เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้สังเกตสายตาที่หมี่หลันหยางมองมา การปกป้องและใส่ใจที่เขามีให้หมี่หลันเยว่นั้นเป็ไปโดยธรรมชาติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด หรือมีอะไรให้ต้องตำหนิ เพราะตัวเขาเองต่างหากที่รู้ดีที่สุด ว่าเขาเป็คนตัดโอกาสที่เขาเฝ้ารอด้วยมือของตัวเอง
"หลันเยว่ เธอเห็นบ้านสี่ประสานหลังนั้นแล้วนี่นา คิดว่าจะใช้บ้านที่มีอยู่เลย หรือว่าจะสร้างใหม่ ถ้าสร้างใหม่มันจะเป็งานใหญ่เลยนะ แถมยังไม่ได้กลิ่นอายของบ้านสี่ประสานด้วย"
บ้านสี่ประสานคือสัญลักษณ์ของปักกิ่งเก่า เป็รูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สืบทอดกันมาหลายปี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีใครบอกว่ามันมีมูลค่ามากเท่าไหร่ แต่จากสายตาของเจิ้งซวี่เหยาที่โลดแล่นอยู่ในวงการมานาน เขารู้สึกว่าบ้านสี่ประสานควรจะรักษาความรู้สึกเดิมๆ ไว้จะดีกว่า ไม่ต้องพูดถึงเื่เงินทอง แค่พูดถึงสไตล์ เขาก็ไม่อยากให้หลันเยว่ทำลายมันแล้ว
"ฉันรู้ค่ะ อาจารย์เจิ้ง ฉันเห็นว่าบ้านสี่ประสานหลังนั้นมีกำแพงด้านซ้ายที่ว่างอยู่ ไม่ได้สร้างห้อง ฉันเลยอยากจะสร้างห้องโล่งๆ ใหญ่ๆ ตรงนั้นเป็โรงงาน ส่วนบ้านที่เหลือฉันจะไม่ยุ่งเลยค่ะ ฉันถึงได้ดูขนาดของบ้านก่อน มันใหญ่พอที่จะไม่กระทบกับการออกแบบเดิมของบ้านสี่ประสานค่ะ"
ไม่คิดเลยว่าหมี่หลันเยว่จะมีการออกแบบในใจแล้วหลังจากดูบ้านแค่ครั้งเดียว ไม่รู้ว่าในหัวของเด็กคนนี้มีอะไรอยู่บ้าง ถามอะไรก็ตอบได้หมด เหมือนกับว่าไม่ว่าจะเื่อะไร เธอก็เตรียมตัวมาพร้อม และมั่นใจเต็มร้อย
"เธอมีความคิดก็ดีแล้ว แต่ว่าวาดแบบง่ายๆ ออกมาจะดีที่สุด ฉันมีเพื่อนเป็สถาปนิก ฉันจะให้เขาช่วยดูว่าการออกแบบของเธอสมเหตุสมผลไหม ถ้ายังมีอะไรที่คิดไม่ถึง ฉันจะให้เขาช่วยปรับปรุง อาจจะมีประโยชน์กับเธอก็ได้"
ถึงแม้ว่าหมี่หลันเยว่จะไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เจิ้งซวี่เหยาก็เอ่ยปากออกมาเอง เพราะยังไงก็เป็การสร้างโรงงานเพิ่มในบ้าน ถ้าออกแบบไม่ดีกระทบกับความสวยงามและโครงสร้างเดิมของบ้าน ก็คงจะไม่คุ้มค่า เพราะหมี่หลันเยว่อยากซื้อบ้านสี่ประสานอยู่แล้ว
"จริงเหรอคะ ดีจังเลย อาจารย์เจิ้ง ฉันกังวลอยู่พอดีว่าสิ่งที่ฉันออกแบบมามันแบนๆ ถ้าสร้างขึ้นมาแล้วไม่เหมือนที่คิดไว้ก็แย่เลยค่ะ ไม่คิดเลยว่าอาจารย์จะช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้ตลอด ขอบคุณนะคะ อาจารย์เจิ้ง ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่ดีใจมากที่เจิ้งซวี่เหยาช่วยแก้ปัญหาให้เธอ โดยที่เธอยังไม่ได้เอ่ยปากขอ หมี่หลันหยางมองดูเจิ้งซวี่เหยาที่แสดงออกอย่างอบอุ่นในขณะที่สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดวงตากลับมีแววประหลาดวาบผ่าน
เขารู้สึกว่าเขามองเจิ้งซวี่เหยาผิดไป ถ้าเขาดีกับน้องสาวเพียงเพราะว่าเขามีใจให้น้องสาวเท่านั้น อารมณ์ในดวงตาของเขาจะไม่เป็แบบนี้ ควรจะมีความรู้สึกที่ร้อนแรงและคลุมเครือ หรือตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ในดวงตาของเจิ้งซวี่เหยาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
สายตาแบบนั้นแม้แต่หมี่หลันหยางมองแล้วยังรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในวันที่หนาวเหน็บ เหมือนกับสายลมเย็นที่พัดโชยมาในวันที่อากาศร้อนจัด เหมือนกับตอนที่น้องสาวมีเื่เกิดขึ้นแล้วเขาคอยดูแลเอาใจใส่ ใช่แล้ว ความรู้สึกแบบนี้แหละ หมี่หลันหยางมองเจิ้งซวี่เหยาอีกครั้ง
เจิ้งซวี่เหยาได้เก็บสายตาที่มองน้องสาวเขาไปแล้ว แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่น เพราะคำขอบคุณของน้องสาว รอยยิ้มนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกพอใจในตอนนี้ แค่ได้ช่วยหมี่หลันเยว่ ได้เห็นเธอมีความสุข เขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาควรทำแล้ว ง่ายๆ แค่นั้น ไม่มีอะไรตอบแทน
ความอบอุ่นนี้เองที่ทำให้หมี่หลันหยางวางใจได้สนิท เพราะมันคือความอบอุ่น ไม่ใช่ความปรารถนา เขารู้สึกเข้าใจความรู้สึกของเจิ้งซวี่เหยาที่มีต่อน้องสาวมากขึ้น อาจจะมีความรักแบบหนุ่มสาวอยู่บ้าง แต่เขาก็ควบคุมตัวเองได้ดี ที่มากกว่านั้นคือความรักแบบพี่น้อง เป็ความรู้สึกที่ว่าแค่เธอมีความสุข มันก็เพียงพอแล้ว
เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกแบบนี้ของเจิ้งซวี่เหยา หมี่หลันหยางก็รู้สึกนับถือเจิ้งซวี่เหยามากขึ้น เขารู้ว่านี่คงเป็ผลมาจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนของเจิ้งซวี่เหยา เพราะดูจากแววตาของเขาก็รู้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นในดวงตาคู่นั้นคงไม่ได้มีความอ่อนโยนอยู่ร่วมกับความร้อนแรงขนาดนั้น
เขาเป็ห่วงน้องสาวจริงๆ อยากให้น้องสาวได้ดีจริงๆ ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ เพราะน้องสาวยังเด็กเกินไป สองคนนั้นไม่เหมาะสมกันจริงๆ แต่หมี่หลันหยางก็เข้าใจถึงความยากลำบากที่เขาอยากจะคว้าไว้แต่ต้องปล่อยมือ เจิ้งซวี่เหยาคงต้องต่อสู้ในใจอย่างหนักหน่วงแน่
หมี่หลันเยว่ไม่รู้เื่ความคิดในใจของทั้งสองคน ตอนนี้เธอเอาแต่คิดว่าเธอจะออกแบบบ้านสี่ประสานหลังนั้นยังไง
"อาจารย์เจิ้งคะ คืนนี้ฉันจะวาดแบบร่างของบ้านออกมา อาจารย์พอจะช่วยหาคนมาดูให้หน่อยได้ไหมคะ"
"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ งั้นเธอเอาแบบให้ฉัน ให้ฉันรู้ความคิดของเธอ แล้วฉันจะพาเขาไปดูบ้านด้วยตัวเอง ให้เขาช่วยวาดแบบใหม่ให้ เธอจะได้ไม่มีปัญหา"
เจิ้งซวี่เหยาดึงแกละของหมี่หลันเยว่แล้วเขย่าเบาๆ แสดงออกถึงความสนิทสนมอย่างเป็ธรรมชาติ เมื่อตัดสินใจที่จะเป็พี่ชายของเธอ นี่แหละคือสิ่งที่เขาจะได้รับ สามารถใกล้ชิดกับเธอได้อย่างเปิดเผย
ในคืนนั้นทุกคนต่างก็ยุ่งกันมาก หมี่หลันเยว่กับเฉียนหย่งจิ้นวาดแบบบ้านสี่ประสาน พยายามวาดให้เหมือนจริงมากที่สุด ถึงขั้นแอบไปดูบ้านสี่ประสานหลังนั้นอีกรอบ หมี่หลันเยว่ออกแบบเสื้อผ้าเก่งมาก นั่นเป็สิ่งที่ฝึกฝนมาั้แ่เด็ก แต่การวาดแบบบ้านนี่เป็ครั้งแรก
แต่ด้วยความช่วยเหลือของเฉียนหย่งจิ้นก็ถือว่าราบรื่น ยังไงก็ตามก็แค่วาดแบบคร่าวๆ ไม่ได้ละเอียดถึงขั้นอัตราส่วน ดังนั้นตอนที่แบบไปอยู่ในมือของเจิ้งซวี่เหยา เจิ้งซวี่เหยาก็พอใจมาก ชื่นชมหมี่หลันเยว่ไม่หยุดปากว่าวาดได้ดี
ส่วนหมี่หลันหยาง หลินเผิงเฟย และหนิวเถียจู้ก็ยุ่งกับการเขียนประกาศ ขอยืมพู่กันที่ใหญ่ที่สุดจากคุณปู่เจิ้ง แล้วเขียนประกาศถึงผู้เช่าด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่บนกระดาษสีแดง เนื้อหาโดยรวมก็เหมือนกับที่หลันเยว่พูด ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็เอากาวไปที่บ้านสี่ประสาน ตั้งใจจะติดประกาศ
แต่พอมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นรถบรรทุกจอดอยู่หน้าบ้านสี่ประสาน มีคนกำลังขนของ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีคนเริ่มย้ายออกแล้ว เฉียนหย่งจิ้นพุ่งเข้าไปสอบถามคนแรก แล้วก็รีบวิ่งกลับมา
"หลันเยว่ทายถูกจริงๆ ด้วย ลุงกับป้าหลี่จะย้ายออกแล้ว"
เมื่อได้ยินแบบนั้น หมี่หลันหยางก็ดีใจ
"เร็ว ตอนนี้แหละเป็โอกาสดี เราเอาประกาศไปติดกัน"
เฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟย และหนิวเถียจู้รีบวิ่งเข้าไปในบ้านโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ติดประกาศอย่างคล่องแคล่ว
"อ้าว นี่ติดอะไรกันน่ะ"
เพิ่งจะติดไปแผ่นเดียวก็มีผู้เช่าเข้ามาถาม เฉียนหย่งจิ้นจึงอ่านประกาศให้ผู้เช่าคนนั้นฟังเสียงดัง ทุกคนในนี้คงได้ยินกันหมด
จริงๆ แล้วพวกเขาก็เดากันไว้เกือบหมดแล้ว หลังจากที่บ้านของลุงหลี่ย้ายออกไป การที่เ้าของบ้านคนใหม่ปรากฏตัวก็เป็เื่ที่สมเหตุสมผล แต่จะให้ย้ายก็ย้ายเลย มันก็น่าใจหายอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็อยู่ที่นี่มาหลายปี
"เราก็ไม่ได้ใจร้ายกับพวกคุณขนาดนั้น เราให้เวลาถึงสิ้นเดือน หวังว่าถึงตอนนั้นในบ้านจะย้ายออกไปให้หมด อะไรที่ไม่ใช่ของบ้านนี้ พวกคุณก็เอาไปให้หมด แต่อะไรที่เป็ของบ้านนี้ พวกคุณอย่าไปยุ่งจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นตอนสุดท้ายคนที่คุยกับพวกคุณจะไม่ใช่พวกเราครับ"
คำพูดของเฉียนหย่งจิ้นแฝงไปด้วยการข่มขู่ แต่ก็พยายามที่จะปลอบโยน
"แต่ก็หวังว่าทุกคนจะราบรื่น เราอย่าสร้างปัญหาให้กันและกันเลยนะ พวกคุณย้ายออกไปอย่างราบรื่น พวกเราก็ย้ายเข้ามาอย่างสบายๆ จะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวให้วุ่นวาย เราขอตัวก่อนนะครับ พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ"
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรมาก หมี่หลันหยางกับพวกก็ออกจากบ้านสี่ประสาน ในบ้านสี่ประสานก็เริ่มวุ่นวายกันทันที ทุกคนต่างก็ปรึกษากันว่าจะย้ายหรือไม่ย้าย แต่ความเห็นสุดท้ายก็คือย้ายออก เพราะไม่มีใครอยากมีเื่กับกฎหมาย ตอนนี้บ้านมีเ้าของใหม่แล้ว ดูท่าทางก็แข็งกร้าว ทุกคนไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ
ถึงแม้ว่าจะมีสองสามบ้านที่ยังลังเลอยู่ แต่เมื่อเห็นเจิ้งซวี่เหยาพานักออกแบบมาวัดบ้านในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ตัดสินใจได้ เพราะครั้งนี้เป็การวัดอย่างละเอียด วัดขนาดของแต่ละห้อง ความยาวของกำแพง ความกว้างของประตูอย่างแม่นยำ ไม่เว้นแม้แต่ความหนาของกำแพง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเ้าของบ้านกำลังจะปรับปรุงบ้าน
ในระหว่างที่รอทั้งสองฝั่งย้ายบ้าน แบบบ้านของทั้งสองฝั่งก็ออกมาแล้ว ทีมงานก่อสร้างของแม่เจิ้งก็ช่วยหามาให้แล้ว เมื่อรู้ว่าบ้านสี่ประสานตกลงเรียบร้อยแล้ว แม่เจิ้งก็ยังหาทีมงานก่อสร้างอีกทีมมาให้ เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟยเริ่มติดต่อกับทีมงานก่อสร้างแล้ว พาทีมงานก่อสร้างไปสำรวจร้านและบ้านสี่ประสานทันที
จากนั้นก็เริ่มปรับความเข้าใจกับทีมงานก่อสร้าง ให้พวกเขารับรู้ถึงความตั้งใจของพวกเขา กำหนดทิศทางการก่อสร้าง และตกลงเื่ค่าใช้จ่ายตามข้อกำหนดของโครงการ ราคาเหมาะสมดี เพราะเป็คนที่แม่เจิ้งแนะนำมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากทำให้ดี การสื่อสารจึงเป็ไปอย่างราบรื่น
พอถึงสิ้นเดือน ป้าิ่ก็ย้ายออกไปหมดแล้ว เหลือไว้แค่ตู้เซฟที่จะมอบให้หมี่หลันเยว่ แค่หมี่หลันเยว่เปลี่ยนรหัสผ่านตู้เซฟก็สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนทางด้านบ้านสี่ประสานก็เป็ไปอย่างราบรื่นเกินคาด ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่ยื้อจนถึงวันสุดท้าย แต่พอมองเห็นบ้านที่ว่างเปล่า พวกเขาก็จำใจต้องย้ายออกไปในคืนนั้น
"เอาล่ะ พรุ่งนี้เราก็จะเข้าอยู่กันได้หมดแล้ว เราต้องรีบลงมือหน่อย ร้านค้าต้องเปิดให้ได้ภายในครึ่งเดือน ส่วนบ้านสี่ประสานเพราะต้องสร้างบ้าน เราให้เวลาถึงยี่สิบวัน ถึงแม้จะเป็แค่บ้านสี่ด้านง่ายๆ แต่ยังไงก็ต้องลงเสาเข็ม ขึ้นโครงหลังคา"
"เราให้เวลาบ้านสี่ประสานเพิ่มไปห้าวัน แต่นั่นก็คือขีดจำกัดแล้ว เราต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อนเปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็ร้านค้าหรือบ้านสี่ประสาน เรายังมีเื่ที่ต้องเตรียมอีกเยอะ"
หมี่หลันเยว่กำชับเฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟย การตกแต่งและสร้างบ้านใน่นี้ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขา อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนมีเื่ที่ต้องทำ อย่างเช่นหนิวเถียจู้และหมี่หลันหยาง ทั้งสองคนก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เช่นกัน
