“ฉันวางแผนอย่างนี้...” เฉินชุ่ยอวิ๋นสังเกตเห็นสีหน้าของลูกสาวคนโตแล้วจึงบอก “น้องแกต้องแต่งเข้าสกุลเฝิง ฉันคิดว่าเฝิงเจี้ยนเหวินเป็นายทหาร เงินเดือนต้องไม่น้อยแน่ ยังไงสินสอดย่อมต้องมากตาม หากบ้านเราเตรียมให้น้อยไป คงดูไม่ดีนักใช่ไหมล่ะ อีกอย่างสกุลเฝิงพูดไว้แล้วว่าจะให้สองสามีภรรยาหนุ่มสาวออกไปอยู่กันเองหลังแต่งงาน ที่เรือนหอใหม่ข้างในคงไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเลย”
ด้วยเพราะครั้งที่บุตรสาวคนโตแต่งงาน สกุลเจิ้งให้ผ้าห่มเพียงสี่ผืนเป็สินเดิมแก่เจิ้งเอ๋อ ตามประสาคนเป็แม่จึงกลัวลูกสาวคิดว่าเธอลำเอียง ก็เลยพยายามอธิบายให้ชัดเจน ความจริงแล้ว หากมิใช่เพราะเจิ้งหยวนบอกเธอลำเอียงเข้าข้างเจิ้งเจวียนกับเจิ้งเทียนเลี่ยงมากกว่า เธอคงไม่ทันคิดถึงเื่นี้ คนเป็แม่บ้านอื่นๆ ก็เป็แบบนี้กันหมดไม่ใช่หรือ รักทะนุถนอมใครก็ทะนุถนอมคนนั้น ที่บ้านอยากให้สินเดิมเท่าไรก็เท่านั้น ไฉนเลยจะต้องมาพะวักพะวง
ถึงจะได้ฟังคำอธิบายจากผู้เป็แม่แล้ว แต่เจิ้งเอ๋อก็ยังคงไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ด้วยเพราะเธอเป็ลูกคนที่สองของครอบครัว ไม่ได้รับความโปรดปรานเป็พิเศษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอต้องทนกับความลำเอียงของคุณพ่อคุณแม่มาโดยตลอด ดังนั้น เธอจึงชินชากับการไม่ต่อสู้แย่งชิงแล้ว คิดได้ดังนั้น เธอจึงกัดริมฝีปากล่างเบาๆ พลางพูดว่า“ถ้าอย่างนั้น แม่เตรียมผ้าทำผ้าห่มไว้แล้วเหรอ? ผ้าห่มหกผืนมันใช้ผ้าไม่น้อยเลยนะ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เฉินชุ่ยอวิ๋นก็พลันกลุ้มใจจนวางปุยฝ้ายลง “ยังเลย ฉันเองก็กังวลเื่นี้อยู่เหมือนกัน”
ปกติแล้วในชนบทเมื่อฝ่ายผู้หญิงแต่งงานก็มักจัดหาผ้าห่มหลายผืนเป็สินเดิม ส่วนปุยฝ้ายที่ได้ส่วนแบ่งจากในกอง พอนำมารวบรวมจากของทุกปีก็ถือว่าได้มาไม่น้อย ส่วนผ้าเธอก็ทอเองนิดหน่อย เพียงแต่เตรียมการมาหลายปี ก็ยังเก็บได้เท่านี้ ส่วนที่เหลือคงต้องซื้อแล้ว ซึ่งมันต้องใช้เงินจำนวนมาก เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงค่อนข้างลำบากใจ
ครั้นรู้ว่าเฉินชุ่ยอวิ๋นเริ่มเสียดายเงินแล้ว เจิ้งเอ๋อจึงไม่พูดอันใดต่อ
“แม่ แม่ให้ผ้าห่มสักสี่ผืนฉันก็ได้ ห่มพอแล้วค่ะ” เจิ้งหยวนบอก มิติของเธอคือโรงแรมขนาดใหญ่ ขนาดข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นอย่างมีครบถ้วน ทั้งยังไม่จำกัด ไฉนเลยจะไม่มีผ้าห่มได้
“ไม่ได้!” เฉินชุ่ยอวิ๋นตบเข่าฉาด ไม่ยอมให้เจิ้งหยวนคัดค้านแต่อย่างใด แล้วจึงว่าต่อ“ฉันบอกเท่าไรก็เท่านั้น ฉันมีวิธี แกไม่ต้องยุ่งแล้ว”
เจิ้งเอ๋อกำลังกำปุยฝ้ายก้อนหนึ่งไว้ในมือเงียบๆ แต่ทว่ามือคู่นั้นกลับสั่นเทาเสียจนปุยฝ้ายขาด
เฉินชุ่ยอวิ๋นจะทำอะไรได้ นอกจากไปขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ใหญ่ที่อยู่กลุ่มเย็บปักกับอาสะใภ้สามที่ทำงานโรงงานฝ้ายของรัฐ พอคิดดูแล้ว แน่นอนว่าเจิ้งหยวนย่อมไม่พอใจเท่าไร พี่สะใภ้ใหญ่ยังพูดง่าย ทั้งยังเป็คนในครอบครัวกันเอง แต่ครอบครัวนั้นก็มีพี่สะใภ้ใหญ่หาเงินเพียงคนเดียว เพียงแค่นี้มันไม่ต่างจากการที่พวกเขาคอยเกาะพี่สะใภ้ใหญ่เหมือนผีดูดเืกันทั้งบ้าน เจิ้งหยวนไม่อยากเพิ่มปัญหาให้เฝิงิเยว่แม้แต่นิดเดียว ส่วนอาสะใภ้สาม ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอาสะใภ้สามไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้ยังตอกหน้าเธอไปจังๆ ครั้นจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือคราวนี้ คงไม่พ้นต้องเผชิญกับสีหน้าเ็าของเธอเป็แน่
“แม่ ไม่เป็ไรจริงๆ ผ้าห่มสี่ผืนพอใช้แล้ว หลังแต่งงานเฝิงเจี้ยนเหวินต้องกลับกองทัพ บางทีฉันอาจจะต้องตามเข้ากองทัพด้วย แม่ให้ผ้าห่มฉันมาหลายผืนขนาดนี้ ฉันไม่ได้ห่มหรอก” แน่นอนอยู่แล้ว เธอไม่คิดว่าเฝิงเจี้ยนเหวินจะสามารถพาเธอเข้ากองทัพไปด้วยได้หรอก! เธอแค่หลอกเฉินชุ่ยอวิ๋นเท่านั้น อย่างน้อยๆ ก็เพื่อให้แม่ของเธอสบายใจ
เวลานี้มีเพียงครอบครัวของทหารที่มียศสูงกว่ารองผู้พันขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ตามเข้ากองทัพ ซึ่งบังเอิญว่าเฝิงเจี้ยนเหวินเป็รองผู้พันพอดิบพอดี คนวัยเขาเลื่อนตำแหน่งมาถึงขั้นนี้ไม่ค่อยมีแล้ว เพียงแต่เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่ทราบเงื่อนไขตามเข้ากองทัพ และไม่รู้ว่าเฝิงเจี้ยนเหวินดำรงตำแหน่งอะไร รู้แค่ว่ามีคนอื่นในหมู่บ้านนอกจากเฝิงเจี้ยนเหวินเป็ทหาร ก็ไม่เห็นครอบครัวไหนตามเข้ากองทัพสักคน! กองข้างเคียงมีครอบครัวหนึ่งตามเข้ากองทัพไป แต่ฝ่ายผู้ชายสมัครเป็ทหารมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินเพิ่งเป็ทหารได้กี่ปีเอง?
เฉินชุ่ยอวิ๋นเบะปาก “วาดฝันอะไรอยู่กัน จะตามเข้ากองทัพเหรอ เจี้ยนเหวินเขาเพิ่งอายุเท่าไรเอง ถ้าแกอยากตามเข้ากองทัพก็รออีกสองปีเถอะ”
พอเห็นว่าหลอกแม่ไม่ได้ เจิ้งหยวนก็หัวเราะเจื่อน ก่อนจับมือเฉินชุ่ยอวิ๋นแน่น “ยังไงผ้าห่มสี่ผืนก็พอใช้แล้ว เยอะกว่านี้ฉันไม่เอาหรอก”
ลูกสาวยิ่งรู้ความมาก เฉินชุ่ยอวิ๋นก็ยิ่งอยากให้ แต่ต้องจำใจยอมรับว่าที่บ้านไม่มีเงินและคูปองผ้าขนาดนั้นจริงๆ อีกอย่าง ฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่รู้จะได้ส่วนแบ่งปุยฝ้ายเท่าไร หากไม่พอสองผืน อาจจะต้องไปยืมบ้านอื่น
เฉินชุ่ยอวิ๋นหันมาถามเจิ้งเอ๋อบ้าง “เสี่ยวเอ๋อ ทางแกยังมีตั๋วผ้าอยู่เท่าไรเหรอ แบ่งให้ฉันก่อนได้ไหม?”
เจิ้งเอ๋อสะดุ้ง นิ้วเธองอเล็กน้อยแล้ววางปุยฝ้ายลงบนตั่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามควานหาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาจากกางเกง ครั้นคลี่ออกก็พบว่าข้างในมีคูปองผ้ายาวหนึ่งซื่อฉื่อ [1] สองใบ เธอกำมันแน่น
“ฉัน... ฉันมีอยู่แค่สองใบ เป็ของเถี่ยจู้ให้ฉันมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ค่ะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นยื่นมือออกไปรับ “สองใบก็ได้ แกเพิ่งแต่งงาน ยังพอมีเสื้อผ้าใหม่ไม่ใช่เหรอ? ยกคูปองนี้ให้น้องแกนะ”
เห็นสถานการณ์เป็เช่นนี้ เจิ้งหยวนพลันแย่งคูปองคืนจากมือเฉินชุ่ยอวิ๋นทันที “ไม่เอาน่ะ แม่ นี่พี่เขยเขาให้พี่สาวนะ ฉันจะเอามาได้ยังไง!” เธอยัดคูปองใส่มือเจิ้งเอ๋อแล้วว่า “พี่เก็บเอาไว้ แม่จะเอาอะไรพี่ก็อย่าให้ไปเสียหมดสิ”
เจิ้งเอ๋อมองคูปองในมืออย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่เจิ้งหยวนทำเช่นนี้ด้วย เธอไม่รู้ว่าควรเก็บหรือไม่ควรเก็บกันแน่ เฉินชุ่ยอวิ๋นเห็นดังนั้นจึงเริ่มชักมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว เธอทำเพื่อใครกันล่ะ เด็กตัวปัญหาคนนี้กลับไม่รู้สึกซาบซึ้ง!
“แม่ ฉันบอกไปแล้ว ผ้าห่มสี่ผืนก็พอจริงๆ นะ” เจิ้งหยวนรีบกอดแขนเฉินชุ่ยอวิ๋นหวังให้เธอใจเย็นลง แต่ก็กอดแน่นพอให้เธอหายใจสะดวก “ไม่เอา ไม่โกรธนะคะ ฐานะทางบ้านเราไม่ดีนัก สกุลเฝิงก็ไม่ใช่ไม่รู้ ผ้าห่มสี่ผืนนอนพอแล้วค่ะ ที่บ้านรวบรวมปุยฝ้ายเหล่านี้มาอย่างยากเย็น เอามาทำผ้าห่มให้ฉันหมดไม่ได้หรอก ฉันว่าเสื้อบุฝ้ายของแม่กับคุณพ่อใส่มาหลายปี ไม่อุ่นเหมือนเดิมแล้ว หากมีปุยฝ้ายอยู่เยอะจริงๆ ให้พวกพ่อแม่ทำเสื้อกางเกงบุนวมตัวใหม่ใส่ดีกว่าอีกดีไหมคะ? ฉันแต่งออกไปจะได้ไม่ห่วงบ้านด้วย”
คำพูดคำจาหวานเสียจนทำเฉินชุ่ยอวิ๋นยิ้มออกในพริบตา ครั้นพอรู้ตัวก็พยายามหุบยิ้มแล้วทำหน้าบึ้งตึงแทน เธอเคาะหัวเจิ้งหยวนเบาๆ “คำพูดคำจาแกเนี่ยนะ ไม่รู้ไปเรียนจากใครมา!”
พอเจิ้งหยวนกับเจิ้งเอ๋อออกไป เฉินชุ่ยอวิ๋นค่อยเอ่ยกับเจิ้งเฉวียนกังที่กำลังพิงฟูกเอนหลังสูบบุหรี่อยู่ “หยวนหยวนโตแล้วจริงๆ รู้จักเอาใจใส่พ่อแม่ด้วยละ”
แม้เจิ้งหยวนจะไม่ได้พูดกับเจิ้งเฉวียนกังตรงๆ แต่ก็ยังเอ่ยถึงเขา แม้สีหน้าคนเป็พ่อจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัด แต่ในใจกลับยินดีอยู่ไม่น้อย เพียงยังวางมาดผู้ใหญ่อยู่ ประโยคต่อมาจากเจิ้งเฉวียนกังแม้ฟังดูไม่ยินดียินร้าย แต่ก็แฝงคำติชมไว้ “จะแต่งงานแล้ว ก็ควรโตแล้ว”
เฉินชุ่ยอวิ๋นจิ้มเอว จิ้มหลังของเจิ้งเฉวียนกัง “นี่ พ่อ ฉันคิดดูแล้ว เรายังควรให้ผ้าห่มหกผืนหยวนหยวนอยู่ดีนะ”
เจิ้งเฉวียนกังมองดูเธอท่ามกลางควันบุหรี่ที่หมุนวนเป็เกลียว “แกบอกว่าไม่ต้องไม่ใช่หรือไง?” เขารู้สถานการณ์ในบ้านดี การรวบรวมผ้านวมสี่ผืนมาได้ไม่ง่ายแล้ว ให้หาอีกสองผืน ที่บ้านคงหมดตัวกันเป็แน่
เฉินชุ่ยอวิ๋นชะงักอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันคิดอย่างนี้นะ สกุลเฝิงน่าจะให้สินสอดไม่น้อย เราสามารถเอาเงินสินสอดมาซื้อเพิ่มได้ไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นทำปลอกผ้าห่มสี่ผืนก่อน พอเขาให้สินสอดมา ค่อยซื้อเพิ่มอีกสองผืนเป็ยังไง?” เจิ้งเฉวียนกังก็คิดว่าสกุลเฝิงไม่น่าขี้งกเื่นี้เหมือนกัน คนมีชื่อเสียงบารมีในหมู่บ้านให้สินสอดกันมากถึงสองร้อยหยวน พวกเขาซื้อผ้าห่มหกผืนเป็สินเดิม บวกกับมอบพวกถ้วยชามรามไห และเครื่องเรือนนิดหน่อยให้บุตรสาว เท่านี้ก็มีหน้ามีตาแล้ว
“แต่คูปองผ้าคงต้องยืมคนรอบข้างนะ เวลากระชั้นชิดขนาดนั้นคงรวบรวมไม่ทันหรอก” คูปองผ้ามีอายุการใช้งานอยู่ ดังนั้นหากครอบครัวไหน้าจัดเตรียมสินเดิมก็จะแบ่งปันกัน
เจิ้งเฉวียนกังสูบบุหรี่มวนหนึ่งหมดแล้ว ประกายไฟแทบจะไหม้ถึงก้นบุหรี่ เขาก็ลุกขึ้นบี้ก้นบุหรี่ลงพื้น ใช้เท้าขยี้พลางบอก “ถ้ารวบรวมไม่ทัน ก็ไปหาสะใภ้สามเถอะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นชำเลืองมองเขา ขานรับอย่างมีความสุข
สะใภ้สามทำงานที่โรงงานผ้าฝ้ายของรัฐ ผ้าที่ชำรุดบางส่วนในโรงงานไม่จำเป็ต้องใช้คูปองซื้อ คนงานหญิงของโรงงานผ้าฝ้ายเลยมีผ้าใช้ไม่ขาดแคลน ก่อนหน้านี้เจิ้งเฉวียนกังคิดว่าตัวเองเป็พนักงานรัฐคนหนึ่ง ไม่อาจฉกฉวยผลประโยชน์ของประเทศได้ ดังนั้นจึงไม่เคยปล่อยเฉินชุ่ยอวิ๋นทำตามใจเธอ วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่านะ? เลยเป็ฝ่ายเสนอให้เธอไปบ้านเ้าสามด้วยตัวเอง
เชิงอรรถ
[1] ซื่อฉื่อ หรือฉื่อ หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีน เท่ากับ 33.33 เิเ หรือ 1 ฟุต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้