่งร้อยตำลึงเงินยังรอชิงชิงอยู่เชียวนะ นิ้วของหลิวซื่อถูกเฉือน ชิงชิงจำเป็ต้องช่วยคน ไม่รู้ว่าจะช่วยจนถึงเมื่อใด อนิจจา... คงมิใช่ว่านายท่านของเซียงเยวี่ยไจจะรอไม่ไหวจนจากไปกระมัง?’
ยามนี้ห้องโถงของตระกูลหวังเต็มไปด้วยผู้คน
หลิวซื่อคือคนจากหมู่บ้านข้างๆ ปีนี้อายุสี่สิบสามปี นางมีใบหน้าใหญ่ เรียวคิ้วหนา ผิวทั้งดําและหยาบกร้าน ทว่าแต่งตัวสะอาดสะอ้านเป็ระเบียบเรียบร้อย มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็สตรีดุร้าย
นางเผลอใช้มีดทําครัวเฉือนนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนเอง อีกเพียงนิดเดียวก็จะเฉือนถึงกระดูกนิ้วแล้ว สิบนิ้วเชื่อมโยงถึงหัวใจ ตอนนี้นางกําลังร้องไห้อย่างขมขื่น ร้องเสียงดังอยู่เป็ระยะๆ “เจ็บจะตายแล้ว ข้าต้องเป็บาดทะยักแน่ๆ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว”
ครั้นหลิวซื่อยังเป็เด็ก มีชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านไม่ทันระวัง เฉือนถูกเนื้อตรงน่องขณะผ่าฟืน ในวันเดียวกันนั้นเขาก็เป็ไข้ตัวร้อนและติดเชื้อบาดทะยัก ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็สิ้นใจแล้ว
เหตุการณ์นี้ยังคงเด่นชัดในความทรงจำของหลิวซื่อราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้น ยามที่ใช้ขวานผ่าฟืนนางจึงระมัดระวังเป็พิเศษ เพราะกลัวว่าจะฟันเข้าที่ขาของตนเอง
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าวันนี้ตอนที่นางกำลังใช้มีดหั่นผักอยู่ ก็กลายเป็ว่าได้เฉือนนิ้วตนเองเสียแล้ว
ด้านข้างมีท่านป้าของหลิวซื่อยืนอยู่ ซึ่งก็คือต้าหลิวซื่อสะใภ้ของหวังเหล่าต้า และยังมีลูกสะใภ้ของต้าหลิวซื่ออีกสองคน และหลานสาวฝ่ายมารดาอีกสองคน
เมื่อรวมกับสตรีน้อยใหญ่ในตระกูลหวังก็เกินสิบคนไปแล้ว
สตรีสามนางงิ้วหนึ่งฉาก สตรีรวมตัวหลายคนล้วนกำลังพูดคุยกัน กอปรกับหลิวซื่อกำลังสะอื้นไห้ จึงเอะอะเสียงดังเป็อย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าหวังพ่อลูกเข้าไปดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เบียดเข้าไปคุยกับหลี่ชิงชิง ก็ถูกต้าหลิวซื่อที่เช็ดน้ำตาอยู่ดึงออกไปคุยข้างนอก
“น้องห้า เ้าช่วยข้าถามสะใภ้เฮ่าสักหน่อยเถิดว่า มือของหลานสาวข้าจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่?” ยามนี้ต้าหลิวซื่อสํานึกเสียใจแต่ไม่อาจแก้ไขอันใดได้ หากรู้แต่แรกว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ตีนางให้ตายก็จะไม่เรียกหลานสาวจากบ้านเดิมมาช่วยทํางานในครัวเด็ดขาด
---------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ล่าเยวี่ย (腊月) หมายถึง เดือน12 ตามปฏิทินจันทรคติ
[2] ต้าเหน่าไต้ (大脑袋) หมายถึง ศีรษะโต ในที่นี้สื่อถึงคนแซ่หวังที่มีลักษณะศีรษะโต ชาวบ้านจึงเรียกเขาตามรูปร่างว่าหวังต้าเหน่าไต้
