ทำไมกันนะ พ่อสามีที่ปกติอยู่อย่างคนตายมาตลอดกลับเปล่งเสียงออกมาได้ล่ะ? ชาติที่แล้วตอนเกิดเื่ใหญ่ขึ้นกับเธอ พ่อสามีคนนี้กลับไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเลย ทว่าวันนี้เขาเป็อะไรไป?
หรือว่าคำพูดของเธอไปกระตุ้นบางอย่างเข้าให้แล้ว?
หรือว่า...
เธอมั่นใจว่าลูกสองคนของพี่สามีนั้นเป็หลานแท้ๆ ของพวกเขา หรือความจริงแล้วลูกของเธอไม่ใช่หลานแท้ๆ ของพวกเขากัน? แต่เธอรับประกันได้ว่าลูกทั้งสามคนของเธอล้วนแล้วแต่เป็เืเนื้อเชื้อไขของซ่งหานเจียงทั้งสิ้น ถ้าเป็แบบนี้ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่ซ่งหานเจียงแล้วล่ะ หรือว่าซ่งหานเจียงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา
ซย่านีรู้สึกใกับการคาดเดาของตนเองมาก
ยิ่งเธอครุ่นคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเดาถูกทางแล้ว
ในปี 1968 ซ่งหานเจียงเพิ่งจะอายุสิบสี่ปีเท่านั้น เขายังเป็เด็กน้อยที่โตไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับถูกส่งตัวไปเป็ยุวปัญญาชนอยู่ที่ชนบท
พอปี 1972 ซ่งหานเจียงแต่งงานกับเธอ ทว่าพ่อแม่ของซ่งหานเจียงอย่างซ่งเป่าเถียนและหวังซิ่วอิงกลับไม่มีใครมาร่วมงานแต่งงานของลูกชายเลยสักคน และที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่ได้ให้เงินค่าสินสอดกับลูกชายเลยสักแดงเดียว
นอกจากนี้ ยังมีตอนที่ซ่งหานเจียงสอบติดมหาวิทยาลัย และพาซย่านีกับลูกๆ เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงอีกแม่สามีมักจะดูถูกลูกสะใภ้ที่มาจากชนบทแบบซย่านีอยู่แล้ว และซย่านีเองก็เข้าใจตรงนี้ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่สามีกลับไม่ชอบลูกๆ ของเธอด้วยเช่นกัน เดิมทีซย่านีคิดว่าเป็เพราะเด็กๆ ถือกำเนิดจากผู้เป็แม่อย่างเธอ แต่ตอนนี้พอลองคิดดูแล้ว บางทีอาจจะเป็เพราะเด็กๆ เป็ลูกของซ่งหานเจียงหรือเปล่านะ?
ซ่งหานเจียงอาจจะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของพวกเขาก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาเป็ลูกของใครกัน? แล้วเขาจะรู้เื่ชาติกำเนิดของตัวเองหรือไม่?
ซย่านีส่ายหน้า ช่างเถอะ อย่าคิดต่อเลย มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ อย่างไรเสียเธอก็จะหย่ากับซ่งหานเจียงอยู่แล้ว
ตอนที่ซย่านีกำลังกินข้าวอยู่นั้น ทางด้านครอบครัวของหลี่เสวี่ยหรูเองก็กำลังกินข้าวอยู่เช่นกัน แต่เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆ จางหวาเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้หลี่เสวี่ยหรูไม่กล้าที่จะออกจากบ้านไปทำงานเลยด้วยซ้ำ
เธอเอาแต่ร้องไห้งอแงอยู่ที่บ้านพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หนูไม่สนหรอกนะ! พ่อคะ พ่อจะต้องช่วยจัดการเขาให้หนูนะคะ! ตอนนั้นเห็นชัดๆ ว่าหนูเองก็สอบติดโรงงานทอผ้าฝ้ายแห่งชาติ หากไม่ใช่เพราะพ่อจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็รองผู้จัดการโรงงานจนต้องส่งหนูไปเป็ยุวปัญญาชนอยู่ที่ชนบท เพื่อให้เป็แบบอย่างที่ดีล่ะก็ หนูคงไม่ต้องไปยั่วเ้าจางหวาเฟิงอะไรนั่นหรอก!”
บิดาของหลี่เสวี่ยหรูก็คือหลี่กั๋วกังที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าอึมครึมอยู่บนโต๊ะอาหาร เขาโยนชามข้าวลงแล้วตวาดเสียงกร้าว “นี่แกยังกล้าโยนเื่นี้มาให้ฉันจัดการอีกหรือ! ตอนที่แกไปเป็ยุวปัญญาชนที่ชนบทน่ะ แกลองคิดดีๆ สิว่าตอนนั้นแกต้องทนความลำบากจริงๆ หรือเปล่า? แต่ละเดือนแม่ของแกส่งข้าวของเงินทองไปให้แกตั้งเท่าไหร่? เป็แกเองหรือเปล่าที่จงใจไปยั่วยวนเ้าจางหวาเฟิงอะไรนั่น เพราะอยากกลับมาที่เมืองหลวงน่ะฮะ? ตอนนั้นพ่อก็บอกแกแล้วไม่ใช่หรือไง? ให้แกรออีกสักหน่อย แต่แกก็ไม่รอ! ผลสุดท้ายล่ะเป็ยังไง งามหน้านักนะ ก่อนจะถึงปี 76 แกก็รีบแจ่นกลับมาเมืองหลวงแล้ว พอปี 77 แกก็สอบติดมหาวิทยาลัย เห็นชัดๆ ว่าแกสามารถเพิ่งตนเองด้วยการสอบติด แล้วสามารถกลับมาเหยียบเมืองหลวงได้ด้วยตนเอง สุดท้ายผลเป็ยังไง แกไปสร้างเื่งามหน้าเอาไว้ที่นั่น ทำให้พ่อแม่ต้องอับอายขายขี้หน้า!”
พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา หลี่เสวี่ยหรูก็รู้สึกเสียใจเป็อย่างยิ่ง ทว่าบนโลกใบนี้ไม่มียาแก้อาการเสียใจ เธอจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความขมขื่นนี้ลงไป แต่เธอยังคงปากแข็งต่อ “พ่อก็ให้แต่หนูรอ รอๆๆ อยู่นั่นแหละ หนูจะไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่? ตอนนั้นหนูก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะ! หนูยังจะมีเวลาให้รอพ่อได้อีกเท่าไหร่กันเชียว? หรือว่าพ่อจะให้หนูแต่งงานกับคนที่ชนบทไปเลยไหมล่ะ?!”
หลี่กั๋วกังตบโต๊ะเสียงดังแล้วชี้หน้าหลี่เสวี่ยหรู “ตอนนี้แกอายุยี่สิบห้าแล้ว ฉันก็ไม่เห็นว่าแกจะคบหาผู้ชายสักคน! ทั้งญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของแก แนะนำผู้ชายให้แกตั้งเยอะแยะ แกก็ไม่ถูกใจสักคนจนผลัดมาถึงป่านนี้!”
หลี่เสวี่ยหรูสำลักทันที เธอกล่าวในใจ นั่นไม่ใช่เพราะว่าเธอห่วงหาซ่งหานเจียงหรอกหรือ อีกทั้งผู้ชายที่พวกญาติพี่น้องแนะนำให้กับเธอน่ะ เป็คนแบบไหนก็รู้ๆ กันอยู่ แต่ละคนนั้นน่าเกลียดจะตายไป เพราะเธอคิดเผื่อคนรุ่นหลังหรอกนะ เธอถึงไม่อาจเลือกคนหน้าตาขี้เหร่มาเป็คู่ของเธอได้
หลี่เสวี่ยหรูเอ่ยปากในที่สุด “หนูไม่สนหรอกนะ พ่อ อย่างไรพ่อก็ต้องช่วยหนู! ถ้าพ่อไม่ช่วยหนูแล้วปล่อยให้จางหวาเฟิงนั่นตามมาถึงหน้าประตูบ้านล่ะก็ หนูคงได้ขายหน้าคนจริงๆ แน่ ถ้าเป็แบบนั้นขึ้นมาพ่อจะไม่อายคนหรือไง? พ่อยอมให้นักเลงบ้านนอกแบบนั้นมาเป็ลูกเขยได้หรือคะ?”
แน่นอนว่าหลี่กั๋วกังต้องไม่ยอมอยู่แล้ว! ตอนนี้หัวหน้าโรงงานใกล้จะเกษียณแล้วด้วย เขาในฐานะรองหัวหน้าโรงงาน แค่มองตาเปล่าก็รู้แล้วว่าคนที่เหมาะสมที่จะได้ขึ้นเป็หัวหน้าคนต่อไป ยังไงก็ต้องเป็เขาเท่านั้น เวลานี้เขาไม่อาจปล่อยให้ใครหน้าไหนมาฉุดรั้งเขาไว้ได้หรอก
ในโรงงานไม่ได้มีเขาที่เป็รองหัวหน้าคนเดียวซะหน่อย มีคนอีกตั้งเท่าไหร่ที่ตั้งตารอขัดแข้งขัดขาเขาอยู่!
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลี่กั๋วกังก็ยิ่งโกรธลูกสาวของตนที่คอยเอาแต่ปัญหามาให้เขาแก้อยู่ตลอด เขาพูดขึ้น “แล้วจะให้แก้ปัญหายังไงล่ะ! ถ้าแกไม่ไปยั่วมันเื่แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นหรอก ฉันพูดถูกไหมฮะ?!”
หลี่เสวี่ยหรูได้ฟังคำพูดของผู้เป็บิดาก็รู้ว่าตนนั้นรอดแล้ว เธอรีบพูดสิ่งที่ตนเองคิดไว้ “หนูว่าเราให้เงินมันสักก้อน สั่งให้มันปิดปากเงียบแล้วก็ส่งมันกลับบ้านนอกไปซะ!”
หลี่กั๋วกังส่งเสียง อืม หนึ่งคำ
มันก็จริงอย่างที่หลี่เสวี่ยหรูพูด เื่นี้มีในความคิดของหลี่กั๋วกังแล้ว บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เงินทำไม่ได้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเ้าจางหวาเฟิงคนนี้จะละโมบมากแค่ไหน แต่ว่ามันก็แค่คนจากชนบทคนหนึ่ง คงไม่เคยพบเคยเจออะไรมากนักหรอก เขาเดาว่าให้เงินมันสักนิดแล้วข่มขู่มันอีกสักหน่อยเท่านี้ก็คงจัดการมันได้แล้ว
“ตอนนี้เ้าจางหวาเฟิงนั่น มันอยู่ที่ไหน?” หลี่กั๋วกังเอ่ยถาม
หลี่เสวี่ยหรูตอบเสียงเบา “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หลี่กั๋วกังกล่าวต่อ “ตามหาตัวมันให้เจอ จากนั้นค่อยนัดเจอมันอีกที”
ใน่บ่าย หลังจากที่ซย่านีส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จก็เดินทางไปยังร้านตัดเสื้ออีกครั้ง คราวนี้เธอพกถุงกระสอบมาถึงสองใบเลยทีเดียว
เสี่ยวหลิงเห็นเข้าก็อุทานอย่างใ “พี่จะเอาเศษผ้ามากมายขนาดนี้ไปทำอะไรกันคะ?”
ซย่านีเองก็ไม่ได้ปิดบัง เธอตอบกลับอย่างเหนียมอายเล็กน้อย “ฉันอยากใช้เศษผ้าพวกนี้ไปทำของเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ฉันอยากลองดูว่ามันจะขายได้ไหม คนจากชนบทอย่างฉันไม่มีความสามารถอื่นแล้วค่ะ ทำได้แค่งานฝีมือนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เสี่ยวหลิงพยักหน้ารับ เธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงกล่าวว่า “พี่ทำงานฝีมือได้บ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว ดูอย่างพ่อฉันสิ แกก็เป็ช่างฝีมือคนหนึ่ง คนในบ้านต่างก็ยังต้องพึ่งพาเขาอยู่เลย...ไปกันเถอะค่ะ ห้องเดิมนะ พี่เดินไปเองได้เลย พอไปถึงแล้วอยากเลือกเท่าไหร่ก็เลือกได้ตามใจชอบได้เลยนะ”
เสี่ยวหลิงเป็คนใจกว้างมาก จึงทำให้ซย่านีรู้สึกนับถือขึ้นมา แต่เธอก็คิดอีกมุมหนึ่งว่าบ้านของเสี่ยวหลิงเป็ร้านตัดเสื้อขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ เสี่ยวหลิงคงเรียนทักษะฝีมือมาจากพ่อของเธออยู่แล้ว ดังนั้นซย่านีก็เลยเดาว่า เสี่ยวหลิงคงไม่สนใจธุรกิจเล็กๆ ของเธออย่างแน่นอน
ครั้งนี้ซย่านี้ไม่ได้เลือกแค่ผ้าที่สีสันสดใสเท่านั้น ทว่าเธอยังเลือกผ้าที่มีสีเข้มขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังคงให้ััที่ดี หนังยางรัดผมที่เธอทำสามารถขายให้คน่อายุยี่สิบปีขึ้นไปได้ หรือไม่ก็กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าประเภทนี้
จวบจน่บ่าย ซย่านีก็เอาผ้าที่เลือกไว้มายัดใส่ในกระสอบผ้าจนเต็มทั้งสองกระสอบ แถมเธอยังยัดผ้าจนไม่เหลือพื้นที่ว่างเลยสักนิด ทำให้กระสอบผ้าทั้งสองใบมีน้ำหนักมาก!
ผ้าพวกนี้เพียงพอที่จะทำหนังยางรัดผมวงใหญ่ได้เป็พันๆ ชิ้น
เมื่อเสี่ยวหลิงมาชั่งน้ำหนักผ้าให้ซย่านี ในตอนแรกเธอพยายามยกมันขึ้นด้วยตัวเอง แต่ยกเท่าไหร่ก็ยกไม่ขึ้นสักที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบ้านของเธอจะมีตาชั่งที่สามารถชั่งสิ่งของหนักๆ แบบนี้ได้หรือไม่
ซย่านีกล่าวขึ้น “ให้ฉันออกไปยืมตาชั่งมาดีไหมคะ?”
เสี่ยวหลิงเอ่ยตอบ “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวจะลำบากเปล่าๆ งั้นฉันคิดราคาหนึ่งหยวนก็แล้วกัน”
ซย่านีตาเบิกกว้างอย่างใ “ไม่ได้หรอก!” แม้จะคิดราคาหนึ่งชั่งต่อหนึ่งเฟิน แต่ว่าผ้าพวกนี้น่าจะมีน้ำหนักเกินหนึ่งร้อยชั่งด้วยซ้ำ เธอหยิบเงินจำนวนสองหยวน ออกมาจากกระเป๋า แล้วรีบยัดมันใส่มือของเสี่ยวหลิง
เสี่ยวหลิงปฏิเสธทันควัน “โถ่ ไม่ต้องหรอก นี่มันมากเกินไป”
“มากก็มากสิ เดิมทีฉันก็รู้สึกเกรงใจเธออยู่แล้วที่ตัวเองมาเอาผ้าของเธอแบบนี้” ตอนนี้ซย่านีค่อนข้างขาดแคลนเงินในมือจึงไร้หนทาง มีแต่ต้องเอาเปรียบเสี่ยวหลิงบ่อยครั้ง ทว่าเธอคิดไว้ดีแล้วว่าหลังจากที่เธอหาเงินได้มากพอ เธอจะต้องเอาเงินส่วนนั้นมาคืนเสี่ยวหลิงอย่างแน่นอน
เสี่ยวหลิงเห็นว่าซย่านีตั้งใจแน่วแน่ เธอจึงยอมรับเงินนั้นไว้แต่โดยดี และยังกล่าวเสริมว่า “ถ้าวันหน้าพี่ยังขาดผ้าอีกก็มาเอาที่นี่ได้เลยนะ”
ซย่านีกะพริบตาปริบๆ “ครั้งต่อไปไม่แน่ว่า ฉันอาจจะมาหาเธอเพื่อตัดชุดใหม่ก็ได้นะ?”
เสี่ยวหลิงหัวเราะร่วน “เช่นนั้นก็ได้เลย ฝีมือฉันเองก็ดีใช้ได้เลยนะ!” เสี่ยวหลิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มกังวลขึ้นมา “ว่าแต่พี่จะขนกระสอบผ้าใหญ่ๆ สองใบนี้กลับได้ยังไง?”
ซย่านีกล่าวตอบ “ฉันปั่นจักรยานมาน่ะ” จักรยานคันนี้ เธอยืมมาจากบ้านของพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยนั่นเอง
เสี่ยวหลิงส่ายหน้า “ของหนักขนาดนี้ จักรยานคันเดียวไม่พอหรอก”
ซย่านีกล่าวตอบ “ไม่เป็ไร ฉันปั่นไปกลับสองรอบได้สบายๆ...ฉันแค่อยากจะรบกวนอะไรหน่อย เธอช่วยยกกระสอบผ้าพวกนี้ไปที่รถจักรยานฉันทีนะ”
จักรยานที่ซย่านีขี่มานั้น เป็จักรยานที่มีคานขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ซึ่งมันมีน้ำหนักมาก แต่ก็แข็งแรงมากเช่นกัน หลังจากมัดกระสอบผ้าไว้ดีแล้ว เธอต้องใช้แรงไม่น้อยเลยในการดันรถจักรยานคันนี้ เมื่อซย่านีคิดได้เช่นนั้น เธอก็เริ่มออกแรงผลักรถจักรยานไปข้างหน้าสองก้าว หลังจากนั้นไม่นานรถจักรยานก็แล่นไปได้เองแล้ว เธอจึงอาศัย่จังหวะนั้น ะโขึ้นคร่อมรถจักรยานอย่างว่องไว และออกแรงปั่นจนรถจักรยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ซย่ามีแรงใจในการทำงานอยู่เต็มเปี่ยม ส่วนร่างกายก็เหมือนมีพละกำลังไม่สิ้นสุด ไม่นานเธอก็บรรทุกกระสอบใบแรกมาถึงบ้านพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยแล้ว
ซย่านีไม่ได้หยุดพักเหนื่อยเลยสักนิด เธอเพียงแค่จิบน้ำที่เซี่ยงเหมยเตรียมไว้ให้เท่านั้น จากนั้นเธอก็หันหลังเพื่อดึงกระสอบผ้าใบแรกลงมาจากรถจักรยานของเธอ
ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก จู่ๆ ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยของใครบางคน ที่เธอไม่มีวันลืมในชาติที่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้น
ทำไมจางหวาเฟิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้