เฝิงิเยว่ไม่อาจบอกความจริงกับแม่สามีได้อย่างชัดเจน ถึงกระนั้น เจิ้งหยวนกลับไม่ได้พะว้าพะวังแม้แต่นิดเดียว เธอเบะปากก่อนเอ่ยว่า “แม่ ต่อให้กลุ่มเย็บปักรับสมัครคนเพิ่ม ก็มาไม่ถึงเจวียนจื่อหรอก”
“ทำไมล่ะ? น้องสาวแกฝึกปรือฝีมือแล้ว ถ้าไม่เลือกน้องแกแล้วเขาจะเลือกใครกัน?” เฉินชุ่ยอวิ๋นยังคงไม่ยอม
ครั้นเจิ้งหยวนได้ยินดังนั้น เธอจึงถามกลับเพื่อให้ผู้เป็มารดาคล้อยตาม “แม่ไม่คิดสักหน่อยเล่าว่ามีคนจ้องกลุ่มเย็บปักตาเป็มันตั้งเท่าไร? ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งแต้ม พวกเรามีพี่สะใภ้อยู่ข้างในคนเดียวคนก็อิจฉาตาร้อนกันเยอะแยะแล้วค่ะ แม่ยังอยากให้เข้าไปอีกคนเหรอ? แถมพี่สะใภ้เองก็ไม่ใช่คนดูแลกลุ่มเย็บปักด้วย หัวหน้าในคอมมูนหลายคนที่บ้านก็คงมีจักรเย็บผ้ากันบ้างแน่ พวกเขาหรือจะไม่อยากให้ลูกตัวเองเข้าบ้างน่ะ? แล้วไหนจะหัวหน้าของพี่สะใภ้อีก เป็ไปได้เหรอว่าจะไม่อยากเอาญาติตัวเองเข้าน่ะ? ในกลุ่มเย็บปักทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครไร้ประโยชน์ ไม่รับสมัครจะดีที่สุด หรือต่อให้รับ ก็มาไม่ถึงเราอยู่ดีค่ะ”
ไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าทุกคนจะยึดหลักความถูกต้องในการทำงานเหมือนคุณพ่อเสียหน่อย คุณพ่อของเธอเป็คนที่ไม่เล่นเส้นและไม่ให้คนอื่นเล่นเช่นกัน หัวหน้าหลายคนหัวหมอ แค่โควตายุวปัญญาชน [1] กลับเข้าเมือง หัวหน้ากองและเสมียนกองก็ฉกฉวยผลประโยชน์กันไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว หัวหน้ากองคนไหนเลยจะอยู่ยากจนข้นแค้นขนาดนี้เหมือนครอบครัวเธอบ้าง? เจิ้งหยวนคาดเดา หากไม่ใช่เพราะกองหยางหลิวได้รับผลผลิตดีจนสามารถส่งเสบียงจำนวนมากทุกปีได้ เจิ้งเฉวียนกังที่ทุ่มเทรับใช้ประชาชนจนครองใจคนบางทีอาจถูกปลดตำแหน่งจากคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเขาไปแล้ว
เจิ้งหยวนชำเลืองมองคุณพ่อเธอจากปลายหางตา “แต่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอกค่ะ หากคุณพ่อยอมส่งของกำนัลหาเส้นสายสักหน่อย บางทีเื่เจิ้งเจวียนอาจจะพอเป็ไปได้”
เจิ้งเฉวียนกังไม่ติดสินบนก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เข้าใจความหมายแฝงนัยคำพูดนี้ ไฉนเลยเขาจะไม่รู้ว่าเจิ้งหยวนกำลังแดกดันเขาอยู่ เด็กคนนี้ยังผูกใจเจ็บเื่อาจารย์โรงเรียนประถมในกอง! เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนเอ่ยขึ้น “เอาละ เื่กลุ่มเย็บปักแกก็เลิกคิดไปเถอะ ถ้าไม่อยากเรียนหนังสือ ก็อยู่บ้านช่วยแม่ทำงาน แม่แกจะได้สบายขึ้น” พูดจบก็ลุกขึ้นตรงกลับเข้าห้องทันที
ครั้นหัวหน้าครอบครัวผละไปแล้ว ประชุมครอบครัวตอนเย็นจึงสิ้นสุดลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับห้อง ทำธุระส่วนตัวแล้วเข้านอนกัน
เจิ้งเจวียนกับเจิ้งหยวนกลับห้องทางฝั่งตะวันออกด้วยกัน พวกเธอจุดตะเกียงน้ำมัน แสงไฟที่วูบไหวทำให้รอบข้างติดสลัว เจิ้งเจวียนเลยพอสังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักของเจิ้งหยวน
เมื่อเผชิญหน้ากับพี่สาวตนตามลำพัง อยู่ๆ เจิ้งเจวียนพลันรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา อย่างไรเสีย เธอก็โอนอ่อนต่อเจิ้งหยวนมานานถึงสิบกว่าปี และตัวเธอก็เชื่อฟังพี่สาวตลอด พอมาคราวนี้ได้ลองเถียงพี่สาวกลับอย่างหาได้ยาก เธอเลยเกิดหวาดหวั่นเสียอย่างนั้น
“พี่——” เจิ้งเจวียนพูดเสียงอ่อน พลางดึงแขนเสื้อพยายามเอาใจเจิ้งหยวน
เจิ้งหยวนจิบน้ำเปล่าเย็นๆ ที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดแล้วถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามตัวเล็กข้างใน
“พี่——” เจิ้งเจวียนยังคงเรียกอีกรอบ
แต่ทว่าเจิ้งหยวนกลับถอดกางเกงออกแล้วนอนลงบนเตียง บนเตียงปูเสื่อเย็นอยู่ เลยยิ่งเย็นสบาย
“พี่——”
“แกไม่นอนเหรอ?” เจิ้งหยวนขัดเธอ
ครั้นพี่สาวตอบกลับ เจิ้งเจวียนจึงพูดตะกุกตะกักอย่างห้ามไม่ได้ “นอนค่ะ นอน” เธอปล่อยมุ้งลงแล้วค่อยถอดเสื้อผ้าตาม ก่อนเดินไปเป่าตะเกียงน้ำมันเพื่อดับไฟ และนอนลงข้างเจิ้งหยวน
เจิ้งเจวียนนอนไม่หลับ เธอเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดาน วันนี้พระจันทร์กลมโต ข้างนอกเลยค่อนข้างสว่าง แต่แม้ห้องพวกเธอจะเปิดหน้าต่างปล่อยให้แสงจันทร์ลอดเข้ามา ข้างในมุ้งก็ยังมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดอยู่ดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจิ้งหยวนก็รู้สึกร้อนขึ้นมา จึงควานหาพัดใบปาล์มมาพัดให้ตนเอง พอเจิ้งเจวียนรู้ว่าพี่สาวยังไม่หลับ ก็อดอ้าปากถามไม่ได้ “พี่ ทำไมต้องให้ฉันไปเรียนด้วย?”
เจิ้งหยวนชะงัก เธอหยุดโบกพัดใบปาล์มครู่หนึ่งและถามกลับ “แล้วเรียนหนังสือไม่ดีเหรอ?”
“เมื่อก่อนไปโรงเรียนก็ดีอยู่หรอก ทุกคนต่างเล่นด้วยกัน เก็บฟืนหลังเลิกเรียนด้วยกัน” เจิ้งเจวียนตัดสินใจตอบตามความจริง
เมื่อเจิ้งเจวียนว่าจบ เจิ้งหยวนจึงถามต่อทันที “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
พอพี่สาวถามเช่นนั้น เจิ้งเจวียนจึงเริ่มอธิบาย “ตอนนี้ฉันไม่อยากไปขนาดนั้นแล้ว พวกเขาลากอาจารย์พวกเราออกไปติดประกาศโจมตี…” เธอเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่งก่อนว่าต่อ “ฉันเลยคิดว่ามัน… ไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะ”
เจิ้งหยวนตกตะลึง เธอคิดว่าเจิ้งเจวียนจะพูดเื่ช่วยครอบครัวทำงาน คาดไม่ถึงว่ายังมีเบื้องลึกเื้ัเช่นนี้อีก น้ำเสียงที่ใช้ในประโยคถัดมาเลยจริงจังขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
เจิ้งเจวียนเลียรีมฝีปากที่แห้งผาก “ฉันก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ใครๆ ก็บอกว่าอาจารย์หวังยึดหลักทุนนิยมศักดินา ฉันไม่ได้ตามไปดู… พี่ ฉันว่าอาจารย์หวังเป็คนดี แถมเขายังวาดรูปเป็ด้วย เขาเคยวาดภาพให้ฉันครั้งหนึ่ง วาดเหมือนมากเลยค่ะ!”
พอผ่านไปสักพัก ถึงค่อยได้ยินเสียงเจิ้งหยวนถอนหายใจ ก่อนว่า “เธอไม่ตามไปดูก็ดีแล้วละ”
ครั้นได้ยินดังนั้น เจิ้งเจวียนจึงอดเป่าปากอย่างโล่งอกไม่ได้ เหมือนได้ขวัญกำลังใจคืนมา ก่อนที่เธอจะเอ่ยอีกครั้ง “ฉันแค่คิดว่าอาจารย์หวังเป็คนดีน่ะ”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดเจิ้งหยวนก็ตัดสินใจถามออกมา “งั้นโรงเรียนพวกเธอก็วุ่นวายอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ? ไม่เข้าเรียนกันหรือไง?” เธอจำได้ว่าในชาติก่อน ่เวลานี้สหายเติ้ง [2] กำลังหวนกลับตำแหน่งเดิมอีกครั้ง โรงเรียนเลยคว้าโอกาสนี้ร่ำเรียนหนังสือกัน ไม่น่าจะปล่อยให้นักเรียนก่อความวุ่นวายสุ่มสี่สุ่มห้า
เป็ดังที่คาดไว้ เจิ้งเจวียนตอบเสียงอ้อมแอ้ม “เข้าเรียนกันนั่นละ… แต่ฉันไม่อยากไปแล้วน่ะพี่”
“แกบอกความจริงฉันมาตามตรงว่าทำไมไม่อยากไป? เป็เพราะเื่ของอาจารย์หวังจริงเหรอ? หรือแกไม่ชอบเรียนหนังสือ เลยไม่อยากเรียนต่อกันแน่?”
เจิ้งเจวียนตอบเสียงไม่เต็มปาก “…ฉันแค่รู้สึกว่าเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์น่ะ”
“มีประโยชน์สิ” เจิ้งหยวนเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชัดถ้อยชัดคำ “มีประโยชน์อยู่แล้ว”
เจิ้งเจวียนเบ้ปากอย่างไม่เห็นด้วย “ตรงไหนกัน? ในอำเภอไม่รับสมัครคนงานแล้ว พี่ดูพวกพวกยุวปัญญาชนตั้งเยอะแยะพวกนั้นสิ พวกเขาเป็นักเรียนมัธยมปลายทั้งนั้น สุดท้ายก็ถูกส่งมาที่กองของพวกเราเป็กลุ่มๆ ต้องมาทำนาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ถ้างั้นเธอไม่อยากไปเรียนมหา’ลัยหรือยังไง?”
“พ่อพวกเราจะแนะนำให้ฉันเข้ามหา’ลัยเหรอ?” เจิ้งเจวียนย้อนถาม
แต่ทว่าเจิ้งหยวนกลับทำเพียงหัวเราะเบาๆ เธอเงียบไปสักพักหนึ่ง เจิ้งเจวียนก็เช่นกัน ในมุ้งเงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“เจวียนจื่อ” เจิ้งหยวนโพล่งขึ้นมา “แกเชื่อพี่ไหม?”
เจิ้งหยวนถามขนาดนี้แล้ว ในฐานะคนตามก้นและลูกคู่ของเจิ้งหยวนมาโดยตลอด เจิ้งเจวียนย่อมตอบว่า “เชื่อค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจิ้งหยวนจึงเอ่ยกำชับ “งั้นแกก็ฟังฉันแล้วไปเรียนหนังสือตามเดิมเสีย มัธยมปลายก็ต้องเข้าเหมือนกัน”
“แต่…”
เธอรู้ว่าเจิ้งเจวียนอยากเอ่ยอะไร เจิ้งหยวนจึงพูดรวบรัดตัดจบ “แกคิดว่าประเทศของพวกเราจะเป็อย่างนี้ไปตลอดเลยงั้นเหรอ?”
“ฮะ?” ทำไมทีนี้พี่สาวเธอถึงเปลี่ยนเื่กะทันหันล่ะ?
“ไม่มีทางหรอก” เจิ้งหยวนกล่าวต่อ “เจวียนจื่อลองคิดดูนะ เมื่อก่อนทำไมคนต่างชาติถึงชอบมาโจมตีประเทศเรา? นั่นเป็เพราะเขามีปืน มีะเิ มีเรือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเราไงละ หากประเทศเราอยากไล่ตามต่างชาติให้ทัน ย่อมต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างแน่นอน แล้วใครจะมาพัฒนาล่ะ ก็ต้องเป็บุคลากรที่มีความสามารถน่ะสิ! แล้วถ้าเป็อย่างนั้น เราจะคัดเลือกบุคลากรกันยังไงล่ะ?”
เจิ้งเจวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “…สอบเข้ามหา’ลัย?”
“ใช่แล้ว คือการสอบเข้ามหา’ลัย ” เจิ้งหยวนตอบ ยามนี้เธอพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ก่อนกล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาดต่อว่า “ฉันคิดว่าประเทศเราต้องฟื้นฟูระบบสอบเข้ามหา’ลัยแน่นอน ฉะนั้น เจวียนจื่อ แกต้องตั้งใจเรียน พอถึง่สอบเข้ามหา’ลัยก็ไปเข้าสอบเสีย หากแกสอบติดมหา’ลัยและได้บรรจุงานในเมืองใหญ่ มันจะเจ๋งแค่ไหนกัน? อาสามของพวกเราสอบติดแค่ ปวส. ยังได้ทำงานที่สถานีตำรวจ มีเงินเดือนหลายสิบหยวนต่อเดือน แถมยังได้กินข้าวที่ต้องซื้อ แกรู้ไหมว่าอาสะใภ้สามอยู่ไฟเมื่อก่อนกินอะไรบ้าง เธอกินข้าวกับแป้งทุกมื้อเลยนะ”
เจิ้งหยวนพูดน้ำไหลไฟดับแล้วตบด้วยข้อดีของการเรียนหนังสือ ซึ่งดึงดูดความสนใจของเด็กสาวอย่างเจิ้งเจวียนได้จริงๆ แต่เจิ้งเจวียนก็เอ่ยว่า “พี่คะ แล้วการสอบเข้ามหา’ลัยจะฟื้นฟูกลับมาเมื่อไรเหรอ?”
เจิ้งหยวนเลียริมฝีปากก่อนตอบ “ฉันคิดว่า่ไม่กี่ปีนี้ละมั้ง”
เจิ้งเจวียนไม่เอ่ยอะไรอีก
ขณะที่เจิ้งหยวนคิดว่าโน้มน้าวน้องสาวตนเองสำเร็จแล้ว เจิ้งเจวียนพลันเอ่ยขึ้นอีกว่า “งั้นฉันรอฟื้นฟูระบบก่อนค่อยไปเรียนก็ได้นี่นา? หลายปีนี้ยังสอบไม่ได้ ฉันอยู่ในโรงเรียนจะไม่เสียเวลาเอาหรอกเหรอ”
“…”
เจิ้งหยวนนิ่งไปเล็กน้อย พลางคิดว่า น้องสาวของฉัน ผลการเรียนอย่างเธอไม่เรียนเพิ่มเติม อีกสองปีจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไร?!
เชิงอรรถ
[1] ยุวปัญญาชน หมายถึง นักเรียนเยาวชนที่เป็คุณหนูคุณชายในเมืองและถูกทางการส่งไปใช้แรงงานในชนบท ทั้งนี้ เพราะเป็นโยบายเร่งการผลิตอาหารให้กับคนในชาติและเพื่อกระจายประชากรไปสู่ชนบทอันห่างไกล และยังเชื่อว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ จึงมียุวปัญญาชนถูกส่งไปปีละหลายล้านคน
[2] สหายเติ้ง หมายถึง นักการเมืองและอดีตผู้นำนักปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ของจีน ในปี 1966 การปฏิวัติวัฒนธรรมจีนปะทุขึ้น เติ้งเสี่ยวผิงประสบมรสุมทางการเมืองจนถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำทางการเมืองทั้งหมด และได้รับคำสั่งให้ไปทำงานในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ในมณฑลเจียงซี แต่มีนาคม ปี 1973 ได้กลับมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้