“ผู้ใด?” หลี่หรูอี้ตบไหล่ของอู่โก่วจื่ออย่างสนิทสนม “เ้าอย่ามัวอมพะนำอยู่เลย รีบพูดมาเร็วเข้า”
“หวังซานนิว” อู่โก่วจื่อเห็นหลี่หรูอี้หน้าเรียบเฉย จึงกล่าวต่อไปด้วยท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “นางอยู่กับชายชราผู้หนึ่ง ได้ยินว่าชายชราผู้นั้นจ่ายเงินสามตำลึงซื้อนางมาจากตระกูลฟาง เพื่อแต่งงานแก้เคล็ดให้หลานชายที่กำลังป่วย”
หลี่หรูอี้พูดขึ้นอย่างแปลกใจ “แต่งงานแก้เคล็ด? เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อู่โก่วจื่อจึงเล่าเื่ทั้งหมดให้ฟังอย่างรวบรัด
เมื่อวานตอนที่อู่โก่วจื่อเดินผ่านร้านสมุนไพรในตำบลจินจี นางเห็นหวังซานนิวที่สวมเสื้อผ้าเก่าและขาดสะพายตะกร้าใบใหญ่บรรจุธัญพืชอยู่บนหลัง ทั้งยังได้ยินเสียงของชายชราผู้มีดวงตาขุ่นมัวกล่าวอย่างหยาบคายว่า หวังซานนิวโชคดีแล้วอันใด อู่โก่วจื่อเกิดสงสัยจึงไปแอบฟังอยู่พักใหญ่
ที่แท้ชายชราก็คือ คนในหมู่บ้านใกล้เคียงของหมู่บ้านฟาง ที่บ้านมีหลานชายอยู่คนเดียว ตอนนี้หลานชายกำลังป่วยหนักใกล้ตาย นักพรตที่ครอบครัวเชิญมากล่าวว่า ต้องแต่งสตรีที่มีดวงชะตาดีงามเข้ามาเพื่อเป็การแก้เคล็ด พวกเขาจึงตามหาสตรีที่มีดวงชะตาดีงาม ทว่าเงินส่วนหนึ่งที่มีก็นำไปซื้อยาหมดแล้ว จึงเหลือเงินไม่มากพอที่จะจัดงานแต่งงานอย่างเหมาะสม
ยามนั้นบ้านฟางนำหวังซานนิวออกมาขายพอดี ชายชราจึงจ่ายเงินสามตำลึงซื้อกลับไป
หลังจากนั้นคนหมู่บ้านฟางจึงบอกชายชราว่า หวังซานนิวเคยขโมยเงินของตระกูลหวัง ทั้งยังเกือบสังหารอาหญิงของตนเอง เป็คนจิตใจอำมหิตอย่างยิ่ง ถูกตระกูลหวังขับออกจากตระกูลแล้ว
สตรีเช่นนี้จะมีดวงชะตาดีงามได้อย่างไร
ครอบครัวของชายชรารู้สึกราวกับตนเองถูกหลอก จึงมาบ้านฟางเพื่อคืนคน แต่บ้านฟางไม่ยอม
เื่ซื้อคนชายชราเป็ผู้ตัดสินใจเอง ครอบครัวจึงตำหนิเขา เขารู้สึกอัปยศอดสูยิ่งนัก ทั้งยังไม่อยากถูกคนบ้านฟางหลอกลวงเปล่าๆ จึงกล่าวว่าร้ายบ้านฟางไปทั่ว
“มิน่าเล่าบ้านฟางจึงรีบร้อนพาตัวหวังซานนิวไป ที่แท้ก็คิดนำนางไปขายนี่เอง บ้านฟางนี่ช่าง…” จ้าวซื่อลุกขึ้นยืนด้วยอารมณ์ตื่นใ คำพูดประโยคหลังจุกอยู่ที่คอ ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยพูดออกมาอย่างเ็าว่า “ต่อให้บ้านฟางเป็อย่างไร ก็ยังดีกว่าหวังซานนิว หวังลี่ตง และชวีหง”
แม้หวังซานนิวจะทำความผิดใหญ่หลวง แต่ก็เป็บุตรีแท้ๆ ของสองสามีภรรยาหวังลี่ตง
หวังลี่ตงและชวีหงไม่ยอมคืนสินสอดให้บ้านฟาง ทั้งยังริบสินเดิมของหวังซานนิวไปอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่เหลือทางรอดให้หวังซานนิวแม้แต่น้อย
กระทั่งบิดามารดาแท้ๆ ยังเป็เช่นนี้ สิ่งที่บ้านฟางทำจึงไม่นับเป็อะไรได้
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงเย็น “หวังซานนิวทำตนเองแล้ว” นางยังจำเื่ที่ชวีหงด่านางได้ดี ่นี้เหตุการณ์ผ่านไปอย่างสงบไร้คลื่นลม จึงไม่มีใครคิดจัดการชวีหงอีก
เมื่ออู่โก่วจื่อนำเต้าหู้กลับมาถึงบ้านแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ หรูอี้ให้เต้าหู้พวกเรามาชิ้นหนึ่งเ้าค่ะ”
หม่าซื่อที่กำลังทำกับข้าวรีบเดินออกมาจากห้องครัว ยื่นมือทั้งสองออกไปรับเต้าหู้ พบว่าชิ้นใหญ่กว่าที่บ้านหลี่ให้มาคราวที่แล้วเสียอีก นางลองชั่งน้ำหนักดูก่อนกล่าวอย่างดีใจว่า “ได้ยินว่าเต้าหู้เป็ของดีราคาแพง ชั่งละสี่ทองแดง ชิ้นใหญ่เท่านี้คงมีค่าสิบกว่าทองแดงกระมัง หรูอี้ดีต่อครอบครัวเราจริงๆ”
อู่โก่วจื่อซื้อเนื้อหมูมาจากตำบลเพียงชิ้นเดียว เมื่อกลับถึงหมู่บ้านก็ตรงไปยังบ้านหลี่เลย นางวางตะกร้าลง จากนั้นจึงเล่าเื่หวังซานนิวให้หม่าซื่อฟัง
หม่าซื่อส่ายหน้า “บาปกรรมจริงๆ ์กำหนดชะตาชีวิตผู้คน แต่งงานแก้เคล็ดจะทำได้ง่ายเช่นนั้นที่ไหนกัน ในการแต่งงานแก้เคล็ดสิบงาน มีหนึ่งงานที่แต่งได้ดีก็นับว่าไม่เลวแล้ว เกรงว่าหวังซานนิวคงต้องเป็ม่ายแล้วกระมัง” แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ดวงตากลับฉายแววสงสาร
หวังลี่ตงและชวีหงไม่นับเป็คนดีอะไร หวังซานนิวก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ครอบครัวของหวังลี่ตงรังแกบ้านสวี่ไปไม่น้อย หม่าซื่อก็เคยทะเลาะกับชวีหงจนเกือบลงมือลงไม้กันด้วย
อู่โก่วจื่อจับจ้องไปทางหม่าซื่อ ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านจะขายพวกเราหรือไม่”
หม่าซื่อได้ยินก็ถ่มน้ำลายลงพื้นทันใด “เฮอะ... ปากอัปมงคลจริงๆ คำพูดของเด็กน้อยไม่นับ ครอบครัวพวกเราต้องไม่ประสบภัยพิบัติอันใด” บ้านสวี่ยากจนถึงขั้นแทบไม่มีอะไรกิน ่ฤดูหนาวในหลายปีก็หิวกันจนเกือบตาย แต่ก็ไม่เคยคิดขายบุตรชายบุตรสาว
อู่โก่วจื่อรีบคาดคั้น “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ตอบข้า”
“ขายอะไรของเ้า มีผู้ใดอยู่ดีๆ ก็เอาลูกไปขายบ้าง ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะเป็เหมือนหวังลี่ตงและชวีหงเสียหน่อย น้ำเข้าสมองเ้าหรือไร ไปๆๆ อยู่ในห้องครัวให้น้อยหน่อย ข้าจะทำอาหาร” หม่าซื่อไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ใช้แขนผลัก อู่โก่วจื่อให้ออกไป จากนั้นก็หั่นเต้าหู้ ปากก็พึมพำไปว่า “หากพ่อเ้าอยู่บ้านก็ดี จะได้กินเต้าหู้ เต้าหู้นี่เก็บไว้นานไม่ได้ ถ้าไม่กินก็เสีย”
แม้อู่โก่วจื่อจะถูกด่า แต่ในใจกลับรู้สึกดีใจและรู้สึกมั่นคงขึ้นมาก รีบเดินไปหาน้องชายน้องสาวทันที
ซื่อโก่วจื่อกลับมาจากข้างนอกแล้ว เขาได้กลิ่นหอมของเต้าหู้ก็วิ่งมาที่ห้องครัว แล้วหยิบเต้าหู้ไปกินชิ้นหนึ่ง จากนั้นจึงไปหาอู่โก่วจื่อ เมื่อเห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใส พลันนึกว่าหลี่หรูอี้มีความคิดดีๆ ให้แล้ว จึงกล่าวอย่างยินดีว่า “น้องสาวคนดี เ้ามีวิธีหาเงินอีกแล้วหรือ รีบบอกพี่ชายคนนี้มาเถิด”
“หรูอี้ต้องใช้เวลาคิด นางบอกให้ข้ากับเ้าพักผ่อนไปก่อนสักสองสามวัน” อู่โก่วจื่อมองไปยังซื่อโก่วจื่อก่อนกระซิบไปว่า “่นี้เ้าได้เงินไปไม่น้อย ข้าไม่เห็นเ้าให้ครอบครัว และไม่เห็นเ้าเอาเงินไปซื้อของ ตกลงเงินของเ้าไปไหนกันแน่?”
หากเป็เมื่อก่อนซื่อโก่วจื่อย่อมไม่สนใจคำพูดของน้องสาวอย่างอู่โก่วจื่อเป็แน่ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขายังอยากให้อู่โก่วจื่อพาไปหาเงินอยู่ จึงกรอกตาแล้วกล่าวไปว่า “ข้าคิดจะนำเงินไปหาซื้อสินค้ามาขาย”
รวมทั้งหมดแล้วซื่อโก่วจื่อได้เงินจากอู่โก่วจื่อมาห้าร้อยกว่าทองแดง เงินมากเช่นนี้ย่อมต้องคิดอยากทำการค้าเพื่อหาเงินต่อไป
ส่วนเื่ที่จะทำการค้าสิ่งใดนั้น ด้วยสมองอย่างซื่อโก่วจื่อย่อมคิดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงถามผู้อื่นเท่านั้น เช่น หวังเซี่ยจื้อที่เคยไปขายปลาที่เมืองเยี่ยน
ในดวงตาของอู่โก่วจื่อปรากฏความแปลกใจ “สินค้าอะไร”
ซื่อโก่วจื่อจึงถามกลับไปว่า “เ้าว่าข้าขายปลาดีหรือไม่”
“ที่อำเภอและตำบลมีคนขายปลาอยู่ตลอด ลูกค้ารู้จักพวกเขาแล้วจึงซื้อแต่ปลาของพวกเขา นอกเสียจากปลาของเ้าจะมีราคาถูกกว่า” เื่ขายปลาอู่โก่วจื่อก็เคยคิดมานานแล้ว แต่ทำไม่ได้ ที่หวังเซี่ยจื้อหาเงินได้จากการขายปลา เพราะเขาลงไปจับปลาที่แม่น้ำด้วยตนเอง มิได้จ่ายเงินซื้อมาจึงไม่มีต้นทุน ดังนั้นแม้จะขายราคาต่ำก็ยังได้เงิน
“หากข้าไปขายปลาที่เมืองเยี่ยนเล่า?”
“เมืองเยี่ยนใหญ่เพียงนั้นย่อมมีคนขายปลามากกว่า” อู่โก่วจื่อส่ายหน้า “ปลาต้องสด หากเ้ารับปลามาแล้วขายไม่ออก อีกสองวันก็มีกลิ่นแล้ว เงินที่เ้าได้มาอย่างยากลำบากก็จะขาดทุนหมด”
ซื่อโก่วจื่อใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงจะคิดเื่ขายปลาออก ทั้งยังไปขอคำชี้แนะจากหวังเซี่ยจื้ออย่างไม่อาย ผลกลับกลายเป็ว่าถูกคำพูดของอู่โก่วจื่อปฏิเสธเสียยับเยิน ได้แต่กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจตนเอง “มิน่าเล่าพอข้าบอกว่าจะขายปลา หวังเซี่ยจื้อจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ที่แท้ก็หัวเราะเยาะว่าข้าโง่นี่เอง”
อู่โก่วจื่อหัวเราะ “หวังเซี่ยจื้อคงแปลกใจว่า เ้าจะเอาเงินจากที่ใดมาซื้อปลาไปขายกระมัง”
“พวกเราขายถุงเงินยังหาเงินได้มากกว่าที่หวังเซี่ยจื้อขายปลาเสียอีก ทั้งยังไม่ต้องลำบากด้วย ความคิดของหรูอี้ดีจริงๆ” ซื่อโก่วจื่อรู้สึกนับถือหลี่หรูอี้ยิ่งขึ้น เหตุใดตนจึงไม่ฉลาดเช่นหลี่หรูอี้บ้าง
อู่โก่วจื่อกล่าวอย่างลำพองใจสุดเปรียบ “ใช่แล้ว หรูอี้ดีกับข้าที่สุด” ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเด็กหญิงมากมาย หลี่หรูอี้ออกความคิดให้นางเพียงผู้เดียว บุญคุณนี้นางจะจดจำไปชั่วชีวิต
หม่าซื่อที่เดินออกมาจากครัวส่งเสียงเรียก “พวกเ้าสองคนกระซิบกระซาบอันใดกัน รีบไปเรียกชีโก่วจื่อกับปาโก่ว จื่อที่แปลงผักมากินข้าวเย็นเร็วเข้า”
ยามค่ำคืนอันเงียบสงบ บ้านหลี่มีแสงตะเกียงส่องสลัว ในห้องเครื่องโม่หินบริเวณลานด้านหลังมีเสียงลาที่กำลังลากหินโม่และเสียงพูดคุยของคนหลายคนดังแว่วมา
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้