คุณตากับเหล่าจ้าวตอบรับออกมาพร้อมกัน “ฉันจะคอยดู”
ซ่งมู่ไป๋เพิ่งค้นพบว่า หนทางแห่งการจีบภรรยาของตัวเองนั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน ใครใช้ให้เขาถูกใจโม่โม่ล่ะ แต่ไม่ว่าบนเส้นทางนี้จะทอดยาวและยากลำบากมากแค่ไหน เขาก็ยินดีที่จะก้าวลุยไป
“ผมจะพิสูจน์ให้พวกคุณเห็นให้ได้ครับ” ชายหนุ่มยืนยันพร้อมรอยยิ้มจริงใจ
เวลานี้เองเซี่ยโม่ที่ตรวจสมุดการบ้านน้องชายเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องนอน
ใบหน้าของคุณตากับเหล่าจ้าวกลับไปแย้มยิ้มดังเดิม ทั้งยังเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“เสี่ยวซ่ง รีบกินกระดูกหมูเร็วเข้า”
“เสี่ยวซ่ง ดื่ม”
ซ่งมู่ไป๋ยกยิ้มมุมปากอย่างขบขัน คุณตากับอาจารย์สมกับเป็ผู้มีประสบการณ์ชีวิตมามากมายโดยแท้
อะไรจะเปลี่ยนหน้าไวปานนั้น!
ตอนเซี่ยโม่ไม่อยู่ทั้งสองคนสีหน้าขึงขังราวกับกำลังสอบสวนนักโทษ แต่พอเด็กสาวออกมาจากในห้อง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็เป็มิตรเหมือนผู้ใหญ่ใจดี
เซี่ยโม่ไม่ได้สนใจทั้งสามคนที่ยังคงนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน แม้ในโกดังสินค้าของเธอจะมีของมากมาย ต่อให้เอาออกมาใช้หลายสิบปีก็ไม่มีวันหมด แต่การต้องเห็นเงินปึกใหญ่ลอยผ่านหน้าผ่านตาโดยที่คว้าไว้ไม่ได้ ใครมันจะไม่เศร้าไหว มองเห็นขวดเหล้าทีไรก็รู้สึกปวดใจทุกที
พอเห็นน้องชายออกไปวิ่งเล่นที่หน้าบ้าน เธอจึงเข้าไปในครัวเพื่อช่วยคุณยายทำความสะอาด
เซี่ยโม่ถือหญ้าที่ใช้จุดเตาออกไปไว้ข้างนอก ก่อนจะเข้าไปในห้องครัวล้างทำความสะอาดเช็ดคราบน้ำมันที่เปรอะตามพื้นและผนัง
เห็นหลานสาวแล้วทำให้นึกถึงเื่ที่กำลังเป็กังวล หญิงชราถอนหายใจก่อนจะพูดเตือนอ้อมๆ “โม่โม่ หลานยังเด็ก ถึงแม้เสี่ยวซ่งจะอายุมากกว่าหลาน แต่ยังไงพวกหลานก็ยังเป็เด็กอยู่ดี พูดคุยกันไปมาหาสู่กันน่ะไม่เป็ไร แต่อย่าทำเื่ออกนอกลู่นอกทางเป็อันขาด ไม่งั้นได้มานั่งเสียใจทีหลังแน่”
คุณยายจงใจเน้นคำว่าออกนอกลู่นอกทางเป็พิเศษ
เธอไม่ใช่เด็ก ทั้งยังมีชีวิตอยู่มาถึงสองชาติ ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายที่คุณยาย้าจะสื่อ
คุณยายดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ซ่งนั้นไม่ธรรมดาก็เลยเป็ห่วง กลัวเธอกับพี่ซ่งจะทำเื่ผิดทำนองคลองธรรม
“คุณยาย ไม่ต้องคิดมากนะคะ หนูอายุยังน้อย หนูกับพี่ซ่งต่างเห็นกันเป็พี่น้องเท่านั้น หนูคิดเอาไว้แล้วค่ะว่า ถ้าเข้ากับพี่ซ่งไม่ได้ก็แยกย้ายกันไป แต่ถ้าเข้ากันได้อีกสองสามปีค่อยมาว่ากัน” เซี่ยโม่รู้สึกซาบซึ้งกับความเป็ห่วงเป็ใยของคุณยาย
ความกังวลในใจคุณยายลดลงไปไม่น้อย เธอทราบอยู่แล้วว่าหลานสาวเป็เด็กรู้ความ
“หลานรู้ก็ดี แล้วถ้าเขากล้ารังแกหลานละก็มาบอกยาย เดี๋ยวยายไปจัดการให้”
“ค่ะ”
เซี่ยโม่นึกถึงเื่ที่ตัวเองขอลาหยุดกับคุณครูขึ้นมาได้ จึงบอกแผนที่คิดไว้กับคุณยาย “อ้อ คุณยายคะ ั้แ่วันพรุ่งนี้หนูขอลาอยู่กับคุณครูที่โรงเรียนได้แล้วนะคะ หนูว่าจะขึ้นเขาไปตัดฟืนมาตุนเอาไว้”
“ให้คุณตาขึ้นไปด้วยไหม หลานคนเดียวจะหอบฟืนกลับมายังไง”
“ไม่เป็ไรค่ะ เดี๋ยวหนูขี่จักรยานไปจะได้ขนใส่รถจักรยานกลับมา” เธอปฏิเสธเพราะคุณตาอายุมากแล้ว อีกทั้งท่านยังมีงานที่ต้องทำ หากคุณตาไม่ว่างต้อนวัวเองก็ต้องหาคนไปทำแทน
ความจริงแล้วเธออยากใช้โอกาสนี้หยิบของจากในโกดังสินค้าต่างหาก ส่วนจักรยานก็เป็ผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ของเธอ
“ได้ งั้นหลานต้องระวังตัวด้วยนะ แล้วก็จำเอาไว้ว่าทำเท่าที่ไหวพอ”
“คุณยายวางใจเถอะค่ะ” เธอยิ้มแย้มพลางรับปาก
ด้านนอกห้องครัว เมื่อสองผู้เฒ่ากับอีกหนึ่งคนหนุ่มกินข้าวและดื่มเหล้าด้วยกันจนหนำใจแล้ว ซ่งมู่ไป๋จึงช่วยเก็บจาน ชาม และตะเกียบเดินเข้าห้องครัวมาในจังหวะที่ยายหลานกำลังพูดคุยกันพอดี
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาได้ยินคำว่าทำเท่าที่ไหวหรืออะไรสักอย่าง เลยถามออกไปด้วยความสงสัย “โม่โม่ เธอจะไปไหนงั้นเหรอ หรือจะไปทำอะไร ทำไมต้องทำเท่าที่ไหวด้วย”
คนอะไรหูดีจริงๆ
เซี่ยโม่ไม่ได้ตอบ เป็คุณยายที่อธิบายให้ฟังแทน “พรุ่งนี้โม่โม่จะขึ้นไปตัดฟืนบนเขาน่ะ ยายก็เลยเตือนไปคำสองคำ”
ได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็วางแผนในใจ ถึงเวลาที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว
“โม่โม่ พรุ่งนี้ฉันหยุดพอดี งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็เพื่อน” ซ่งมู่ไป๋เสนอตัวอย่างไม่รอช้า
คุณยายยิ้มอย่างโล่งใจก่อนจะผลักเรือตามน้ำ “เสี่ยวซ่ง งั้นก็ลำบากเราแล้ว”
“เสี่ยวซ่ง โอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองมาถึงแล้ว ทำให้เต็มที่ล่ะ” คุณตาที่ถือจานชามตามเข้ามาหยักยิ้มมุมปาก
เหล่าจ้าวเดินตามเข้ามาหลังสุดก็ยิ้มพึงใจเช่นกัน ลูกศิษย์มีคนช่วยก็ดี เขาจะได้ถือโอกาสนี้แอบอู้เสียเลย
“เสี่ยวซ่ง ถ้าได้ฟืนมาแล้วเอาไปส่งที่โรงตรวจให้ฉันสักหน่อยนะ หน้าหนาวฉันจะได้มีใช้”
เซี่ยโม่จ้องมองซ่งมู่ไป๋เรียบนิ่ง เหมือนอีกฝ่ายจะชอบช่วยเธอทำงาน ให้พี่เขาไปช่วยเธอก็ดีเหมือนกัน
กระนั้นเธอไม่วายเอ่ยถามออกไปอย่างเป็ห่วง “พี่ซ่ง พรุ่งนี้ถ้าพี่ไม่ไปทำงานจะไม่เป็อะไรเหรอคะ”
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้า “ฉันเข้ากะมาหลายชั่วโมงติดต่อกัน จะพักสักวันก็เป็เื่ปกติ จะได้ไปช่วยเธอตัดฟืนพอดีเลย”
“งั้นก็รบกวนเสี่ยวซ่งแล้ว” คุณตาว่า
ความคิดหนึ่งแวบผ่านก่อนซ่งมู่ไป๋จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เป็ไรครับ คือว่า งั้นคืนนี้ผมขอนอนค้างที่นี่สักคืนได้ไหม พรุ่งนี้จะได้ขึ้นเขาไปช่วยโม่โม่ตัดฟืนแต่เช้าได้”
เซี่ยโม่รู้สึกแปลกๆ อย่างไรบอกไม่ถูก
ทำไมการนอนค้างที่นี่ของพี่ซ่งถึงดูเหมือนเป็เื่ที่ถูกต้องไปได้?
ซ่งมู่ไป๋ในเวลานี้รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง การทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเตรียมตัวเป็ลูกเขยบ้านนี้เต็มกำลัง ต่อไปเขาจะหาโอกาสมานอนค้างที่นี่บ่อยๆ ถ้าถึงขั้นได้หมั้นหมายกับเด็กสาวไว้ก่อนก็ยิ่งดี
เช้าวันต่อมา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เซี่ยโม่ขี่จักรยานไปส่งน้องชายกับสือโถวที่โรงเรียน พอกลับมาถึงบ้าน เธอจูงจักรยานเดินขึ้นเขาไปกับซ่งมู่ไป๋
ระหว่างทางเธอบังเอิญได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครอื่น คือสาวใหญ่ข้างบ้านนั่นเอง
พออีกฝ่ายเห็นเธอก็เอ่ยเหน็บแนมทันที “นี่คือพ่อหนุ่มค้างที่บ้านเธอเมื่อคืนใช่ไหม พวกเธอเป็อะไรกัน”
เซี่ยโม่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงชอบหาเื่นักนะ คงเห็นว่าเมื่อคืนพี่ซ่งมาที่บ้านแล้วไม่ได้กลับไปก็เลยตั้งใจจุดประเด็น
เธอมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ พลางตอบด้วยน้ำเสียงเ็า “แล้วคุณยุ่งอะไรด้วย”
“เธอกลัวอะไรงั้นเหรอ หรือฉันพูดผิด เขาไม่ได้เป็อะไรกับที่บ้านเธอแล้วมานอนค้างบ้านเธอได้ยังไง” สาวใหญ่พูดอย่างมีลับลมคมใน
“ใครบอกว่าพี่เขาไม่ได้เป็อะไรกับที่บ้านฉัน พี่ซ่งคือผู้มีพระคุณของน้องชายฉัน อีกอย่างคุณตาคุณยายก็รับพี่เขาเป็หลานแล้ว” เซี่ยโม่โต้กลับไปในทันที
อีกฝ่ายยังคงยิ้มเยาะ “แหม ดูปากฉันสิ เห็นอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น เป็ฉันที่เข้าใจผิดไปเองแหละ”
สาวใหญ่ข้างบ้านยกยิ้มมุมปาก มองเธอกับพี่ซ่งอย่างถือดีก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่าเื่ต้องไม่จบเพียงแค่นี้แน่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเอาเื่นี้ไปคุยกับคนอื่นว่าอย่างไรบ้าง
เด็กสาวครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากพี่ซ่งมาบ้านเธอและนอนค้างอ้างแรมบ่อยๆ ไม่แคล้วคนในหมู่บ้านต้องเอาไปซุบซิบนินทาเป็แน่
ซ่งมู่ไป๋เห็นเด็กสาวมีสีหน้ากังวลจึงเอ่ยถาม “โม่โม่ ไม่สบายใจเื่อะไรเหรอ”
“อีกฝ่ายชอบหาเื่ฉัน ไม่รู้ว่าจะเอาเื่นี้ไปพูดกับคนอื่นยังไงบ้าง” เธอเล่าไปตามตรง
“บางคนก็แบบนี้แหละ พอเห็นคนอื่นได้ดีกว่าก็อิจฉา เธออย่าไปสนใจอีกฝ่ายเลย หากคนในหมู่บ้านเอาเื่ของเราไปนินทา พวกเราหมั้นกันเอาไว้ก่อนก็ได้นะ” ชายหนุ่มพยายามปลอบและเสนอแนะทางเลือกให้
เซี่ยโม่ชะงักไป “หมั้น? ไม่เร็วเกินไปเหรอคะ ฉันยังเด็กอยู่เลย…”
แววตาของชายหนุ่มฉายแววผิดหวัง แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว จากนั้นแววตาก็กลับมาราบเรียบดังเดิม “งั้นก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าคนอื่นจะพูดว่ายังไง”
พี่ซ่งพูดได้ตรงกับใจเธอพอดี ทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ ‘เดินไปตามทางของตัวเอง ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของคนอื่น’
ถ้ามัวแต่สนใจคำนินทาของคนอื่นก็อย่ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย
เธอสลัดความกังวลทิ้งไป ใบหน้ากลับมามีรอยยิ้มดังเดิม เธอกับพี่ซ่งเอาจักรยานไปซ่อนไว้ ก่อนจะเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน
ฤดูนี้ผลไม้ในป่าไม่เพียงแค่สุก แต่สามารถเด็ดเอากลับไปกินได้ เกาลัดและถั่วเหอเถา[1]ก็กำลังออกผลพอดี
แรกเริ่มเซี่ยโม่ตั้งใจจะขึ้นเขามาตัดฟืน ในเวลานี้กลับถูกสิ่งเหล่านี้ดึงดูดจนลืมเป้าหมายเดิมหมดสิ้น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเธอเก็บทั้งลูกท้อ เกาลัด และถั่วเหอเถาได้มากมาย
โชคดีที่นำถุงกระสอบติดมาด้วยสองใบ เธอเอาเกาลัดกับถั่วเหอเถายัดลงถุงกระสอบ ส่วนลูกท้อใส่ไว้ในตะกร้า
เซี่ยโม่หันไปมองพี่ซ่งที่ตัดฟืนได้สองกองใหญ่ ทั้งยังใช้เชือกมัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับเอ่ยว่า “ฉันรู้แล้วว่าตอนปิดเทอมเธอขึ้นเขาไปทำอะไรบ้าง หลังจากขึ้นเขามาเธอคงเปลี่ยนเป้าหมายบ่อยๆ สินะ”
-----------------------------
[1] เหอเถา คือ ถั่ววอลนัต