เจิ้งหยวนไม่รู้เหตุวุ่นวายในบ้านลุงใหญ่เจิ้ง ถ้าให้พูดกันตามตรง เื่ตัวอักษรมงคลสีแดงนั่นเป็ความบังเอิญทั้งสิ้น เจิ้งหยวนเพียงแค่สุ่มหยิบขวดหมึกสีแดงในมิติมาเท่านั้น ไม่ได้รู้เลยว่าเ้าขวดนั่นคือ ‘หมึกล่องหน’ ที่เรียกว่าเช่นนั้นก็เพราะมันเป็หมึกที่มีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งหมึกประเภทนี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีจำเพาะขึ้นหลังััอากาศ พอเขียนสักพักก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ แม้ไม่ใช่ของหายากอะไรในยุคศตวรรษที่ 21 แต่พอมาอยู่ยุคนี้เลยให้ผลน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ในเมื่อตัวอักษร ‘สี่’ ตรงหน้าอกเจิ้งเทียนหู่เลือนหายไป รอยคราบน้ำหมึกเต็มกระท่อมมุงหญ้าหลังนั้นย่อมหายไปด้วย แต่เพราะเื่ผีหลอกอึกทึกครึกโครมทั้งวี่ทั้งวัน หลังทุกคนแยกย้ายเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้กระท่อมหลังนั้นอีก คราบอักษรมงคลสีแดงที่จางหายไปจึงไม่มีใครรู้ มิอย่างนั้นต้องเกิดความโกลาหลใหญ่โตแน่นอน
วันรุ่งขึ้นเจิ้งหยวนขากลับจากส่งข้าวเสร็จ เธอกำลังเดินอยู่บนถนน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานดังกริ๊งหลายครั้ง เป็สัญญาณขอให้เธอหลีกทางให้จากคนขี่จักรยานข้างหลัง เจิ้งหยวนหลบเข้าข้างทางและเห็นตำรวจในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินสามสี่คน หนึ่งในนั้นมีอาสามของเธอด้วย
“อาสาม!” เจิ้งหยวนะโเรียกทันที
อาสามเจิ้งหันกลับมามองตามทิศทางของเสียงเรียก “เจิ้งหยวน?” เขากดเบรกหยุดรถ “เธอไปส่งข้าวให้แม่มาเหรอ”
“ใช่ค่ะ” เจิ้งหยวนบอก จากนั้นก็มองตำรวจที่หยุดรถตามคนอื่นๆ และถามอาสามเจิ้งต่อ “พวกอาสามไปทำอะไรกันเหรอคะ?”
อาสามเจิ้งเอ่ยตอบตามตรง “เราจะไปกองของพวกเธอน่ะ”
“ไปกองของพวกฉัน?” เจิ้งหยวนงุนงงเล็กน้อย
่นี้เกิดเื่อะไรขึ้นในกองจนสามารถดึงตำรวจมาได้ด้วยเหรอ? ทันใดนั้นเส้นประสาทของเจิ้งหยวนพลันตื่นตัว
เธอตัดสินใจเอ่ยถามหยั่งเชิง “คงจะไม่ใช่เพราะบ้านลุงใหญ่… หรอกนะคะ?”
อาสามเจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างคนปลงตก “ก็ใช่น่ะสิ เพราะเื่ของญาติผู้พี่เธอนั่นแหละ”
พวกเขาตำรวจไม่เชื่อเื่ผีสาวหาคู่อะไรนั่นหรอก มีคนจงใจปลอมเป็ผีหลอกเจิ้งเทียนหู่ชัดๆ ทว่าเื่นี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงเกินไป ประเทศกำลังรณรงค์ให้ยกเลิกสี่สิ่งเก่าๆ อยู่ตลอด แต่ดันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในกองการผลิตภายใต้การดูแลของพวกเขา แถมยังแพร่สะพัดไปทั่ว บ่งบอกจุดประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อจะหลอกลวงผู้คน สร้างความวุ่นวาย ต่อต้านการปฏิวัติและการพัฒนา! หลังหัวหน้าพวกเขาได้ยินเข้าก็ตระหนักได้ว่าเื่นี้มันสำคัญมากขนาดไหน
และ้าให้พวกเขาสืบออกมาจนแน่ชัดว่าใครเป็คนกระทำเื่งมงายสมัยยุคศักดินาต่อต้านการปฏิวัติที่นี่!
สำหรับอาสามเจิ้ง เื่นี้เกี่ยวพันกับครอบครัวพี่ใหญ่เขาด้วย แม้เจิ้งเทียนหู่จะเป็ผู้เสียหาย แต่พัวพันกับเหตุการณ์พรรค์นี้ก็เป็ประวัติอันมืดมนที่ไม่อาจลบล้างได้
“เจิ้งหยวน ขึ้นมาสิ ฉันจะพาเธอกลับกอง” อาสามเจิ้งพยักพเยิดหน้าเป็สัญญาณให้เจิ้งหยวนขึ้นเบาะหลัง “เธอบอกฉันหน่อย เช้าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับญาติผู้พี่เธอกันแน่”
ไม่เพียงได้ติดรถกลับยังได้สืบเื่ต่างๆ ด้วย เจิ้งหยวนให้อาสามเจิ้งขี่ก่อน แล้วเธอค่อยะโขึ้นเบาะหลังของจักรยาน จักรยานโคลงเคลงเพียงครั้งสองครั้ง ไม่นานอาสามเจิ้งก็ทรงตัวได้และปั่นต่อไปอย่างมั่นคง
เจิ้งหยวนจับชายเสื้ออาสามของตนแน่นแล้วงอขาขึ้น “ความจริงฉันก็ไม่ค่อยรู้ทางฝั่งญาติผู้พี่เหมือนกัน เช้าเมื่อวานฉันกำลังล้างจานอยู่ที่บ้านก็ได้ยินเสียงคนะโว่ามีคนตายข้างนอก ฉันเลยตามไปตีนเขาชิงซานพร้อมพวกเขา ตรงที่เมื่อก่อนผู้หญิงคนนั้น เธอ…” ยังไม่ทันจบประโยค เธอพลันชะงักไป เจิ้งหยวนไม่รู้ว่าผู้หญิงผู้น่าสงสารคนนั้นชื่ออะไร แต่เธอพูดแค่นี้อาสามเจิ้งก็รู้แล้ว เขาเคยเป็คนของกองหยางหลิวมาก่อน
“หวังเฉี่ยวเอ๋อร์”
“ใช่ ตรงที่ที่หวังเฉี่ยวเอ๋อร์อาศัยอยู่นั่นแหละค่ะ” เจิ้งหยวนว่าต่อ “ฉันไม่ได้เข้าไป ได้ยินคนข้างนอกเขาบอกกันว่าญาติผู้พี่ฉันอยู่ข้างใน ญาติผู้พี่โดนเปลื้องผ้าจนเกลี้ยงวางไว้บนเตียง แถมมีตัวอักษรมงคลสีแดงเต็มบ้านไปหมด คนอื่นๆ เลยบอกว่าหวังเฉี่ยวเอ๋อร์เอาญาติผู้พี่ฉันเป็ ‘เ้าบ่าวผี’ แล้ว”
“เ้าบ่าวผีอะไรกัน! เหลวไหลทั้งเพ!” อาสามเจิ้งตะคอกเสียงดัง เขาไม่ชอบคำนี้
ประเด็นความเชื่องมงายสมัยยุคศักดินาเอามาพูดตามอำเภอใจได้ที่ไหน! นอกจากนี้ข้างๆ
ยังมีเพื่อนร่วมงานเขาที่เป็เ้าหน้าที่รัฐอยู่ด้วย
คนอื่นได้ยินเข้ามันจะเป็ความผิดโทษฐานต่อต้านการปฏิวัติเอา!
“ฉันได้ยินคนพูดมาอีกทีค่ะ” เจิ้งหยวนแก้ตัวเสียงแ่เบา “อีกอย่างอาสาม คุณน่าจะรู้นี่นา สถานที่ที่หวังเฉี่ยวเอ๋อร์อยู่น่ะ… ั้แ่เธอตายไป ในกองเรามีคนไม่พูดอะไรด้วยเหรอคะ? ฉันต้องรู้อยู่แล้วว่ามันเป็ความเชื่องมงาย
ที่ฉันพูดเื่นี้เป็เพราะญาติผู้พี่โดนคนเจอตัวที่นั่น เื่จึงเกิดขึ้นค่ะ”
สหายตำรวจอีกคนที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นบ้าง “เกิดอะไรขึ้นกับหวังเฉี่ยวเอ๋อร์คนนั้นเหรอ?”
เจิ้งหยวนส่งยิ้มบางให้สหายตำรวจ ก่อนตอบ “เป็สตรีที่ผูกคอตายในกองของพวกเราเมื่อก่อนค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจนัก ไม่เคยเจอกันค่ะ อาสาม คุณรู้จักไหมคะ?”
อาสามต้องรู้จักอยู่แล้ว แม้ความทรงจำจะเลือนรางไปจนจำหน้าตาและเสียงของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์ได้ไม่ชัดแล้ว แต่เขายังจำได้ว่าเธอเป็ผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง เธอคนนั้นดูดีเสมอทั้งในชุดกี่เพ้าหรือชุดผ้าป่านธรรมดา ยามเธอยิ้มกลับงดงามกว่าเก่า และถึงไม่ยิ้มก็ยังงามอยู่ดี สรุปคือไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน หรือหยุดนิ่งล้วนสะกดใจผู้พบเห็นทั้งสิ้น แตกต่างจากสตรีทุกคนในหมู่บ้าน ยี่สิบปีก่อนอาสามเจิ้งยังเป็เด็กหนุ่มวัยกลัดมัน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เขายังเคยนัดพบส่วนตัวกับหวังเฉี่ยวเอ๋อร์ในความฝันเลย
สหายตำรวจใบหน้าดำกลมแบนคนนั้นยังรอคำตอบจากอาสามเจิ้ง อาสามเจิ้งใจลอยครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัวจึงตอบว่า “ชื่อเสียงของหวังเฉี่ยวเอ๋อร์… ไม่ค่อยดีนัก เมื่อก่อนเคยเป็อนุภรรยาของคนรวย ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง ต่อมาทนความลำบาก รับความทุกข์ยากไม่ไหว เลยผูกคอฆ่าตัวตาย”
คำพูดฟังดูเป็ผู้ดีจอมปลอมเสียจริง เจิ้งหยวนแอบหันข้างไปเบ้ปาก ทั้งที่ผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นโดนบีบคั้นจนตายแท้ๆ
ตำรวจอีกสามคนเชื่อคำพูดของอาสามเจิ้ง ไม่จี้ถามต่ออีก
แต่ตำรวจตาเล็กคนหนึ่งยังคงสงสัยใคร่รู้ “มีต่อไหม? เธอรู้อะไรอีกบ้าง?”
เจิ้งหยวนส่ายหัว “เื่อื่นๆ ฉันไม่รู้แล้วค่ะ เช้าเมื่อวานฉันยืนอยู่ข้างนอก จากนั้นก็โดนคุณพ่อไล่ออกมาแล้วไปโรงพยาบาล เลยไม่รู้ไปมากกว่านี้แล้วค่ะ”
เงียบไปอึดใจหนึ่ง เจิ้งหยวนก็เริ่มถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “อาสาม ว่าแต่พวกคุณรู้เื่ในกองพวกฉันได้ยังไงกันคะ? มีคนแจ้งความเหรอคะ?” พอคิดถึงความเป็ไปได้ ก็ไม่น่าจะเป็เช่นนั้นได้
หัวหน้ากองของกองหยางหลิวคือคุณพ่อของเธอ เจิ้งเฉวียนกัง
คนเสียหน้าก็เป็คุณลุงใหญ่เจิ้ง พี่ชายของพ่อเธอ ดังนั้น
เจิ้งเฉวียนกังไม่น่าทำเื่ใหญ่โตไปถึงเบื้องบนให้ตำรวจรู้
อาสามเจิ้งจึงเอ่ยตอบ “เื่นี้อึกทึกเกินไป อธิบดีของพวกเรามีญาติอยู่ที่กองชิงเหอข้างๆ พอดี แล้วในกองชิงเหอมีคนรู้เลยลือมาถึงหูอธิบดี พออธิบดีรู้เข้าก็สั่งให้พวกเราควานหาตัวคนที่แกล้งปลอมเป็ผีทำร้ายญาติผู้พี่ของเธอออกมานั่นแหละ”
หนังตาเจิ้งหยวนพลันกระตุก เธอจึงค่อยๆ ถามอย่างระมัดระวัง “ถ้าสมมติว่าหาตัวเจอ… จะตัดสินว่ามีความผิดไหมคะ?”
ตำรวจตาเล็กคนเดิมที่ขี่ม้าข้างกายอาสามเจิ้งตอบแทน “ต้องถูกตัดสินโทษสิ นี่เป็ความผิดร้ายแรงฐาน ‘ต่อต้านการปฏิวัติ’ เลยนะ! บางทีอาจจะโดนยิงเป้าด้วยซ้ำ!”
เจิ้งหยวนเงียบกริบโดยพลัน รู้สึกเหมือนตนเองก่อปัญหาใหญ่เข้าแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้