เล่มที่ 7 บทที่ 189 หนึ่งจิตสำนึกสร้างห้วงมิติ
ชั่วขณะที่หลินเฟยกำลังถอดจิตเข้าไป ทันใดนั้นรอบบริเวณก็กลายเป็ท้องทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาทันที ทำให้จิตสำนึกของหลินเฟยอ่อนแอลงจนเล็กจ้อย เพียงเศษเสี้ยวพลังเล็กน้อยก็สามารถกลืนกินจิตสำนึกของหลินเฟยได้
“หนึ่งจิตสำนึกสร้างห้วงมิติงั้นหรือ?” แม้จะอยู่ที่เมืองวั่งไห่มาเดือนกว่าแล้ว แต่หลินเฟยเองก็เพิ่งจะเข้าใจว่าพลังของค่ายกลคุ้มกันเมืองร้ายกาจขนาดไหนก็ตอนนี้นี่แหละ
ในอดีตตอนที่สามสำนักใหญ่ก้าวเข้ามาที่พิภพซ่างจง เพราะพวกเขาไม่อาจทนเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญล้มตายด้วยเงื้อมมือเหล่ามารปีศาจ ยิ่งตอนที่ระฆังพิภพซ่างจงดังขึ้น เหล่ามารปีศาจก็จะเกิดคลุ้มคลั่งและเข่นฆ่าคนไปทั่ว จึงใช้เวลานับร้อยปีร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา และบัดนี้เวลาก็ผ่านไปนับพันปีแล้ว ค่ายกลนี้ก็ได้ซึมซับไอจากฟ้าดินทุกวัน กระทั่งเริ่มเบิกปัญญาขึ้นมาได้…
หลินเฟยจึงไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเบิกปัญญาแล้วจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ หนึ่งจิตสำนึกถึงกับสร้างห้วงมิติได้เลย เพราะการทำเช่นนี้ จะต้องมีพลังขั้นฟ่าเซี่ยงขึ้นไปเท่านั้น ต่อให้เป็เ้าสำนักเฉียนหยวนของสำนักเวิ่นเจี้ยน ก็ยังไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้…
“ไม่ใช่สิ…” ขณะที่กำลังครุ่นคิดไปเรื่อย จู่ๆหลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ใช่ เพราะหากหนึ่งจิตสำนึกสามารถสร้างห้วงมิติได้จริง เกรงว่าตอนที่ถอดจิตเข้ามา เขาจะต้องถูกห้วงมิตินี้กลืนกินไปแล้ว มีหรือจะอยู่ได้ถึงตอนนี้?
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็ใจกระตุกขึ้นทันที แต่ก็มิวายพยายามส่งกระแสจิตเข้าไปสำรวจ…
ผลก็คือ…
ชั่วขณะที่กระแสจิตััเข้ากับขุมพลังสายนั้น ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวทันที พลังนี้รุนแรงจนแทบจะบดขยี้จิตสำนึกของหลินเฟยจนแตกละเอียด ไม่เพียงเท่านี้ ขุมพลังนี้เหมือนจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไปแม้แต่น้อย จิตสำนึกของหลินเฟยจึงถูกกดข่มอย่างรุนแรง…
แต่ยังดีที่พอััได้ถึงความผิดปกติ หลินเฟยก็รีบเรียกกระแสจิตของตนเองกลับคืนได้ทันท่วงที…
“นี่มันอะไรกัน?” คิ้วของหลินเฟยยังคงขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เพียงััอันบางเบาเมื่อครู่ ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็ปรปักษ์อันแรงกล้า ‘ทำไมถึงเป็เช่นนี้ไปได้ล่ะ?…’
‘ทั้งที่เมื่อครู่นี้ก็ได้หลอมของวิเศษจนเกิดเป็ไอิญญามากมายเพื่อเซ่นค่ายกลไปแล้วด้วยซ้ำ ยังไม่พึงพอใจอีกงั้นหรือ?’
‘เช่นนั้นก็ไม่ควรตั้งตัวเป็ศัตรูกันอย่างชัดเจนเช่นนี้นี่นา…’
หรือว่า…
เมื่อคิดได้ดังนั้นดวงตาหลินเฟยก็เกิดเป็ประกายขึ้นทันที
“จะต้องใช่แน่ๆ…” คิ้วที่ขมวดแน่นเริ่มคลายลง ใบหน้าเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงกระทั่งปรากฏรอยยิ้มแทนที่ขึ้นมา
“ถึงว่าไม่น่าจะใช่หนึ่งจิตสำนึกสร้างห้วงมิติ ที่แท้ก็เพราะเป็ทารกที่ยังไม่ได้เบิกเนตรนี่เอง…”
แม้ค่ายกลนี้จะเบิกปัญญาแล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาเต็มที่
ถึงอย่างนั้นก็เป็ปัญญาที่เกิดจากค่ายกลซึ่งซึมซับไอิญญาฟ้าดินมาช้านาน แล้วจะเทียบกับปัญญาสิ่งของทั่วไปได้อย่างไร?
เพียงปัญญาที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ก็มีพลังร้ายกาจเช่นนี้แล้ว ถึงขนาดสร้างห้วงมิติออกมาได้เลยทีเดียว…
ยิ่งตอนนี้ปัญญาที่เบิกออกมายังอ่อนวัยราวกับทารกแรกเกิดอีกด้วย ต่อให้ค่ายกลคุ้มกันเมืองจะมีพลังกล้าแกร่งเพียงใด สุดท้ายก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริงอยู่ ทุกอย่างจึงย่อมดำเนินไปตามธรรมชาติ…
ขณะที่ส่งไอิญญาเข้าไป ค่ายกลจึงฉายแววพอใจเป็อย่างมาก ในทางกลับกันพอดึงพลังออกไป จึงมีใจต่อต้านขึ้นมาทันที ก็เหมือนกับการแย่งขวดนมจากทารกแรกเกิดนั่นแหละ อีกฝ่ายไม่ร้องไห้ออกมาก็แปลกแล้ว…
“บ้าจริง…” เมื่อเข้าใจเื่ราวทั้งหมด หลินเฟยก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที ‘จะให้เจรจาอย่างไรล่ะ ใครมันจะคุยกับทารกรู้เื่?’
‘จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?’
บัดนี้อสุรกายกุ่ยหวังสามารถหลุดออกจากค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่าได้ทุกเมื่อ หากไม่มีพลังจากค่ายกลแล้ว เพียงแค่พลังของเสาหยกทั้งแปดก็ไม่อาจเพียงพอที่จะกักขังเอาไว้ได้แน่
“บ้าจริง ไม่ได้ก็ต้องได้ล่ะทีนี้…” คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็ไม่รอช้า ต่อให้โอกาสมีเพียงริบหรี่เพียงใดก็ต้องลองดูสักตั้ง
พริบตานั้นเอง จิตสำนึกของหลินเฟยก็กลายสภาพเป็เรือลำน้อย ลอยล่องไปตามท้องทะเลอันกว้างใหญ่ในห้วงมิติ เพียงครู่เดียวก็เกิดพายุกระโชกแรง ซึ่งพร้อมจะกลืนกินเรือลำน้อยเข้าไปได้ทุกเมื่อ…
แต่ถึงอย่างนั้นหลินเฟยก็ไม่อาจบังคับทิศทางได้ จึงปล่อยให้เรือน้อยแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ…
สุดท้ายเมื่อมาถึงบริเวณใจกลางพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ เขาก็เห็นไข่สี่สีใบั์กำลังลอยอยู่
ไข่ใบนั้นมีสีม่วง สีขาว สีทอง และสีเขียวปะปนกันไป โดยกำลังลอยอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่
หลังจากที่พยายามเข้าไปใกล้ๆ พายุก็โหมกระหน่ำซัดแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับเ้าแห่งท้องทะเลกำลังพิโรธอยู่ก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นหลินเฟยเองก็ยังไม่อาจขยับได้ ทำเพียงค่อยๆลอยเข้าหาไข่ใบนั้นทีละนิด…
ทั้งที่ห่างกันเพียงพันกว่าจ้างแท้ๆ แต่กลับรู้สึกไกลราวกับหมื่นลี้ หลินเฟยไม่รู้ว่าถูกคลื่นซัดไปกี่ครั้งแล้ว แต่ก็มีหลายครั้งที่ถึงกับต้องกัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้น และในที่สุดขณะที่จิตสำนึกใกล้จะดับสูญลง หลินเฟยก็ลอยมาถึงไข่สี่สีใบนั้นเสียที…
พริบตาต่อมาก็เกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้น…
ทั้งเสียงทั้งภาพและความรู้สึกมากมายหลั่งไหลปนเปในหัว ทันใดนั้นหลินเฟยก็รู้สึกราวกับสมองถูกอัดแน่นจนแทบะเิ เหมือนกับว่าบัดนี้เวลาได้หยุดนิ่งลง บางครั้งก็ช้านานเหมือนผ่านไปเป็ปี หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ใบหน้าหลินเฟยมีความรู้สึกมากมายแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งดีใจ ทั้งโกรธเกรี้ยว ทั้งสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน ทุกสิ่งอย่างต่างผสมปนเปจนมั่วไปหมด และแล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ค่อยๆจางหายไปในที่สุด เหลือเพียงรอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าเพียงอย่างเดียว…
“หากวันใดข้าบรรลุฟ่าเซี่ยงแล้ว บัดนั้นข้าจะมารับเ้าไปด้วย”
สิ้นเสียงของหลินเฟย เขาก็ถอดจิตออกจากห้วงมิติ…
จากนั้นก็เกิดพลังกล้าแกร่งจำนวนมากยหลั่งไหลออกมาจากค่ายกลเสมือนเขื่อนแตก บัดนี้เอง เนื่องจากมีพลังอันรุนแรงไหลเข้ามา จึงทำให้เสาั์ทั้งแปดเปล่งแสงออกมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันสัตว์ร้ายทั้งแปดในค่ายกลก็คำรามกึกก้อง เงาอันเลือนรางก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง เหล่าสัตว์ร้ายขนาดั์กำลังปล่อยกระแสโเี้ออกมามหาศาล…
อสุรกายกุ่ยหวังเห็นดังนั้นก็ทำเพียงแค่นหัวเราะเ็า
“คิดว่าเดรัจฉานพวกนี้จะกักขังข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อสิ้นเสียง อสุรกายกุ่ยหวังก็เริ่มสำแดงกายให้ขยายใหญ่จนสูงขึ้นนับร้อยจ้าง ไออสูรเข้มข้นรอบตัวก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน สุดท้ายจึงกลายเป็ชุดเกราะห่อหุ้มทั่วร่างกาย หลังจากไอโเี้ปะทะเข้ากับชุดเกราะ ก็เกิดเป็เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น
ไม่นานก็ปรากฏเป็ัดำตนหนึ่งพุ่งเข้ากัดอสุรกายกุ่ยหวัง แต่ก็กลับถูกกรงเล็บแหลมคมของเ้าอสุรกายแทงทะลุหัว สุดท้ายจึงสลายกลายเป็ไอโเี้สีดำกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเสี้ยววินาทีถัดมา ก็เกิดลำแสงสายหนึ่งสาดส่องลงมายังค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่า ไอโเี้พลันรวมตัวกันอีกครั้ง หัวของัดำก็ฟื้นฟูกลับตามเดิม มันแหงนหน้าคำรามเสียงดังสนั่น และบัดนี้ดูเหมือนจะน่าเกรงขามกว่าเดิมอีกด้วย…
---------------------------------------------------------------------------------------------------------