หลังจากปรับตัวเข้ากับกิจวัตรประจำวันของสำนักศึกษาได้เมื่อวาน วันนี้จางเจิ้นอันก็ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกไปหาปลา เขาพายเรือหาทำเลเหมาะๆ เพื่อลงแหไว้ก่อน จากนั้นจึงจอดเรือเทียบท่าใกล้สำนักศึกษา เมื่อขึ้นฝั่งแล้วจึงค่อยมุ่งหน้าไปยังห้องเรียน
เด็กๆ มาถึงกันเร็วมาก เมื่อจางเจิ้นอันก้าวเข้าไป เสียงอ่านหนังสือภายในห้องเรียนก็ดังเจื้อยแจ้วแล้ว น้ำเสียงใสๆ ของเด็กๆ ดังกังวานราวกับเสียงเคาะหยกกระทบมุก จางเจิ้นอันแย้มรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องเรียน
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เสียงอ่านหนังสือก็ค่อยๆ เงียบลง บรรยากาศในห้องเรียนพลันสงบ เด็กๆ ต่างพากันทักทายเขา "ท่านอาจารย์ อรุณสวัสดิ์"
"อรุณสวัสดิ์ทุกคน" จางเจิ้นอันแย้มยิ้มขึ้นอีกเล็กน้อย เขายังไม่คุ้นชินนักกับบรรยากาศเช่นนี้ รวมถึงไมตรีจิตที่เด็กๆ มอบให้
รอยยิ้มจางๆ นี้ถูกเด็กๆ ที่นั่งแถวหน้าสังเกตเห็น พวกเขาต่างถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่ายามที่เขายิ้มนั้น ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิด
"เอาล่ะ ทุกคนอ่านหนังสือตำราต่อเถิด อ่านบทเรียนที่ข้าอ่านให้ฟังเมื่อวานซ้ำหลายๆ รอบ พยายามท่องจำให้ขึ้นใจ มีตรงไหนไม่เข้าใจก็มาถามข้าได้" จางเจิ้นอันกล่าวพลางส่งสัญญาณให้พวกเขาอ่านหนังสือต่อ ส่วนตนเองก็นั่งลงบนตั่งหน้าห้องเรียนในท่วงท่าหลังตรงเช่นเดียวกับเมื่อวาน
เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ในตอนแรกเด็กๆ ยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่ต่อมาราวกับ้าแสดงความสามารถให้เขาเห็น เสียงอ่านหนังสือจึงยิ่งดังและฟังชัดขึ้น
อันซิ่วเอ๋อร์นำอาหารเช้ามาส่งให้จางเจิ้นอัน ระหว่างทางบังเอิญพบกับผู้ใหญ่บ้าน ทั้งสองจึงเดินเคียงกันมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา
ในใจของผู้ใหญ่บ้านยังคงรู้สึกไม่วางใจนัก จึงคิดอยากมาดูให้เห็นกับตา
พวกเขายังไม่ทันถึงประตู ก็ได้ยินเสียงจอแจดังออกมา ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง เกรงว่าจางเจิ้นอันจะคุมเด็กๆ ไม่อยู่ ปล่อยให้พวกเขาส่งเสียงดังเอะอะ ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงได้รู้ว่า ที่แท้คือเสียงอ่านหนังสือของเด็กๆ นั่นเอง
"ดูท่าว่า...พ่อหนุ่มจางนี่จะมีฝีมืออยู่ไม่น้อย" ผู้ใหญ่บ้านยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเป็เสียงอ่านหนังสือจริงๆ ก็หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า "ข้ายังมีธุระ คงไม่เข้าไปแล้ว"
"เช่นนั้นท่านไปจัดการธุระก่อนเถิดเ้าค่ะ ข้าขอตัวเข้าไปก่อน วันนี้เขามาแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้ทานอะไรเลย" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม แสร้งทำเป็ไม่รับรู้ถึงความกังวลและความตั้งใจของผู้ใหญ่บ้าน นางโบกมือลาเขาแล้วเดินเข้าไปในสำนักศึกษา
รอบกายจางเจิ้นอันมีเด็กหนึ่งหรือสองคนยืนล้อมอยู่ ดูเหมือนกำลังถามคำถามเขาอยู่ จางเจิ้นอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆ อธิบายให้พวกเขาฟังทีละคน อันซิ่วเอ๋อร์มองดูแล้วรู้สึกว่า ท่าทางยามเขาตั้งใจนั้นช่างน่ามองเหลือเกิน ทำให้หัวใจของนางคล้ายจะเต้นช้าไปครึ่งจังหวะ
โชคดีเหลือเกินที่นี่คือสามีของนาง นางไม่ได้พลาดเขาไป ในวินาทีนี้ นางรู้สึกภาคภูมิใจในตัวจางเจิ้นอันเป็อย่างยิ่ง ทว่ายิ่งคิด นางก็ยิ่งมีเื่กังวลใจซ่อนอยู่
สามีเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีที่มาไม่ชัดเจน แน่นอนว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดา จะมีวันใดหรือไม่ที่เขาจะจากนางไปอย่างกะทันหัน? จะมีวันใดหรือไม่ที่เขาจะหายตัวไป กลับคืนสู่โลกที่เขาจากมา...เหมือนกับที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างฉับพลัน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู "แม่นาง ยืนเหม่ออะไรอยู่ข้างนอกเล่า?"
"ข้านำอาหารเช้ามาให้ท่านเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางเบา พลางชูตะกร้าขึ้น กล่าวว่า "เห็นท่านกำลังสอนหนังสือเด็กๆ อยู่ ข้าก็เลยไม่อยากรบกวน"
"ตอนนี้เป็เวลาอ่านหนังสือยามเช้า ไม่ถือว่ารบกวนหรอก" จางเจิ้นอันตอบ "เมื่อเช้าข้าเห็นลูกชิ้นที่เหลือจากเมื่อวาน ก็กินไปสองสามลูกแล้ว ตอนนี้ยังไม่หิว"
"ข้าทำแป้งทอดมาให้สองสามแผ่น ท่านเก็บไว้เผื่อหิวเถิด" อันซิ่วเอ๋อร์หยิบของในตะกร้าส่งให้จางเจิ้นอัน แล้วหันมายิ้มให้เขา นางไม่รบกวนเขาต่อ พลางถือตะกร้าเดินจากไป
จางเจิ้นอันยืนมองนางเดินจากไปบนระเบียง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็หันกลับมา สายตาสบประสานกัน นางส่งยิ้มหวานให้เขา ใบหน้าหมดจดสดใสเผยให้เห็นลักยิ้มจางๆ สองข้าง รอยยิ้มนั้น...ช่างงดงามจับใจเสียจริง
"มองกลับมายิ้มคราเดียว เกิดเสน่ห์ร้อยพัน คำกล่าวของคนโบราณช่างไม่หลอกลวงข้าเลยจริงๆ"
อาจเป็เพราะได้รับความรู้สึกดีๆ จากคนรักั้แ่เช้า ตลอดทั้งวันอารมณ์ของจางเจิ้นอันจึงเบิกบานเป็พิเศษ เมื่อศิษย์มีคำถาม เขาก็ยินดีตอบทุกคำถาม ถึงขนาดวิเคราะห์ความหมายแฝงในบทกวีให้ฟังสองสามเื่ ซึ่งกู้หลินหลางคนก่อนไม่เคยทำเช่นนี้ อย่างมากก็แค่พาอ่านสองสามรอบแล้วปล่อยให้พวกเขาอ่านเขียนกันเอง
จางเจิ้นอันมีความคิดเป็ของตนเอง คำกล่าวที่ว่า ‘อ่านร้อยจบย่อมประจักษ์แจ้งในความหมาย’ นั้นไม่ผิด แต่เด็กๆ เหล่านี้ยังเยาว์นัก บทกวีหลายบทแม้ท่องจำได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมาย ดังนั้นทุกครั้งเขาจึงจะอธิบายเพิ่มเติมให้เสมอ
แน่นอนว่า ความรับผิดชอบย่อมมาพร้อมกับความเข้มงวด แม้จางเจิ้นอันจะทุ่มเทสอนพวกเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็เข้มงวดกับพวกเขามากเช่นกัน ด้วยชื่อเสียง ‘ยมบาลเดินดิน’ ทำให้ไม่มีศิษย์คนใดกล้าก่อกวนในห้องเรียนของเขา ทุกคนต่างตั้งใจเรียนอย่างสงบเสงี่ยม ศิษย์ที่เหม่อลอยเป็ครั้งคราวก็จะถูกเขาจับได้ แล้วลงโทษด้วยการตีไม้บรรทัดที่ฝ่ามือ
สำนักศึกษาแห่งนี้ มีทั้งศิษย์ที่รักการเรียน และแน่นอนว่าย่อมมีคนที่ไม่ชอบเรียน สำหรับศิษย์ดีเด่น พวกเขาค่อนข้างชอบจางเจิ้นอัน เพียงเวลาไม่กี่วัน เขาก็สามารถซื้อใจพวกเขาได้แล้ว
แต่สำหรับศิษย์ที่ไม่รักเรียน พวกเขากลับเกลียดจางเจิ้นอันเข้ากระดูกดำ รู้สึกว่าเขาคอยจับผิดพวกเขาอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่าน่เวลาที่ไม่มีอาจารย์คอยควบคุม หัวใจของพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไปไกล ไม่อยากถูกใครมาบังคับอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อมีจางเจิ้นอันอยู่ที่นี่ พวกเขาจะทำอะไรได้เล่า? สู้ก็สู้ไม่ได้ ได้แต่รวมกลุ่มกันแอบนินทาลับหลังเขาอยู่สองสามคำ ทั้งยังไม่กล้าให้เขาได้ยิน
วันนั้นหลังเลิกเรียน ศิษย์คนหนึ่งชื่อ สือหนาน เดินกลับบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขารู้สึกว่า่นี้ตนเองทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุกวันที่ไปเรียนเหมือนกับไปติดคุก ไม่มีอิสระ ทำได้เพียงเรียนหนังสือ อยากจะเล่นสนุกก็ทำไม่ได้
วันนี้ เขาแค่เขียนอักษรผิดไปไม่กี่ตัว ก็ถูกตีฝ่ามือไปสองที เขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งกลับถึงบ้านก็ยังคงหน้าดำคร่ำเครียด
สือหนานผู้นี้เป็เด็กจากหมู่บ้านข้างเคียง ที่หมู่บ้านของตนเขาคืออันธพาลน้อย ที่บ้านก็เป็ที่รักและตามใจอย่างยิ่ง พ่อแม่ของเขาเป็ชาวนาธรรมดาที่ไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว หลังจากส่งเขาไปเรียนหนังสือ พอเห็นเขาเขียนอักษรได้สองสามตัว หรืออ่านบทกวีภาษาทางการที่ฟังไม่เข้าใจได้สองสามประโยค ก็พากันยกย่องเขาเสียเลิศเลอ นับแต่นั้นมาก็คิดว่าเขาคือเทพเ้าแห่งปัญญาจุติลงมาเกิด งานบ้านงานเรือนใดๆ ก็ไม่ยอมให้เขาแตะต้องเลย
มารดาของเขาแซ่เซี่ยง เป็คนปากร้ายในหมู่บ้าน แต่กลับรักและตามใจเขามาก เมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดของบุตรชาย จึงเอ่ยถามว่า "หนานเอ๋อร์ วันนี้เหตุใดจึงไม่สบอารมณ์? เกิดเื่อันใดขึ้นที่สำนักศึกษาหรือ?"
"ไม่มีอะไรขอรับ" สือหนานส่ายหน้า เื่น่าอับอายอย่างการเขียนหนังสือผิดตนย่อมไม่อาจให้บิดามารดารู้ได้ ทว่าแม่ย่อมรู้ใจลูก เมื่อเห็นอารมณ์ซึมเศร้าของเขา เซียงซื่อจึงถามย้ำอีกครั้ง "ตกลงมันเื่อะไรกันแน่?"
"เฮ้อ..."
สือหนานจึงถอนหายใจออกมา กล่าวว่า "ที่สำนักศึกษาของเรา เชิญอาจารย์คนใหม่มาขอรับ"
"นี่ไม่ใช่เื่ดีหรอกรึ?" เซียงซื่อได้ฟัง ดวงตาก็เป็ประกาย สองสามวันก่อนได้ยินว่าสำนักศึกษาไม่มีอาจารย์ นางยังไปโวยวายมาหลายครั้ง ในที่สุดก็มีอาจารย์แล้ว
"เื่ดีก็จริงอยู่ขอรับ แต่ว่าอาจารย์ผู้นี้เป็ชาวประมง!" สือหนานถอนหายใจหนักๆ กล่าวว่า "ชาวประมงผู้นี้แม้จะพอรู้หนังสืออยู่บ้าง แต่กลับไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังหยาบคายยิ่งนัก เฮ้อ พวกเราทุกคนต่างเบื่อหน่ายเขา แต่เขากำลังวังชาดี ไม่มีใครกล้าต่อต้านเขาเลย!"
"อะไรนะ ให้ชาวประมงมาเป็อาจารย์รึ?" เซียงซื่อได้ฟังก็เดือดดาล กล่าวว่า "ผู้ใหญ่บ้านชิงสุ่ยนี่ทำอะไรอยู่? พวกเราจ่ายเงินไปแล้ว เขากลับทำแบบนี้กับพวกเรารึ? ไม่ได้การ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาผู้ใหญ่บ้าน!"
"ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ ท่านแม่ อย่าเสียแรงเปล่าเลย ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจเื่ของสำนักศึกษาแล้ว" สือหนานกล่าว "อีกอย่าง ท่านแม่ไปคนเดียว ผู้อื่นที่ไหนจะฟังท่านกัน"
"หึ ข้าคนเดียวรึ?" เซียงซื่อแค่นเสียงเย็น กล่าวว่า "ลูกไม่ต้องกลัว แม่ไม่มีทางปล่อยให้ชาวประมงนั่นมาทำลายอนาคตของลูกแน่ ในหมู่บ้านเราก็มีเด็กหลายคนที่เรียนอยู่ที่สำนักศึกษานี่ ข้าจะไปหาพวกเขา แล้วค่อยไปหาคนจากหมู่บ้านอื่น พวกเรารวมตัวกันไปหาผู้ใหญ่บ้านอัน ข้าจะดูซิว่าเขาจะจัดการหรือไม่จัดการ!"
"ก็นับเป็ความคิดที่ดีขอรับ" เดิมทีสือหนานเพียงแค่บ่นกับมารดาตนเองสองสามคำ ถือโอกาสปัดความรับผิดชอบเื่ที่ตนเองไม่มีความรู้ไปให้จางเจิ้นอันเสียเลย ไม่คิดว่ามารดาของตนจะยอมช่วยติดต่อผู้อื่นให้
หึ พอคนเยอะๆ เข้า ครานี้ดูซิว่าเขาจะทำอย่างไร แค่เื่วุ่นวายก็น่าจะปวดหัวตายแล้ว!
สือหนานนึกถึงภาพจางเจิ้นอันถูกพวกเขาขับไล่ออกจากตำแหน่ง ก็รู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย จึงกล่าวกับเซียงซื่อต่อไปว่า "ท่านแม่ ชาวประมงผู้นี้ชื่อจางเจิ้นอัน เมื่อก่อนเขาเคยตาบอด ท่านแม่ไปถามคนในหมู่บ้านชิงสุ่ยดูก็รู้ คนอื่นต่างก็กลัวเขา ข้าคาดว่าถึงตอนนั้นคงมีศิษย์หลายคนเพราะความกลัว จึงไม่กล้าพูดความจริงออกมา"
"มีอะไรน่ากลัวกัน หรือว่าเขากล้าตีลูกรึ?" เซียงซื่อกลับไม่ใส่ใจ นางเท้าสะเอวกล่าวว่า "ลูกวางใจเถิด แม่จะไปหาคนเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ก็จะไปถามผู้ใหญ่บ้านให้รู้เื่!"
"ขอรับ ขอบคุณท่านแม่ที่ลำบาก"
สือหนานกล่าวอย่างสุภาพพร้อมคำนับมารดาตนเอง เซียงซื่อเห็นแล้ว ในใจก็ยิ่งปลาบปลื้ม บุตรชายของนางช่างดีเหลือเกิน ท่าทางเช่นนี้ดูแล้วต้องเป็จอหงวนในอนาคตแน่ หากถูกคนป่าเถื่อนเช่นนั้นมาทำให้เสียคน ก็คงเป็เื่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้ดังนี้ นางก็ไม่รอช้าอีกต่อไป รีบออกไปติดต่อผู้ปกครองของเด็กๆ ที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษา เที่ยวป่าวประกาศบอกเล่าฐานะของจางเจิ้นอัน ระดมคนเพื่อไปหาเื่จางเจิ้นอัน พยายามอย่างยิ่งที่จะขับไล่เขาออกจากตำแหน่งให้ได้
เซียงซื่อวิ่งไปยังบ้านหลังหนึ่ง บังเอิญว่าเด็กบ้านนี้ก็ไม่ชอบเรียนหนังสือเช่นกัน เมื่อได้ยินเซียงซื่อกล่าวร้ายจางเจิ้นอัน เขาก็รีบผสมโรงทันที
"ใช่ขอรับ จางเจิ้นอันคนนี้ไม่มีความรู้อะไรเลย เมื่อก่อนเขาเป็ชาวประมงจริงๆ คนอื่นต่างก็กลัวเขา ไม่มีใครกล้าว่าเขาไม่ดีหรอก"
"เป็ชาวประมงจริงๆ รึนี่ เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ไปถามผู้ใหญ่บ้านให้รู้เื่ คนแบบนี้จะเป็อาจารย์ได้อย่างไร" สตรีผู้นั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของบุตรชายตนเอง ก็พลอยรู้สึกเป็ศัตรูกับจางเจิ้นอันเช่นเดียวกับเซียงซื่อทันที รับปากว่าพรุ่งนี้ตนก็จะไปหาเื่จางเจิ้นอันด้วย
เซียงซื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนสำเร็จลุล่วงแล้ว หลังจากนัดแนะเวลากับนางเรียบร้อย ก็เดินทางไปยังบ้านหลังต่อไป เด็กชายบ้านนี้ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของเซียงซื่อ ก็แก้ต่างให้จางเจิ้นอันประโยคหนึ่ง
"ท่านแม่ ข้าว่าอาจารย์ของเราก็ดีออกนะขอรับ"
"ใช่สิ คนที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนั้น สำหรับคนที่ไม่เอาไหนแล้ว ก็ย่อมดีอยู่แล้วมิใช่รึ" เซียงซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ กล่าวเหน็บแนมขึ้น
"เ้าเด็กน้อยนี่จะไปรู้อะไร เขาเป็ชาวประมง แค่พอรู้หนังสือสองสามตัว จะสอนพวกเ้าได้อย่างไร!"
มารดาผู้นี้เมื่อได้ฟังคำพูดของเซียงซื่อ ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ดุว่าบุตรชายตนเองเสียงดัง ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มขอบคุณเซียงซื่อ รับปากว่าจะไปหมู่บ้านชิงสุ่ยด้วยกันในวันพรุ่งนี้ จุดประสงค์หลักคือไปซักถามผู้ใหญ่บ้านและหาเื่จางเจิ้นอัน
ด้วยเหตุนี้ เซียงซื่ออาศัยเพียงลมปาก ก็สามารถติดต่อผู้ปกครองได้จำนวนไม่น้อย ผู้ปกครองหลายคนเดิมทีไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ แต่พอได้ยินว่าจางเจิ้นอันเป็ชาวประมง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะมีข้อกังขา ทั้งยังอยากไปดูเื่สนุกๆ ด้วย ด้วยประการฉะนี้ ขบวนการของพวกนางจึงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีผู้ปกครองที่นัดหมายกันแล้วถึงเจ็ดแปดคน
…….
ฝ่ายจางเจิ้นอันนั้นหารู้เื่ราวเหล่านี้ไม่ ขณะนี้ เขากำลังอยู่กับอันซิ่วเอ๋อร์ ช่วยกันจับปลาอยู่
"ซิ่วเอ๋อร์ ทางนั้น!" จางเจิ้นอันร้องบอกอันซิ่วเอ๋อร์
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นปลาตัวหนึ่งว่ายผ่านข้างกายนางไป ก็คว้าไม้พายฟาดลงไปอย่างแรง ทันใดนั้น น้ำในแม่น้ำก็กระเซ็นสาดจนนางเปียกไปทั้งตัว แม้แต่จางเจิ้นอันที่เข้ามาช่วยชี้แนะก็หลบไม่ทัน
"มีใครเขาจับปลากันแบบนี้บ้าง?" จางเจิ้นอันกล่าวอย่างจนใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำบนใบหน้าของนาง กล่าวว่า "เ้าถึงกับเอาไม้พายไปตี ปลาหนีไปหมดพอดี เ้าคิดว่าเ้าเป็ข้ารึอย่างไร"
"ชิ ท่านพี่ เดี๋ยวนี้ช่างรู้จักชมตัวเองเสียแล้วนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะเยาะเขา ก่อนจะอธิบาย "เมื่อครู่ปลาตัวนั้นใหญ่มาก ข้าเห็นมันกำลังจะว่ายผ่านไป ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากเ้าค่ะ"
"ข้าล่องเรืออยู่บนแม่น้ำสายนี้ทุกวัน เห็นปลาว่ายผ่านไปนับไม่ถ้วนทุกวัน ข้าก็ไม่เห็นจะรู้สึกเสียดาย หากเป็เหมือนเ้า มีหวังคงได้เสียใจตายพอดี" จางเจิ้นอันใช้แขนเสื้อเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าตนเองลวกๆ
วันนี้เขาตั้งใจเลิกเรียนเร็วหน่อย ที่มาจับปลานี้ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อจับปลาอย่างเดียว จุดประสงค์หลักคือพาอันซิ่วเอ๋อร์มาเที่ยวเล่นเสียมากกว่า
"คราวนี้เสื้อผ้าเ้าเปียกหมดแล้ว ควรกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว" จางเจิ้นอันกล่าวเสริม
"แล้วเราจะกลับไปมือเปล่าเช่นนี้รึเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ทำปากยื่น ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจ
"จะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร?" จางเจิ้นอันหัวเราะออกมา เขาพายเรือไปยังอีกจุดหนึ่ง โปรยหญ้าลงไป แล้วหยิบฉมวกที่ไม่ได้ใช้งานมานานจากหัวเรือออกมา ควงโชว์ลวดลายงดงามต่อหน้าอันซิ่วเอ๋อร์ กล่าวว่า "ดูให้ดี"
"หืม?" อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองอย่างรอคอย
จางเจิ้นอันยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก ทำสัญญาณให้เงียบ แล้วจึงนิ่งรอให้ปลาว่ายเข้ามา เมื่อมีหญ้าเป็เหยื่อล่อ ไม่นานนักก็มีปลาตัวหนึ่งว่ายเอื่อยๆ เข้ามาใกล้เรือของพวกเขา
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยเตือนจางเจิ้นอัน พลันชั่วอึดใจนั้นเอง จางเจิ้นอันก็พุ่งฉมวกลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำกระจายเป็วงกว้าง อันซิ่วเอ๋อร์มองไม่เห็นสถานการณ์ใต้น้ำ นางมองจางเจิ้นอันอย่างใคร่รู้ จางเจิ้นอันยิ้มให้นาง แล้วยกมือขึ้น ปลาตัวหนึ่งก็ถูกเขาแทงขึ้นมา
"ท่านพี่เก่งจริงๆ!"
อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นดีใจ จางเจิ้นอันแทงฉมวกเข้ากลางลำตัวปลาพอดี แต่มันยังไม่ตาย กำลังดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้นเรือ การดิ้นของมันยิ่งทำให้เืไหลเร็วขึ้น อันซิ่วเอ๋อร์รีบหยิบอ่างที่เตรียมไว้แต่แรกมา แล้วเก็บปลานี้ใส่ลงไป
