ขณะที่ฝ่ามือจู่โจมเข้ามาจนสุดล้า ชั่วพริบตาแขนขวาข้างนั้นพลันยืดยาวกว่าเดิมอย่างกะทันหันอีกสองนิ้ว!
ภายใต้แววตาตื่นตระหนกของไป๋หยุนเฟย ฝ่ามือนี้ก็กระแทกใส่ทรวงอกมันอย่างถนัดถนี่!
นี่เป็เคล็ดวิญาณนามว่า หมัดแขนยาว!
นี่กลับเป็เคล็ดิญญาระดับต่ำที่จางหยางเคยใช้ออก ครานั้นมันสามารถยืดแขนออกได้เพียงหนึ่งนิ้ว แต่เมื่อถูกจางเจิ้นซานใช้ออกถึงกับยืดแขนได้เกือบสามนิ้ว!
แม้จะเป็เคล็ดิญญาระดับต่ำ แต่ประสิทธิภาพกลับแตกต่างกันตามฝีมือของผู้ที่ใช้ออก!
ร่างไป๋หยุนเฟยลอยละลิ่วออกไปอีกคราพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังหวืดหวือ!
ไป๋หยุนเฟยก็พลิกร่างกลางอากาศหยั่งเท้าลงสู่พื้น กระนั้นครานี้มันกลับมือไม้ปั่นป่วนไม่น้อย หลังจากใช้ทวนเปลวอัคคีพยุงกายและไถลออกไปอีกสองวาเศษจึงยั้งร่างเอาไว้ได้
ยามที่เงยศีรษะขึ้น ใบหน้าที่ซีดขาวของไป๋หยุนเฟยก็แดงวูบ สุดท้ายมันไม่อาจกล้ำกลืนต่อไปได้จึงกระอักโลหิตออกมา
หลังจากยกมือขึ้นเช็ดคราบโลหิตที่มุมปาก ไป๋หยุนเฟยก็ใช้แววตาขมขื่นจับจ้องจางเจิ้นซานที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า “ความต่างชั้นช่างมากมายนัก!! ข้ากับศัตรูกลับห่างไกลกันคนละชั้น ไม่ว่าจะเป็ประสบการณ์ต่อสู้หรือความแตกฉานของเคล็ดิญญา หากมันไม่สูญสิ้นพลังิญญามากเกินไปก่อนหน้า เพียงสองฝ่ามือที่ฟาดใส่ก็เพียงพอจะสยบข้าลงได้...”
จางเจิ้นซานไพล่มือไว้ด้านหลังซ่อนมือขวาที่สั่นระริกไม่ให้ถูกพบเห็น จากนั้นโคจรพลังิญญาเพื่อฟื้นฟูจากผลข้างเคียงของการฝืนดัดแปลงใช้เคล็ดิญญา ก่อนจะเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟยทีละก้าวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “เป็ไร? ยามนี้ถึงทราบความต่างชั้นระหว่างข้ากับเ้ากระมัง? เ้าเด็กโอหังที่ไม่รู้จักดีชั่ว ต่อให้วัตถุิญญาหลายชิ้นมิหนำซ้ำข้ายังพลังถดถอยอ่อนแรง แต่ก็ยังฆ่าเ้าได้อย่างไม่ลำบากกินแรง”
“แต่ข้าจะไม่ยอมให้เ้าตายอย่างสะดวกดาย เ้าทรมานทำลายแขนขาบุตรชายข้าจนตาย ข้าก็จะให้เ้าทนทุกข์ทรมานจนจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่สมปรารถนา จากนั้นกระชากแขนขาเ้าออกทีละข้างให้เ้าตายโดยปราศจากซากศพครบสมบูรณ์!!” ยิ่งจางเจิ้นซานกล่าววาจาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน จนถึง่ท้ายก็แทบกลายเป็ร้องะโ ดวงตามันกลายเป็แดงฉานด้วยสายเื ใบหน้าเปี่ยมแววอำมหิตดุร้าย เพียงแต่ภายใต้แววตาเคียดแค้นกลับมีร่องรอยความรู้สึกซุกซ่อนอยู่ เป็ร่องรอยของ...ความโศกเศร้า
ขณะมองดูจางเจิ้นซานที่ดูราวจ่อมจมกับความโกรธกริ้วแทบคลุ้มคลั่ง ไป๋หยุนเฟยขยับถอยหลังทีละน้อยอย่างลอบเร้น แต่กระนั้นจางเจิ้นซานกลับคืบหน้าได้เร็วกว่า หลังจากล่าถอยไม่กี่ก้าวจางเจิ้นซานก็มายืนเผชิญหน้ากับมันแล้ว
ขณะล่าถอยไป๋หยุนเฟยก็กวาดตามองรอบด้าน ฉับพลันดวงตามันทอประกายวูบ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกโคจรพลังิญญาใช้ท่าเท้าเหยียบคลื่น ร่างกายไป๋หยุนเฟยพลันกลายเป็เงาพร่าเลือนเคลื่อนเฉียงออกไปด้านซ้ายหนึ่งวาแล้วหยุดยั้งลงอย่างกะทันหัน ขณะจ้องมองจางเจิ้นซานซึ่งขยับไปดักที่ด้านหน้าห่างไปวาครึ่ง มันก็ยกเท้าขวาเตะออกไปอย่างดุดัน!
แรงเตะอันหนักหน่วงซัดก้อนหินขนาดเท่าชามอ่างใต้เท้าปลิวเข้าหาจางเจิ้นซาน!
จางเจิ้นซานแค่นเสียงเ็าพร้อมกับเคลื่อนกายโดยฉับพลันไปด้านซ้ายครึ่งก้าวโดยไม่ย่อกายเงยร่าง กระนั้นทันทีที่พุ่งกายไปด้านข้างหลบก้อนหินที่ปลิวเข้ามา ม่านตามันก็พลันเบิกกว้างเพราะพลันพบเห็นไป๋หยุนเฟยพุ่งตามติดก้อนหินเข้ามาพร้อมพุ่งทวนแทงออก!
ยามที่ก้อนหินเฉียดผ่านจางเจิ้นซานไปปลายทวนก็พุ่งเข้ามาถึง ขณะที่จางเจิ้นซานจะขยับกายหลบเลี่ยงดวงตาก็พลันฉายแววแตกตื่นใ --- มิคาดว่าเป้าหมายของทวนจะมิใช่ตัวมันแต่กลับเป็...ก้อนหินที่ข้างกาย!
เส้นเืดำไป๋หยุนเฟยเบ่งพองขึ้นบนแขนขวาที่กระชับทวนเอาไว้ มัดกล้ามเนื้อบนแขนก็ปูดโปนขึ้นในชั่วพริบตา ขณะเร่งความเร็วแขนขึ้นถึงขีดสุดก็พุ่งแทงออกสองทวนติดต่อกัน!
ทะลวงสามทบ!
ทะลวงสามทบ!
ยามที่ทวนแรกกระทบถูกก้อนหินเพียงกระเทือนเล็กน้อย กระนั้นขณะทวนที่สองกระทบก็พลันเกิดะเิปะทุขึ้นทันที!
พร้อมกับที่จางเจิ้นซานปรากฏแววตาประหลาดใจก็เกิดการะเิปะทุขึ้นที่ข้างกาย ภายใต้แววตาตื่นตระหนกของจากเจิ้นซานเปลวเพลิงก็ปะทุออกจากก้อนหินขนาดเท่าชามอ่างที่แตกกระจายเป็สะเก็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนปลิวกระเด็นออกรอบทิศทาง!
ก้อนหินที่เฉียดข้างกายไปพลันเกิดะเิขึ้น ส่งคลื่นความร้อนและสะเก็ดหินกลุ่มใหญ่พุ่งเข้าใส่จางเจิ้นซานอย่างกะทันหัน!
สะเก็ดหินที่พุ่งออกมากินพื้นที่เป็วงกว้าง จางเจิ้นซานที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันท่วงทีสุดท้ายจึงได้แต่ใช้ท่าเท้าธารน้ำแข็งไถลร่างออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ยกแขนไขว้ขึ้นปิดบังใบหน้าพร้อมกับโคจรพลังิญญาเพิ่มพลังป้องกันร่างส่งผลให้ิักล้ามเนื้อสั่นกระตุกไปทั้งร่าง
ได้ยินเสียงแตกละเอียดแว่วมา ความเ็ปที่เสียดแทงทุกสัดส่วนสร้างความตระหนกแก่จางเจิ้นซานอย่างยิ่ง “แค่เศษหินที่ปลิวกระเด็นไฉนจึงทรงพลังเช่นนี้ได้!”
ผ่านไปชั่วลมหายใจเข้าออกการจู่โจมจากเศษหินก็หมดสิ้น จางเจิ้นซานยังคงล่าถอยไม่หยุดยั้ง ยามที่ลดแขนลงจากใบหน้าก็ปรากฏแสงสีแดงเจิดจ้าวาบสู่ดวงตา
ดวงตาไป๋หยุนเฟยสาดประกายฆ่าฟัน ปลายทวนเปลวอัคคีที่สาดแสงสีแดงฉานเจิดจ้าดุจดังลูกไฟก็พุ่งตรงเข้าใส่จางเจิ้นซาน
ในที่สุดจางเจิ้นซานก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเป็คราแรก ยามนั้นทวนสีแดงฉานอยู่ห่างจากทรวงอกมันไม่ถึงสามนิ้ว เมื่อไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันการจึงได้แต่ล่าถอยอย่างเร่งร้อน หลังจากใคร่ครวญชั่วครู่จางเจิ้นซานก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยวพลางยื่นมือซ้ายออกขวางทรวงอกไว้ในชั่วพริบตา ยามที่ปลายทวนกระทบถูกมือซ้ายก็รวบจับไว้อย่างฉับพลัน!
จากนั้นจึงพลิกฝ่ามือเงยขึ้น ปรากฏกล้ามเนื้อปูดโปนขึ้นบนมือซ้ายของจางเจิ้นซานก่อนจะผลักปลายทวนขึ้น้าอย่างดุดัน ขณะเดียวกันก็สลับเท้าพุ่งเฉียงออกไปยังทิศทางอื่น!
ก่อนจะทันได้คลายมือออกปลายทวนกลับลื่นไถลหลุดมือ ยามที่จางเจิ้นซานคลายมือออกพร้อมกับล่าถอยอย่างเร่งร้อน หยดเืก็กระเซ็นอออกมากลางอากาศ
ความตื่นตระหนกในดวงตาจางเจิ้นซานยิ่งเข้มข้นขึ้น มันล่าถอยไปหลายสิบวาไม่หยุดยั้งโดยฉับพลัน กระทั่งเห็นว่าไป๋หยุนเฟยไม่ไล่ตามมาจู่โจมอีกจึงค่อยคลายใจและหยุดยั้งลงเพื่อหอบหายใจ
“ไฉนเป็เช่นนี้? ไฉนเป็เช่นนี้?! มันบรรลุเพียงระดับกลางด่านวีรชนิญญา ไฉนมันออกท่าจู่โจมเช่นนี้ได้?!” ขณะเขม้นมองไป๋หยุนเฟยตรงหน้า จางเจิ้นซานก็คำรามในใจ “ต่อให้ทวนนั้นเป็วัตถุิญญาชั้นปฐี ต่อให้ทวนนั้นสามารถรวบรวมพลังธาตุไฟสร้างแรงะเิได้ แต่อย่างน้อยมันต้องบรรลุด่านวีรชนิญญาระดับปลายจึงจะสามารถกระทำได้! แล้วไฉนมันจึงจู่โจมเช่นนี้ได้?!?!”
เมื่อยกมือซ้ายขึ้น ก็มองเห็นบนถุงมือไหมน้ำแข็งที่เป็วัตถุิญญาชั้นมนุษย์ระดับสูงปรากฏรอยขาดเป็ทางยาว!
ใต้รอยขาดบนถุงมือปรากฏาแที่ลึกถึงกระดูกลากยาวจากใจกลางฝ่ามือไปถึงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ แม้จะโคจรพลังิญญาเพื่อเยียวยาแต่แรก แต่โลหิตยังคงหลั่งไหลไม่หยุดย้อมถุงมือสีขาวจนแดงฉานไปทั้งข้าง ที่เลวร้ายก็คือมิคาดว่าปากแผลยังมีร่องรอยเผาไหม้สีดำอยู่เลือนรางมิหนำซ้ำความรู้สึกร้อนรุ่มแผดเผาแผ่ซ่านจากปากแผลอย่างช้าๆ กระทั่งจางเจิ้นซานชักนำพลังธารน้ำแข็งเพื่อต่อต้านจึงค่อยรู้สึกว่าความร้อนสายนี้ค่อยๆจางหายไป
จางเจิ้นซานมองดูาแบนมือที่โลหิตค่อยๆชะลอลง ก่อนจะปรายตามองทวนเปลวอัคคีในมือไป๋หยุนเฟยอย่างหวาดหวั่น จากนั้นดวงตามันจึงปรากฏร่องรอยความโล่งอก “เคราะห์ดีที่ข้ามีปฏิกิริยารวดเร็ว... จากนี้ข้าไม่อาจให้ปลายทวนนั้นกระทบถูกได้อีก! หากว่าเกิดะเิเช่นนั้นอีกยามแทงถูกร่างข้าแล้ว...” ยามนี้หัวใจมันถูกความหวาดกลัวครอบงำโดยไม่อาจระงับ ดวงตาก็เฝ้ามองทวนเปลวอัคคีด้วยท่าทีหวาดหวั่น
ที่ห่างออกไปหลายสิบวาไป๋หยุนเฟยใช้มือซ้ายบีบเค้นมือขวาที่สั่นระริกพลางกัดฟันแน่นขณะที่โคจรพลังิญญาไม่หยุดยั้ง กระทั่งความเ็ปที่เสียดแทงแขนขวาทุเลาลงค่อยระบายลมหายใจโล่งอก จากนั้นจึงเหลือบตาขึ้นมองจางเจิ้นซานที่เบื้องหน้า
ที่จริงไป๋หยุนเฟยรู้สึกโชคดีนักที่จางเจิ้นซานล่าถอยออกไปไกลอย่างหวาดหวั่น หากว่าศัตรูจู่โจมโต้กลับทันทีหลังจากหลบเลี่ยงทวนเปลวอัคคีได้จะกลายเป็ตัวมันที่ตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ก่อนจะลงมือจู่โจมต่อเนื่องเมื่อครู่ มันเตรียมใจไว้แล้วหากว่าล้มเหลวและถูกศัตรูทำร้ายาเ็อีกครา
“แย่แล้ว ยามทวนสุดท้ายกระทบถูกฝ่ามือศัตรูกลับไม่บังเกิดการะเิขึ้น ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ข้าต้องได้ชัยแล้ว!” เมื่อไป๋หยุนเฟยมองเห็นว่าดูเหมือนศัตรูกำลังเยียวยาอาการาเ็ก็อดไม่ได้ต้องส่งสายตาผิดหวังออกมา “ข้าใช้ท่าทะลวงสามทบถึงสามคราจึงกระตุ้นให้เกิดะเิขึ้น แต่ก็เพียงทำให้ศัตรูาเ็เล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปมันต้องระมัดระวังทวนเปลวอัคคีอย่างยิ่ง เช่นนั้น... หรือข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่ฝืนลงมือ?”
ขณะที่ไป๋หยุนเฟยเค้นสมองครุ่นคิด จางเจิ้นซานที่สงบใจลงได้ก็พลันพบเห็นท่าทางผิดปกติของศัตรู “มันไม่ไล่ตามเข้ามาจู่โจม มิหนำซ้ำราวกับมัน... แขนขวามันาเ็! นั่นก็ใช่แล้ว ไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชาเร้นลับใดเพื่อจู่โจมออกเช่นนั้นแต่เพราะมันเพียงบรรลุด่านวีรชนิญญา ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง! บัดซบ! นี่หมายความว่าข้าละทิ้งโอกาสตีโต้ไปโดยสูญเปล่า!”
ขณะจางเจิ้นซานสำนึกเสียใจก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ศัตรูได้พักหายใจ มันยกหมัดขวาขึ้นพร้อมกับดวงตาทอประกายอำมหิตก่อนจะพุ่งเข้าใส่ไป๋หยุนเฟย!
