“ฉีเฉียวอา ข้าว่าแล้วเชียวว่าเ้าเป็คนมีวาสนา ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าเ้ามีชีวิตที่ดี เพราะครอบครัวของพวกเราพบเจอภัยแล้ง พวกเราจึงได้บากหน้ามาขออาศัยเ้า เฮ้อ ตอนเด็กๆ พวกเรามองว่าเ้าเป็คนโชคดีมีวาสนา พวกคนปากเสียพากันเอาแต่พูดว่าเ้าเป็คนดวงซวย ถุยๆๆ ยามนี้มีความจริงเป็เครื่องพิสูจน์แล้วว่าฉีเฉียวของพวกเราเป็คนมีโชค”
นางใช้วาจาเอ่ยชื่นชมจนซูฉีเฉียวทำได้เพียงหัวเราะเสียงแห้ง นางรู้ดีว่าคนที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพราะทำดีหวังผลกันทั้งนั้น เวลานี้ที่น้าสะใภ้เล็กเอ่ยด้วยความเอาใจใส่ และมองมาที่นางพร้อมกับแสดงความรู้สึกออกมาจากเรียวคิ้ว สายตาก็คอยกวาดมองบนตัวนางและกวาดสายตาไปทั่วบ้านของนาง ดูเหมือนว่าน้าสะใภ้คนนี้…คงไม่ค่อยน่าคบหาสักเท่าไร
ในตอนที่จัดหาที่พักให้อยู่นั้น ซูฉีเฉียวก็ลองนับจำนวนคนที่มาจากบ้านของมารดา ทั้งหมดราวๆ ยี่สิบห้าคน แม้จะมีคนเพิ่มมามากถึงยี่สิบห้าคน ทว่ายามนี้ถึงนางจะสามารถดูแลเื่อาหารการกินให้กับคนเหล่านี้ได้ แต่เื่ที่อยู่อาศัยนั้นเกินกำลังของนางมาก
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือผู้คนมากมายเช่นนี้ ั้แ่เดินทางมาถึงที่นี่เมื่อเห็นว่ามีอาหารกิน มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ก็แสดงออกว่าอยากอยู่ที่นี่ไม่อยากกลับไป
หนึ่งวัน สองวัน นางยังพอรับไหว แต่หากผ่านไปนานกว่านี้เล่าจะทำอย่างไร
ในขณะที่นางเป็กังวลอยู่นั้น นางเฉินก็มาหานาง
“นานนานอา แม่รู้ว่าการที่พวกเราบากหน้ามาขออาศัยเ้าคงทำให้ลำบากไม่น้อย ตอนที่แม่กับน้องชายของเ้าบอกว่าจะมาที่นี่ น้าชายของเ้าก็อยู่ด้วยพอดี จากนั้นก็อ้อนวอนว่าหากให้อยู่ที่บ้าน สู้มาเยี่ยมเ้าที่นี่ดีกว่าว่าเป็อย่างไรบ้าง พวกเราก็ชั่งน้ำหนักกันดีแล้วว่าหลังจากมาเยี่ยมเ้าที่นี่ เหล่าบุรุษก็สามารถขึ้นเขาไปล่าสัตว์ได้ ส่วนสตรีอย่างพวกเราก็จะบุกเบิกที่ดินและปลูกพืชผัก ร่วมมือกันจัดการกับ่เวลาที่ยากลำบากนี้ เฮ้อ ตอนนี้ที่บ้านของพวกเราไม่มีที่นาทำกิน ก่อนหน้าที่จะพบเจอกับภัยแล้ง ที่ดินทั้งหมดก็ถูกซื้อไปในราคาถูก…ซึ่งก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เป็ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น พวกเราจะไล่ใครไปก็ไม่ได้”
คำพูดของผู้เป็มารดาทำให้ซูฉีเฉียวที่ฟังอยู่นั้นรู้สึกหดหู่ใจเป็อย่างมาก นางขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ พวกท่านมาที่นี่ ข้ายินดีต้อนรับ แต่ว่าท่านน้าทั้งสามคนต่างก็พาลูกๆ และภรรยามาด้วย คนจำนวนมากเช่นนี้ ข้าดูแลไม่ไหว แล้วก็ท่านยายอีก สุขภาพของนางก็ต้องดูแลวันต่อวัน ปัญหาเื่ที่อยู่อาศัยและอาหารการกินของพวกท่านจะต้องได้รับการแก้ไข เฮ้อ อย่างไรก็มาแล้ว อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ่สองสามวันนี้ข้าจะช่วยจัดการให้กับพวกท่านและช่วยหาทางออก อย่างมากสุดก็อาจจะต้องบุกเบิกที่ดินรกร้างอีกสองสามหมู่เพื่อปลูกอ้อยเพิ่ม”
ฤดูนี้ยังสามารถปลูกอ้อยได้อีก เื่นี้ซูฉีเฉียวเคยครุ่นคิดอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว จู่ๆ มีผู้คนเพิ่มเข้ามามากมายเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาตจากนางเฉินแล้ว นางก็เตรียมตัวที่จะเรียกญาติพี่น้องที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากแดนไกลเพื่อบอกกับพวกเขาว่า จะต้องทำการบุกเบิกที่ดินในการเพาะปลูกมากขึ้นและเื่ที่พวกเขาจะต้องสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยกันเอง นางไม่สามารถจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเขาได้
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะเดินไปถึง ก็ได้ยินเสียงด่าทอที่เอ่ยออกมาด้วยคำพูดเจ็บแสบ
“นังเด็กคนนี้ ข้าให้เ้าไปยกน้ำมา เ้ายังจะมาชักสีหน้าใส่ข้าอีกหรือ ข้าเป็น้าสะใภ้ของแม่เ้านะ เ้าเป็ผู้น้อย ยังกล้ามาชักสีหน้าใส่ข้าอีก นี่เ้าน่ะรุ่นราวคราวไหนกัน ถุย นังลูกหมา ข้าจะหยิกเ้าให้ตายเสีย”
“ฮือ หญิงใจร้ายอย่างเ้าไม่ใช่น้าสะใภ้ของท่านแม่ข้า น้าสะใภ้ไม่มีทางหยิกผู้อื่นแน่ๆ หากท่านลงมือกับข้าอีก ข้าจะฟ้องท่านแม่”
“แหมๆ กล้าไปฟ้องอย่างนั้นหรือ ถุยๆๆ…นังเด็กนี่ ข้าจะบอกอะไรเ้านะ ต่อให้เ้าเรียกซูฉีเฉียวมา นางก็ต้องเคารพข้า อย่างไรนางก็เป็รุ่นลูกรุ่นหลานข้า หึ การให้ความเคารพผู้าุโถือเป็เื่สำคัญ”
จากนั้นก็มีเสียงร้องดังขึ้นมาอีก เสียงร่ำไห้นั้นคือเสียงของต้านิว และเสียงที่กำลังด่าทออย่างเจ็บแสบนั้นก็คือเสียงของน้าสะใภ้เล็กของนางนั่นเอง
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงคนนี้จะใจร้ายใจดำถึงขั้นที่นำต้านิวมาเป็สาวใช้ของตนเองเช่นนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ซูฉีเฉียวรีบเข้าไปขวางฝ่ามือที่กำลังจะฟาดลงบนร่างกายของต้านิว
เมื่อต้านิวเห็นซูฉีเฉียวเข้ามาก็รีบโผเข้าหาอ้อมกอดของนางด้วยความเสียใจ เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุสี่ขวบ ต่อให้ได้รับการกระทำที่ทำให้เสียใจก็คงไม่รู้ว่าควรจะต่อต้านอย่างไร ต้านิวอาจจะอายุน้อย อาจจะไม่รู้ความ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เข้าใจเื่นี้
เมื่อนางถูเห็นซูฉีเฉียวเข้ามาก็รู้สึกประหม่า ทว่านางขึ้นชื่อเื่หน้าหนาอยู่แล้ว ทำให้นางหัวเราะออกมาทันที
“ไอ้หยา นี่ข้ากำลังเล่นกับต้านิวอยู่เชียว ซูฉีเฉียว เ้าไม่ต้องคิดเป็จริงเป็จังนักหรอก” นางเอ่ยก่อนจะคุกเข่าลงไปโบกมือให้กับต้านิว “ต้านิวเด็กดี มา เดี๋ยวข้าจะพาเ้าไปเดินเล่นข้างนอก”
ต้านิวไม่ยอมเดินไปหานาง แต่กอดซูฉีเฉียวเอาไว้แน่น ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยยังคงสั่นไหว ท่าทีเช่นนี้ของเ้าตัวน้อยทำให้ซูฉีเฉียวเ็ปใจ นางตบหลังของต้านิวเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองนางถูด้วยสายตาเ็า “ขอโทษลูกสาวข้า”
นางมองแขนของต้านิว บนแขนเล็กๆ มีรอยเขียวช้ำอยู่ หญิงคนนี้ใจร้ายกับเด็กได้อย่างไรกัน นางถูคาดไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้ตกตะลึงเป็อย่างมาก นางจึงพ่นน้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าเดิมออกมา
“แหมๆ แม่หนูฉี เ้าหมายความว่าอย่างไรกันหรือ ข้าเล่นกับเด็ก แต่เ้ากลับให้ข้าขอโทษนางอย่างนั้นหรือ เ้าเคยเห็นผู้ใหญ่กับเด็กที่พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำแล้วต้องเอ่ยปากขอโทษกันหรือไม่ แม่หนูฉี อย่าคิดว่าการที่พวกเราบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเ้าแล้วเ้าจะสามารถทำอะไรกับพวกเราก็ได้ ข้าจะบอกอะไรเ้า ที่พวกเรามาเพราะพวกเราให้ความสำคัญกับเ้า หากไม่ใช่เพราะน้าชายของเ้ายืนกรานที่จะมาที่นี่ ข้าก็คงไม่มาแน่นอน คนอย่างเ้านี่มันอย่างไรกัน อยู่บ้านเป็หญิงดวงซวย คงเป็เพราะดวงเ้าแข็ง ดังนั้นพวกเราจึงได้รับเคราะห์ ถุย มิน่าเล่าแม่สามีของเ้าจึงได้ด่าทอว่าเ้ามันดวงซวย ข้าว่านะ นางกล่าวเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เพราะเ้ามันเป็…”
นางถูยัง้าที่จะเอ่ยปากด่าทอนางต่อไป ซูฉีเฉียวก็หยิบไม้ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาทักทายบนใบหน้าของนาง
“โอ๊ยๆ…์โปรด ช่วยด้วย นังฉีตีผู้อื่น นังฉีตีน้าสะใภ้ของตนเอง…มาดูกันเร็ว มาพิพากษาความผิดของนาง หญิงผู้นี้เหตุใดถึงได้โหดร้ายยิ่งนัก กล้าตีข้า…”
นางถูเป็คนที่ชอบก่อปัญหาเป็ปกติอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะถูกซูฉีเฉียวตี แต่ก็ยังคงปล่อยความปากร้ายออกมาได้อยู่ดี ซูฉีเฉียวไม่ได้ออกแรงตีเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหญิงตรงหน้าก่อความวุ่นวายขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง นางก็โมโหจนตั้งใจจะตีอีกรอบ
ในตอนที่ซูฉีเฉียวกำลังจะยกไม้ขึ้นมาตีอีกรอบหนึ่งนั้น นางก็เลือกตีเข้าไปบริเวณที่มีเนื้อค่อนข้างเยอะของนางถู นางจะตีใครก็ตั้งใจที่จะไม่ตีลงไปบริเวณกระดูกและเลือกตรงจุดที่มีเนื้อเยอะสักหน่อย ตรงจุดเ่าั้ตีลงไปแล้วอาจได้รับความเ็ป แต่จะไม่ได้เจ็บเข้าไปถึงกระดูก เมื่อถึงเวลานั้นนางก็สามารถโต้ตอบกลับไปได้ว่าแค่เพียงล้อกันเล่นเท่านั้นเอง
……
เมื่อเห็นซูฉีเฉียวตีลงมาอีก นางถูก็รีบวิ่งหนีไปทั่วด้วยความใ
“เ้าด่าอีกสิ ด่าอีก ถุย เป็บรรพบุรุษแต่ทำตัวไม่น่านับถือ อายุมาก้าให้คนอื่นเคารพ มา เดี๋ยวข้าจะสอนเ้าเองว่าคนเป็ผู้ใหญ่ควรทำตัวอย่างไร สิ่งที่ข้ารังเกียจที่สุดคือผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย เ้าควรจะมีเหตุผล ควรทำตัวให้สมกับเป็ผู้ใหญ่ ข้าจึงจะเคารพเ้า หากเ้าไม่ตัวเช่นนี้ หากมาหาเื่ข้าอีก…ข้าจะตีเ้า เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนเ้าเอง”
ยามที่นางเฉินมาเห็นพร้อมกับพี่น้องของตนเอง ก็เห็นว่าซูฉีเฉียวกำลังถือไม้ไล่ตีนางถูที่วิ่งไปรอบลานเรือน
สีหน้าของสามพี่น้องซูไม่สู้ดีเท่าไรนัก
ส่วนนางเฉินหลังจากที่ใ นางก็รีบเข้าไปะโบอกให้ซูฉีเฉียวหยุด
“ฉีเฉียว นี่มันอะไรกัน ไม่ว่าอย่างไรนางถูก็เป็น้าสะใภ้ของเ้านะ เ้ามาไล่ตีนางเช่นนี้ได้อย่างไร นางทำผิดอะไร” นางเฉินก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ยามปกตินางก็รู้ดีว่าน้องสะใภ้คนนี้เป็คนทำตัวไร้คุณธรรมมากเพียงใด
และนางก็รู้ว่าบุตรสาวของตนเองเป็คนอย่างไร แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น นางก็จำเป็จะต้องว่ากล่าวกันสักหน่อย ซูฉีเฉียวดึงต้านิวมาก่อนจะเปิดเสื้อผ้าของแม่หนูตัวน้อยขึ้น “ท่านอา ท่านแม่ พวกท่านดูนะ พวกท่านดู ต้านิวอายุเพียงเท่าใดเอง แต่หญิงนางนี้กลับโหดร้ายกับนางเพราะนางไม่อยากทำสิ่งที่นางถูสั่ง แต่ก็ยังบังคับให้ต้านิวยกน้ำไปให้ ต้านิวบ่นคำสองคำ นางก็หยิกจะเป็จะตาย ข้าพูดแค่เล็กน้อย นางก็ด่าทอข้า”
เมื่อนางถูเห็นว่ามีคนมาก็รีบะโออกมาเสียงดัง
“พูดจามั่วซั่ว ข้าก็แค่ให้ต้านิวช่วยเล็กน้อย นางไม่ยินยอม ข้าก็แค่หัวเราะและหยอกล้อกับนาง แต่เ้าก็เข้ามาด่าข้า ข้าตอบกลับไม่กี่ประโยค เ้าก็เอาแต่บอกว่าข้าทำไม่ถูก ยังบอกอีกว่าพวกเราที่บากหน้ามาหาเ้าต้องทำตามที่เ้าสั่ง อีกทั้งเ้ายังมาด่านางเฉินอีกว่าพาคนในครอบครัวครัวมากินมาอาศัยในที่ของเ้า…เ้ามันเด็กไม่เคารพผู้ใหญ่ เฉินซาน เ้าสั่งสอนนังเด็กคนนี้ให้ข้าที ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเ้า”
ซูฉีเฉียวส่งเสียงหัวเราะออกมา นี่คือการที่นางตัดสินใจผิดในการเก็บคนเอาไว้สินะ นางเฉินมองไปยังคนทั้งคู่ก่อนจะมองไปยังต้านิว นางเชื่อมั่นในตัวบุตรสาวของตนเอง แต่ว่านางถูจะน่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ และเวลานี้คนในตระกูลซูและตระกูลเฉินต่างก็พากันเข้ามา ทุกคนมองไปยังคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดีใจที่คนอื่นพบเจอปัญหาและได้ดูเื่สนุกๆ และบ้างก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง
เมื่อมองใบหน้าของญาติพี่น้องในเวลานี้ สีหน้าที่แสดงออกมานั้นทำให้นางเฉินรู้สึกไม่สู้ดีนัก ทั้งๆ ที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากบุตรสาวของนางแท้ๆ แต่ตอนนี้คนเหล่านี้กลับยืนมองเฉยๆ เหมือนตาลุงแก่ๆ
“โธ่ แม่หนู เ้าทำเช่นนี้ก็เกินไปสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็ผู้หลักผู้ใหญ่ของเ้า สองสามวันที่เดินทางมาถึงที่นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเ้ามีของกินอร่อยๆ แต่ก็ไม่เอาออกมาให้กิน ตอนนี้ยังจะมาตีภรรยาของน้าสามของเ้าอีก แบบนี้มันเกินไปแล้ว” คำพูดนั้นออกมาจากปากของภรรยาของน้าสอง
เมื่อคืนวานนางจะมาหาซูฉีเฉียว และเห็นต้าซวงกับเสี่ยวซวงกำลังกินไข่ตุ๋นอยู่ ตอนนั้นนางก็พูดว่าเด็กๆ กินเก่งนัก แต่ยามนี้กลับนำเื่นี้ขึ้นมาพูด
ซูฉีเฉียวเผยรอยยิ้มเยาะ และมองไปยังภรรยาของน้าสองด้วยความเ็า “น้าสะใภ้รองใช่หรือไม่ หากข้าจำไม่ผิด อาหารมื้อเย็นของวานนี้ ข้าก็แค่นำไข่ไก่มาทำอาหาร เด็กทั้งสองคนกำลังโต กินไข่ตุ๋นเล็กๆ น้อยๆ มันลำบากใจจนทำให้น้าสะใภ้รองจนจำได้แม่นเลยหรือ โวยวายเช่นนี้ก็เพราะน้าสะใภ้รองคิดเื่อาหารการกินของเด็กๆ จนต้องจดจำใส่ใจขนาดนี้เชียวหรือ นี่ข้าละเลยไปหรือ ดูท่าทางข้าคงเป็ลูกหลานที่ไม่เคารพผู้าุโ ทุกคนมีอะไรจะพูด ก็พูดออกมาให้ชัดเจนตอนนี้เลย ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดมั่วซั่วอะไรหลังจากนี้อีก”
คนพวกนี้มองนางเป็ญาติจริงๆ หรือ ญาติพวกนี้ก็คงเกี่ยวพันกันแค่เครือญาติเท่านั้นสินะ ไม่มีใครที่เป็ผู้ให้กำเนิดทางสายเื ในใจของซูฉีเฉียวเกิดความคิดขึ้น นางอยากจะดูว่าคนจากครอบครัวมารดาจะโวยวายอะไรกันขึ้นมาอีก
และในเวลานี้บุรุษแห่งตระกูลเฉินซึ่งโดดเด่นที่สุด เขาชำเลืองมองผู้คนในที่เกิดเหตุ สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ซูฉีเฉียว ก่อนจะยิ้มร่าและเกลี้ยกล่อมนาง
“ไอ้หยา ล้วนเป็คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เสี่ยวฉีก็เป็หลานของพวกเรานะ แม้จะขัดแย้งกันแต่ก็ยากที่จะตัดสัมพันธ์ในครอบครัวได้ พวกเขาจะต่อว่าเสี่ยวฉีได้อย่างไร หากครอบครัวของเสี่ยวฉีมีของกินดีๆ ของใช้ดีๆ เสื้อผ้าดีๆ อย่างไรก็ต้องนึกถึงพวกเ้าอยู่แล้ว พวกเ้านี่นะ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจลูกหลานบ้างเลย”