หากไม่ได้ยินด้วยตนเอง หลิวฉิงเทียนก็ไม่มีทางเชื่อว่าผู้าุโชิวที่น่านับถือแห่งโรงประมูลจะสามารถกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้!
“ข้าให้เวลาเ้าหนึ่งก้านธูป นำคนตระกูลหลิวออกไปจากที่นี่เสีย มิเช่นนั้นเ้าจะมาโทษข้าไม่ได้นะ!” ผู้าุโยิ้มเล็กน้อย เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกับหลิวฉิงเทียน
แม้หลิวฉิงเทียนจะรู้สึกลังเลใจ แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนไปจากความตั้งใจเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่้าที่จะยอมแพ้
“ขอบคุณผู้าุโชิว แต่ข้าและหยวนจุน้าจวนนี้ด้วยกำลังของตนเอง แค่เพียงระดับจันทราขั้นสอง ข้ามิได้นำมาใส่ใจอยู่แล้ว”
เสี่ยวเมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองหลิวฉิงเทียนที่กำลังโมโหจนดวงตาแดงก่ำ
ผู้าุโพยักหน้าแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขายังไม่มีทีท่าว่าจะจากไป
“น่าขันยิ่งนัก ผู้าุโกวนช่างใจใหญ่เสียจริง! หากวันนี้เ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ตระกูลหลิวของข้าจะมอบจวนตระกูลเจียงให้เ้า! แต่ถ้าเ้าเอาชนะข้ามิได้ เช่นนั้นก็อย่าทำให้โรงประมูลต้องอับอายอยู่ที่นี่เลย!”
“เ้ากับแม่นางเซียวไปจัดการบริวารพวกนั้น เสร็จแล้วค่อยมาช่วยข้า ระวังตัวด้วยนะ”
เสี่ยวเมิ่งกล่าวกับหยวนจุนอย่างแ่เบา จากนั้นจึงลงมือเค้นพลังจิตภายในร่างกายให้เปลี่ยนเป็คลื่นพลังอีกครั้ง
การที่เสี่ยวเมิ่งและหลิวฉิงเทียนปล่อยพลังโต้กันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในอากาศเกิดระลอกคลื่นอย่างรุนแรง ราวกับท้องฟ้าทั้งหมดเป็แอ่งน้ำ และบริเวณที่ทั้งสองปะทะกันเหมือนดั่งก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในแอ่งน้ำ
ระลอกคลื่นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อากาศโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เมื่อเห็นว่าผู้าุโชิวอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา หยวนจุนจึงไม่ต้องกังวลว่าเสี่ยวเมิ่งจะถูกหลิวฉิงเทียนสังหาร เขาและเซียวหานสบตากัน ก่อนจะมองไปยังสวีจิ้งและทหารของตระกูลหลิวราวกับเสือโคร่งที่ดุร้าย
นอกจากสวีจิ้งแล้ว นักยุทธ์ทุกคนที่เป็ทหารของตระกูลหลิวก็มิได้มีพลังเหนือกว่าพวกเขาสองคนเลย
หยวนจุนและเซียวหานใช้กระบวนท่าที่หลายหลายเพื่อจัดการกลุ่มคนที่กำลังเข้ามาใกล้
“พวกด้อยค่าที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
เซียวหานหันไปบอกหยวนจุนก่อนที่จะกลับไปจัดการกับทหารตระกูลหลิวอีกเจ็ดแปดคนด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของนาง
“ผ่าง”
หยวนจุนและสวีจิ้งที่ถูกพลังฝ่ามือของอีกฝ่ายปะทะ ต่างกระเด็นออกไปกลางอากาศ
“ปางมือราชสีห์นอก!”
หยวนจุนส่งพลังฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เปลวไฟราชสีห์ปรากฏขึ้นต่อหน้า เสียงคำรามนั้นทำให้สวีจิ้งสติหลุด ส่งผลให้ปราณดาราในร่างกายถูกโจมตีจนกระจัดกระจายออกมา
แม้ปางมือราชสีห์นอกที่หยวนจุนแสดงออกมาจะเป็เพียงเปลวไฟอี้เสอ ซึ่งมิใช่พลังของเพลิงอัคคีกลืน์ เขาก็ไม่ควรประมาทแม้แต่น้อย
เมื่อเปลวไฟความร้อนสูงััร่างกายสวีจิ้ง มันได้แผ่ออกเป็ทะเลเพลิงในทันที ซึ่งส่งผลให้ราชสีห์เพลิงทะลุผ่านหน้าอกของเขาในขณะที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง
“อั่ก”
สวีจิ้งครวญครางในลำคอแล้วเดินอย่างอ่อนแรง เขารีบฉีกเสื้อคลุมที่ไหม้อยู่บนตัวทิ้ง แต่ทว่าหน้าอกได้ถูกปางมือราชสีห์นอกแผดเผาจนเป็รอยไหม้ขนาดเท่าฝ่ามือไปเสียแล้ว
สวีจิ้งเหลือบมองผิวสีเข้มบนหน้าอกด้วยความใ เคราะห์ดีที่เขายังรอดมาได้ หากมิใช่เพราะเขาบ่มเพาะพลังยุทธ์ถึงระดับดาราขั้นแปด พลังฝ่ามือนี้คงทำให้เขากลายเป็ผงธุลีไปแล้ว!
แม้สวีจิ้งจะกำลังประมือกับหยวนจุน แต่เขาก็ต้องคอยป้องกันตัวจากพลังจิตของเสี่ยวเมิ่งด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผู้าุโชิวที่บ่มเพาะพลังยุทธ์ถึงระดับจันทราขั้นห้าก็ยังยืนอยู่ด้านหลังเขาอีกด้วย
เปรียบได้กับกระต่ายที่รู้ว่าด้านหลังมีเสือที่กำลังหิวโหยรออยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเสือตัวนี้จะบุกโจมตีเมื่อใด
การที่มีผู้อื่นแอบมองทุกการเคลื่อนไหวเช่นนี้ จะไม่ทำให้เขารู้สึกกลัวได้อย่างไร?
เมื่อผู้าุโชิวเห็นท่าทีที่หวาดกลัวของสวีจิ้ง เขาก็เบ้ปากออกมาด้วยความดูถูก
เพียงผู้าุโยกแขนขึ้นเบาๆ สวีจิ้งก็สั่นสะท้านไปด้วยความใแล้ว และไม่ว่าพลังฝ่ามือของหยวนจุนจะปะทะหน้าอกเขาอย่างไร เขาก็ไม่มีโอกาสได้โต้กลับ
ทั้งนี้ ตอนที่เขาได้รับาเ็จนต้องถอยออกไป ผู้าุโชิวแค่ยกแขนขึ้นเพียงเพื่อจะลูบเคราเรียบเท่านั้น
เมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกแกล้งสวีจิ้งจึงคำรามออกมาเสียงดัง จากนั้นจึงพุ่งปราณที่ดุร้ายไปยังหยวนจุนอย่างสุดกำลัง
“แฮ่ม”
การที่ผู้าุโชิวนำมือขึ้นมาปิดปากเพื่อที่จะกระแอมไอ ทำให้สวีจิ้งรู้สึกขนลุกจนต้องดึงพลังกลับไปทันที ทั้งนี้เมื่อเขาหันหน้ากลับมา ปางมือราชสีห์นอกของหยวนจุนก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“อั่ก”
ครั้งนี้สวีจิ้งถูกปางมือมรณาท่าที่สามโจมตีอย่างรุนแรง เขาไม่เพียงแต่มีเืกระอักออกมา แต่เขายังรู้สึกเหมือนกำลังจะสิ้นสติอีกด้วย
พลังยุทธ์ที่บ่มเพาะถึงระดับดาราขั้นแปด ตอนนี้ลดลงเหลือแค่วงแหวนเล็กขั้นเจ็ด!
เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าปางมือราชสีห์นอกของหยวนจุนนั้นทรงพลัง แม้แต่นักยุทธ์ระดับดาราขั้นแปดยังไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีที่รุนแรงนี้ได้!
“ฮาฮา ขอบคุณผู้าุโชิว!”
เมื่อเห็นสวีจิ้งได้รับาเ็สาหัสจากการช่วยเหลืออย่างลับๆ ของผู้าุโชิว หยวนจุนจึงคำนับขอบคุณผู้าุโชิวอย่างไม่รีรอ
จากนั้นเขาได้นำกระบี่หยวนจุนออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งทำให้แสงกระบี่สีขาวสว่างราวกับแสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามา
“นั่นมัน...กระบี่โหยวหลงที่ถูกประมูลไปจากโรงประมูลของข้า ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะเลื่อนขั้นเป็อาวุธระดับิญญาขั้นสองแล้ว!”
เมื่อเห็นกระบี่ใหญ่ในมือของหยวนจุนกำลังส่องสว่าง ผู้าุโชิวก็เบิกตาโพลง เขาคิ้วกระตุกและอ้าปากเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกถึงความประหลาดใจ
กระบี่ที่เสี่ยวเมิ่งประมูลไปตอนนั้นเป็เพียงอาวุธธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้กลับกลายเป็อาวุธระดับิญญาขั้นสองชั้นเยี่ยม!
แน่นอนว่าสิ่งนี้ยังมิใช่สิ่งที่ทำให้ผู้าุโชิวใมากที่สุด เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ กระบี่โหยวหลงมีน้ำหนักเพียงสามพันชั่ง!
กระบี่โหยวหลงที่ต้องใช้นักยุทธ์ระดับดาราขั้นห้าสองคนในการเคลื่อนที่ ตอนนี้กลายเป็อาวุธระดับิญญาขั้นสองไปแล้ว ทั้งยังมีพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย
และถ้าหากเขาคาดเดาไม่ผิด ตอนนี้กระบี่โหยวหลงน่าจะหนักประมาณสามหมื่นชั่งแล้ว!
เมื่อพิจารณาพลังที่เพิ่มขึ้นกับระดับพลังของนักยุทธ์ที่ใช้ยกแล้ว อย่างน้อยต้องใช้นักยุทธ์ระดับดาราขั้นหกสองคนจึงจะสามารถยกกระบี่เล่มนี้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้กระบี่เล่มนี้จะมีข้อจำกัดเื่น้ำหนัก แต่ดูเหมือนว่าหยวนจุนจะสามารถกวัดแกว่งได้โดยที่มิต้องใช้ความพยายามเลย ดังนั้นการที่กระบี่มีน้ำหนักเบาราวกับฟางในมือคงมีเพียงคำอธิบายเดียว
นั่นคือหยวนจุนมีพันธะผูกพันกับกระบี่โหยวหลง!
ผู้าุโชิวส่ายหน้าอย่างประหลาดใจแล้วพึมพำว่า “หากนักยุทธ์วงแหวนเล็กขั้นห้าหนึ่งคน้าบ่มเพาะอาวุธระดับิญญาขั้นหนึ่งสักชิ้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน และถ้าหากจะบ่มเพาะอาวุธระดับิญญาขั้นสอง คงต้องใช้เวลาถึงสองเดือน”
“เมื่อนับเวลาดูแล้ว เขาใช้่เวลาใดไปบ่มเพาะกระบี่โหยวหลง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้