ทั้งสี่คนมาหาซูฉีเฉียวอีกครั้ง เมื่อได้รับคำยืนยันซ้ำอีกครั้งแล้ว อาสะใภ้เจิ้งเองก็แทบวิงเวียนศีรษะเมื่อรับรู้ว่าจะได้รับเงินมากมายตามนั้นในอนาคต…
“นี่สามี เ้าว่าเดือนนี้จะได้เงินเท่าไรกัน หนึ่งวันอย่างน้อยสุดก็จะได้เงินหกสิบเหรียญทองแดง หนึ่งเดือน สามสิบวัน สิบวันหกร้อยเหรียญทองแดง สามสิบวันจะได้หนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองแดง ซึ่งก็เท่ากับว่าหนึ่งเดือน อย่างน้อยก็ต้องได้เกือบๆ สองตำลึงเงิน…”
หลังจากที่คำนวณออกมาอย่างชัดเจนแล้ว สองสามีภรรยาก็ตกตะลึง
“สอง…สองตำลึงเงินหรือ…เทพเซียนบน์ พวกเราล่าสัตว์หนึ่งปีก็ได้สามถึงสี่ตำลึงเงิน นี่ภรรยา ยามนี้ดีจริงเชียว เ้าทำงานนี้หนึ่งเดือนสองเดือน บางทีแค่เดือนเดียวเ้าก็สามารถหาเงินได้เท่ากับรายได้ของพวกเราทั้งปี เช่นนี้…เช่นนี้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงอันตรายก็สามารถหารายได้แบบนี้ได้ด้วย”
หลังจากที่เหล่าเจิ้งครุ่นคิดเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ พูดออกมาเป็คำพูดไม่ได้
ในบ้านหลงเหลือเอาไว้เพียงเสียงหายใจ สองสามีภรรยาเจิ้งถูกความร่ำรวยในอนาคตทำให้ตกตะลึงไปแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งเหล่าเจิ้งก็ได้เอ่ยเตือนผู้เป็ภรรยา
“ข้าว่าเื่นี้พวกเราต้องตั้งใจทำงานให้กับเขา ภรรยาครอบครัวจางให้ความสำคัญกับเ้าและหญิงสาวพวกนั้น หากทำงานไม่ดีหรือเอาความลับไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ เื่นี้ข้าก็ช่วยเ้าไม่ได้”
นางเจิ้งสงบจิตสงบใจลง เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็สามีนางก็โกรธขึ้นมาทันที
“นี่สามี เ้าดูถูกคนอื่นหรือ ข้าคนนี้ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็รักษาคำพูดอยู่แล้ว เื่แบบนี้ อะไรสำคัญไม่สำคัญข้ารู้ดี ไอ้หยา เ้าว่าภรรยาของครอบครัวจาง เมื่อก่อนนางเป็คนไม่ค่อยพูดค่อยจาแล้วก็ชอบสร้างเื่ ตอนนั้นก็ทำให้เฉาิต้องทรมานอยู่ไม่น้อย และยามนั้นพวกเราทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเฉาิหาภรรยาได้แย่ยิ่งนัก แต่ตอนนี้ความคิดมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เ้าว่าเหตุใดภรรยาของครอบครัวจางถึงได้คล่องแคล่วขนาดนี้นะ แค่ชั่ววูบเดียวก็มีความคิดใหม่ๆ ประเดี๋ยวเดียวก็คิดกิจการขนาดใหญ่นี้ออกมาได้ เฮ้อ ทำงานกับนายจ้างเช่นนี้ หลังจากนี้พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน รวมไปถึงต้าหล่างของครอบครัวเรา ตอนนี้ก็อายุยี่สิบปีแล้ว หากไม่รีบหาเงินเอาไว้ ต่อไปนี้หากไปสู่ขอภรรยาจะเกิดปัญหาเอานะ”
สองสามีภรรยาครุ่นคิดถึงอนาคต ซึ่งในตอนนั้นก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย และสองสามีภรรยาของครอบครัวล่าสัตว์อีกสามครอบครัวก็กำลังรู้สึกเหมือนพวกเขาเช่นกัน ตื่นเต้นกันอยู่นานกว่าจะสงบจิตสงบใจลง
และหลังจากวันนั้น พวกนางทั้งสี่ชีวิตก็เข้ามารับหน้าที่ในการกลั่นน้ำตาล
และจากวิธีการเดียวกัน ซูฉีเฉียวก็ได้ทำการจ้างภรรยาของผู้ลี้ภัยแล้งมาอีกสองสามคน ให้พวกเขาปลูกพืชผักนอกฤดูกาลตามวิธีการของตนเอง ่ฤดูหนาวก็ทำการปลูกพืชง่ายๆ อย่างต้นอ่อนถั่วลันเตา หรือทำการสร้างโรงเรือนขึ้นมาเพื่อทำการเพาะปลูกผักจำพวกพริก
ส่วนในฤดูร้อนก็ปลูกพืชที่สามารถหาได้แค่ใน่ฤดูหนาวเท่านั้น
ชีวิตแต่ละวันก็ผ่านไปด้วยความยุ่งวุ่นวายเช่นนี้
และก็เดินทางเข้ามาสู่่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ซูฉีเฉียวเดินมาถึงทุ่งนา เมื่อนางเห็นที่ดินที่ได้ทำการบุกเบิกอยู่เบื้องหน้าจึงยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ อีกไม่กี่วันก็จะถึงการไถนาพรวนดินเพื่อเตรียมการเพาะปลูก ที่ดินผืนนี้คือความหวังของนางและจะกลายเป็ที่ดินสำหรับผลิตวัตถุดิบในการทำน้ำตาลของนางด้วย
เพราะรายได้ที่ได้รับจากการผลิตน้ำตาลก่อนหน้านี้ รวมไปถึงรายได้จากการปลูกผักนอกฤดูกาล ทำให้ตอนนี้ซูฉีเฉียวไดู้เามาอยู่ในมือของนางอีกหนึ่งลูก ูเาที่อยู่ติดกันสี่ลูกถูกบุกเบิกไปแล้วสามลูก ูเาที่รกร้างอีกหนึ่งลูกได้ถูกนางล้อมเอาไว้เพื่อเตรียมเลี้ยงสัตว์จำพวกเป็ดและไก่
“ภรรยา เหลืออีกสามวันพวกเราก็จะต้องเตรียมตัวปลูกอ้อยแล้ว เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูกพืชพวกเราก็ซื้อมาแล้วเรียบร้อย”
“อืม การปลูกอ้อยในครั้งนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ ยามเริ่มแรกที่ทำการปลูกอาจจะต้องใช้แรงสักหน่อยในการขับไล่พวกหนูป่า ให้พวกคนงานพยายามกันมากหน่อย ตอนที่อ้อยเติบโตดูแลให้ดีก็พอแล้ว การปลูกอ้อยนี้เป็งานที่ดีมาก ขอเพียงแค่ได้รับการดูแลและใส่ปุ๋ยสองครั้งก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ข้าคอยกำชับหรอก ตอนนี้พวกคนงานต่างก็เต็มใจที่จะทำการดูแลต้นอ้อยเ่าั้ พวกเขารู้ว่าหากเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี ตนเองจึงจะมีรายได้ ฮ่าๆ การเก็บเกี่ยวสอดคล้องกับการกอบโกยอาหารของพวกเขา ทำให้พวกเขากระตือรือร้นมากขึ้น”
เมื่อเห็นท่าทีที่แตกต่างไปจากเดิมของจางเฉาิ ซูฉีเฉียวก็ฉีกยิ้มกว้าง
ผู้มีความเป็ชายนี่นะ เมื่อมีอาชีพ เขาก็ดูเปลี่ยนแปลงไป
ชีวิตก็เป็เช่นนี้แล เมื่อมีลู่ทางชีวิตก็เฟื่องฟูขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ต้านิวก็ได้พาเ้าตัวน้อยสองคนที่เดินได้แล้วมาจับลูกไก่เล่นกัน น่าสงสารเ้าแม่ไก่ที่ถูกพวกนางไล่จนวิ่งไปทั่วลาน
“กุ๊กๆๆ…จับ กุ๊กๆ…กินไข่…” ปากของเสี่ยวซวงเอ่ยคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถสื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจน
“เสี่ยวซวง ระวังหน่อย อยากกินไข่หรือ คืนนี้เดี๋ยวแม่ทำไข่ตุ๋นให้เ้าดีหรือไม่” เมื่อเห็นเสี่ยวซวงจะล้ม ซูฉีเฉียวก็รีบวิ่งไปอุ้มเ้าตัวน้อยเอาไว้
เมื่อไม่อาจคว้าสิ่งนั้นมาได้ ในมือของเ้าตัวน้อยคว้าได้แต่โคลน ใบหน้าก็เปรอะเปื้อน แต่หลังจากเห็นนางก็ยังเอาใบหน้ามาถูไถผู้เป็มารดา “ดียิ่ง ดียิ่ง คืนนี้กินไข่ไก่กุ๊กๆ…” นางจูบลงมาบนใบหน้าของผู้เป็แม่ ใบหน้าของซูฉีเฉียวในตอนนี้ถูกเ้าแมวน้อยตัวลายทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนหมดแล้ว
“เ้าแมวตัวน้อย ไปเร็ว ไปเล่นกับพี่สาวเร็วเข้า” นางวางเสี่ยวซวงลง เมื่อเห็นต้านิวมองมาที่ตนเองอย่างใจจดใจจ่อ นางรีบยื่นมือออกไปและโอบกอดต้านิวและต้าซวงมาไว้ในอ้อมกอด จูบลงบนใบหน้าของทั้งคู่เช่นกัน
“แม่รักทุกคนเช่นกัน ดูสิ จูบก็จูบเหมือนกัน ต้านิวเย็นนี้ก็มาช่วยกันทำไข่ตุ๋นด้วยนะ”
เมื่อถูกผู้เป็แม่จูบ ต้านิวก็ยิ้มจนตาเป็พระจันทร์เสี้ยว ใบหน้าแดงจนแก้มสองข้างมีลักยิ้มปรากฏขึ้น “เ้าค่ะ ต้านิวก็ชอบให้ท่านแม่จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ…”
ต้านิวจูบลงบนใบหน้าของซูฉีเฉียวเหมือนกับที่เสี่ยวซวงทำก่อนหน้านี้ ต้าซวงคนนี้จะยอมได้อย่างไร เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปร่วมวงทันที “ท่านแม่ ต้าซวงก็ชอบจุ๊บๆ ข้าจุ๊บด้วย จุ๊บด้วย…”
“ฮ่าๆ…น้องสาว ลูกสาวสามคนของเ้ากำลังแย่งความรักจากเ้ากันแล้ว ไอ้หยา ข้าอิจฉาเ้าจริงๆ เด็กสาวสามคนนี้ช่างดูมีความสุขยิ่งนัก”
เวลานี้เองอาสะใภ้เจิ้งถือเนื้อไก่เข้ามาพอดี
“นี่ท่านอาสะใภ้ ท่านกินเองก็พอแล้ว เหตุใดต้องเกรงใจกันขนาดนี้”
“ไม่หรอกๆ ข้าไม่ได้เอามาให้เ้ากิน ข้าเอามาให้เ้าตัวน้อยที่น่ารักทั้งสามคนต่างหาก ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ก็ทำให้สามีข้าได้กินจนอิ่มหนำ ส่วนไก่นี้ก็เป็เขานั่นแหละที่ให้ข้าเอามาแบ่งให้ น้องสาว เ้าอย่ากล่าวคำพูดที่ดูเป็คนนอกกับข้าเช่นนี้สิ”
ซูฉีเฉียวยิ้ม นางหมุนตัวไปรับชามเพื่อเทอาหารออกและนำถ้วยที่ล้างสะอาดแล้วไปคืนให้กับนางเจิ้ง ก่อนกลับนางเจิ้งก็ได้เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “อ้อ ใช่แล้ว วันนี้ตอนที่ข้าไปตลาด เหมือนจะได้ยินมาว่าทางใต้พบเจอภัยแล้ง น้องสาว บ้านของแม่เ้าไม่ใช่ว่าอยู่ทางใต้หรือ หากเป็เช่นนั้นจริงๆ แม่ของเ้าก็คงจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่แล้ว”
จากสิ่งที่อาสะใภ้เจิ้งเอ่ยออกมา ซูฉีเฉียวถึงได้นึกออกมาว่าตนเองยังมีครอบครัวของมารดาอยู่อีก
ตอนที่นางเพิ่งตื่นและได้สติขึ้นมา แม่ของนางได้ถูกแม่สามีจิตใจโเี้บังคับให้ก้มลงเลียเสมหะของนางบนพื้น แม้ว่าผลสุดท้ายแล้วจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น แต่เมื่อคิดถึงเื่นี้แล้วก็รู้สึกรำคาญใจ ทว่าจากเื่นี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าแม่ของนางก็ปฏิบัติต่อนางไม่เลวเลย ในฐานะคนคนหนึ่งที่เป็แม่ แม้ว่าจะเป็เื่น่าอายแต่นางก็ทำเพื่อบุตรสาวของตนเอง
“อืม ข้าทราบแล้ว อาสะใภ้เจิ้ง พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านท่านแม่”
**
คนที่บ้านมารดาล้วนเป็คนแปลกหน้า แต่ในตอนที่เอ่ยถึงพวกเขา ร่างกายนี้ก็แสดงถึงความรู้สึกที่เป็กังวลออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกของซูฉีเฉียวในตอนนี้ แต่เป็ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างเก่า
เครือญาติ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นการเดินทางไปบ้านของมารดาในครั้งนี้ นางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
ในคืนวันนั้น ซูฉีเฉียวได้นำเื่ที่จะกลับบ้านไปหารือกับจางเฉาิ อย่างไรเขาก็เป็สามี เื่นี้ต้องหารือกันถึงจะถูกต้องที่สุด
“ก็จำเป็จะต้องไปดูครอบครัวสักหน่อย ภรรยา เ้าไม่ต้องห่วงเื่ที่บ้านหรอก หากไม่ใช่เพราะเรากำลังจะเริ่มการเพาะปลูกแล้วข้าก็อยากจะเดินทางกลับไปบ้านท่านแม่กับเ้า กลับไปเ้าก็พาลูกๆ ไปด้วย หากประสบปัญหาภัยแล้ง เ้าก็รับครอบครัวของเ้ามาที่นี่”
ครอบครัวของนางหารือกันได้ผลเช่นนั้นและตัดสินใจว่าวันรุ่งขึ้นจะเก็บข้าวของเพื่อกลับบ้านของมารดา เพียงแต่ว่าแผนการที่วางไว้ไม่อาจเปลี่ยนได้ทัน
หลังจากที่ทั้งคู่หารือกันแล้วนอนหลับไปจนถึงกลางดึก สุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ก็เห่าไม่หยุด บนูเาเงียบสงัดลูกนี้ เสียงสุนัขเห่ากลางดึกเป็สิ่งที่ดึงดูดผู้คนมากที่สุด
จางเฉาิถูกทำให้ใตื่นขึ้นมาก่อน เขาสะกิดซูฉีเฉียวเอาไว้ก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบไม้ที่ซ่อนอยู่ตรงมุมห้อง คนที่อาศัยอยู่ในยุคนี้จะคอยมีความระแวดระวังอยู่เสมอ อย่างพวกท่อนไม้เช่นนี้จะถูกเตรียมเอาไว้ใช้ได้ตลอดเวลา
ซูฉีเฉียวเองก็ลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน ด้านนอกของประตูก็มีคนงานที่ถูกจ้างระยะยาวโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
เมื่อลองฟังเสียง ซูฉีเฉียวก็รู้สึกว่าเกิดเสียงบางอย่างดังขึ้นมาในสมองของนาง
“ลูกสาว…น้องฉีของข้า…”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงแม่ของนางหรือ
ในตอนที่เพิ่งได้สติขึ้นมาในชาติภพนี้ ซูฉีเฉียวเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน ประกอบกับความรู้สึกของเ้าของร่างเก่าที่มีต่อผู้เป็มารดาด้วย
เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเรียก ซูฉีเฉียวก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูทันที
“ท่านแม่…”
เมื่อมองเห็นความมืดอยู่ภายนอก ซูฉีเฉียวก็ถึงกับตกตะลึง
นี่...คนเหล่านี้มันอะไรกัน
“นานนาน[1] พวกเรามาเยี่ยมเ้า”
เมื่อนางเฉินเห็นซูฉีเฉียวเดินออกมาก็เอ่ยปากเรียกนาง เื้ัเต็มไปด้วยหญิงสาวหลายคนที่ประคองคนแก่และอุ้มเด็ก
ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีชายหนุ่มรูปร่างผอมโซอีกหลายคน
หัวใจของซูฉีเฉียวเต้นผิดจังหวะ นี่คือคนที่เดินทางมา ‘เยี่ยม’ นางหรือ นางเกรงว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ
แต่ไม่ว่าแม่ของนางจะเดินทางมาอย่างไร แต่ก็ถือว่าลดความวุ่นวายในใจที่นางต้องเดินทางไปหาได้
นางต้อนรับนางเฉินเข้ามาในห้อง หลังจากที่จางเฉาิเอ่ยปากทักทายก็รีบเข้าไปในครัวทันที
อาสะใภ้เจิ้งและคนอื่นๆ รู้สึกใเป็อย่างมาก เมื่อพวกนางเห็นว่าเป็คนจากครอบครัวมารดาของซูฉีเฉียวก็รีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารสักเล็กน้อยมาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสภาพที่ค่อนข้างย่ำแย่ของคนเหล่านี้ ทุกคนช่างดูหิวโหยและอิดโรย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาคงไม่ได้กินอาหารอะไรแน่นอน
“ท่านแม่ ดื่มน้ำสักหน่อย ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันว่าเกิดเื่อะไรขึ้นเ้าคะ”
ซูฉีเฉียวยกน้ำชามา นางเฉินรีบยกดื่มอึกใหญ่ ดูจากท่าทางของนางก็รู้ได้เลยว่านางคงไม่ได้ดื่มน้ำมานานนัก
เมื่อดื่มน้ำจนพอใจแล้ว ซูฉีเฉียวกลับได้ยินเสียงท้องนางเฉินร้องโครกคราก ใบหน้าของนางเฉินแดงก่ำ ทว่าเมื่อเห็นบุตรสาวอันเป็ที่รักของตนเองมีสีหน้าที่สดใส สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ความกังวลที่อยู่ในใจของนางก็คลายลง ก่อนที่นางจะยื่นมือไปดึงหญิงที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาใกล้ๆ
“นานนานอา หญิงคนนี้คือน้าสะใภ้ของเ้า เ้าจำนางได้หรือไม่ แล้วคนผู้นี้ก็คือน้าสะใภ้รอง คนผู้นี้คือน้าสะใภ้เล็กของเ้า”
นางเฉินชี้ไปทางหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของตนเอง ซูฉีเฉียวทำความเคารพทีละคน ก่อนจะใช้สายตามองพิจารณาหญิงทั้งสามคน แม้ว่าทั้งสามคนจะพบเจอปัญหาภัยแล้ง มองออกว่าสีหน้าของพวกนางไม่ค่อยดีเท่าใดนัก แต่ร่างกายก็ยังมีเนื้อมีหนังอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าก่อนพบเจอภัยแล้งทางครอบครัวคงไม่ได้มีชีวิตที่ยากลำบากมากเท่าไร
—----------------------------------------------------------------------
[1] นานนาน หมายถึง บุตรสาว เป็ภาษาถิ่น มักเป็คำที่ใช้เรียกเด็กเล็กๆ ด้วยความรักใคร่และเมตตา