หลี่หรูอี้ถามว่า “เป็อันใดไปหรือ”
ซานโก่วจื่อคิดในใจว่า หรูอี้นับว่าเป็ผู้มีพระคุณกับบ้านเรา ไม่จำเป็จะต้องปิดบังนาง จึงบอกด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ตระกูลเติ้งก็จะไม่ปล่อยข้ากลับมา ที่ข้าเจ็บป่วยก็เพราะข้าตั้งใจให้เป็เอง”
หม่าซื่ออดสะอื้นไห้ไม่ได้ “คนตระกูลเติ้งใจดำนัก ้าทำร้ายซานโก่วจื่อของข้า ซานโก่วจื่อจึงจำเป็ต้องทำตนเองให้ล้มเจ็บ”
อู่โก่วจื่อขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูหลี่หรูอี้ “ก่อนหน้านี้พี่สาวข้าไปอาบน้ำเย็น ทำให้ตนเองหนาวจนจับไข้”
หลี่หรูอี้ใจหายวูบเป็เื่ใดที่บีบคั้นให้ซานโก่วจื่อต้องอาบน้ำเย็นในวันเก้าที่สาม[1]ในฤดูหนาว จึงถามว่า “ซานโก่ว จื่อ ตระกูลเติ้งทำสิ่งใดกับท่าน”
ซานโก่วจื่อได้แต่ร้องไห้โฮ
อู่โก่วจื่อพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ก่อนนี้ตระกูลเติ้งบอกกับบ้านเราไว้ดิบดีว่า จะให้พี่สาวข้ากลับบ้านในวันที่ยี่สิบห้า แต่พอถึงวันที่ยี่สิบห้าก็บอกพี่สาวข้าว่า มีงานในจวนมากมาย้าคน วันที่สามสิบจึงจะให้พี่สาวข้ากลับเรือน”
“พี่สาวข้าเป็คนซื่อ คิดว่าช้าไปไม่กี่วันก็ไม่เป็ไร ขอแค่วันที่สามสิบสิ้นปีได้กลับเรือนเป็พอแล้ว ปรากฏว่าสหายสนิทคนหนึ่งแอบบอกพี่ข้าว่า แขกคนหนึ่งของจวนเติ้งหมายตาพี่สาวข้าไว้ นายท่านจวนเติ้งจะให้พี่สาวข้าไปนอนกับแขกผู้นั้น”
“เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ วันนั้นพี่สาวข้าจึงไปอาบน้ำเย็นทำตนเองให้ล้มป่วยเสีย แขกผู้นั้นกลัวว่าอาการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าจะไปติดเข้า เขาจึงบอกว่าไม่้านางแล้ว จวนเติ้งกลัวว่าหากพี่สาวข้ามีอันเป็ไป แล้วทางบ้านข้าจะไปเอาเื่จึงส่งพี่สาวข้ากลับมา”
หม่าซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งนึกกลัวไปต่างๆ นานา จึงเข้าไปกอดซานโก่วจื่อและร่ำไห้กล่าวว่า “ซานโก่วจื่อที่น่าสงสารของแม่ เกือบถูกคนทำลายความบริสุทธิ์เสียแล้ว”
หลี่หรูอี้มองซานโก่วจื่อ สังเกตว่า นางมีรูปหน้ายาว คิ้วเป็เส้นตรง มีดวงตาที่เรียวยาว ผิวขาวยิ่งกว่าอู่โก่วจื่อ และมีความอ่อนเยาว์ ดูแล้วก็เป็เด็กผู้หญิงที่มีความน่ารัก แต่ไม่ได้หมายถึงความงามแบบหญิงสาวเช่นนั้นแม้สักนิด รูปร่างที่สมส่วนไม่อ้วนไม่ผอม นี่เรียกว่าเป็เพียงเด็กสาวที่สุดแสนจะธรรมดาผู้หนึ่ง นางเพิ่งอายุสิบสามปีเท่านั้น จึงด่าทอไปว่า “ตระกูลเติ้งไม่ได้ความเลย นายท่านตระกูลเติ้งร่ำรวย แต่ไร้มนุษยธรรมเป็ตาเฒ่าสารเลว!”
อู่โก่วจื่อด่าตระกูลเติ้งตามไปอีกคำรบหนึ่ง ยังบอกอีกว่า “ตระกูลเติ้งต้องเคยทำเื่เยี่ยงนี้มานักต่อนักแล้วเป็แน่”
หลี่หรูอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “น่าแค้นใจก็แต่บ้านเราสองเรือนไร้อำนาจไร้บารมี ซานโก่วจื่อถูกตระกูลเติ้งข่มเหง พวกเราจึงทำได้แค่นิ่งใบ้ทนเสียเปรียบ แต่ที่โชคดีก็คือ ซานโก่วจื่อฉลาด ใช้แผนทนเจ็บตัวจึงหลบพ้นมาได้ และอาการเจ็บป่วยของนางข้าก็รักษาให้ได้ด้วย”
หม่าซื่อแม่ลูกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
หลี่หรูอี้ถอนใจเบาๆ คราวหนึ่งปลอบซานโก่วจื่อไปสองสามประโยคว่า “ข้าจะกลับเรือนไปเอายา จะช่วยลดไข้ให้เ้าก่อน เ้าจะได้ฉลองปีใหม่ให้มีความสุข”
ซานโก่วจื่อรอจนกระทั่งหลี่หรูอี้กลับไปแล้ว ก็พูดอย่างปลงๆ ว่า “หรูอี้อายุน้อยกว่าข้า แต่กลับเป็เหมือนพี่สาวของข้า”
หลี่หรูอี้กลับเรือนไปก็ยังไม่มีเวลาบอกกับคนในครอบครัวถึงเื่นี้ คว้ายาได้ก็รีบกลับมาที่บ้านสวี่ ให้เอ้อร์โก่วจื่อไปต้มยา และให้หม่าซื่อไปต้มน้ำขิงใส่น้ำตาลแดง
ซานโก่วจื่อได้ดื่มน้ำขิงและดื่มยาแล้วก็มีเหงื่อออกท่วมตัว นอนหลับไปพักใหญ่ หนึ่งชั่วยามจากนั้นเมื่อนางตื่นขึ้นมาก็ไม่มีไข้แล้ว และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างมาก แต่รู้สึกหิวมาก พอกินก๋วยเตี๋ยวใส่ไข่ไปหนึ่งชามใหญ่ ก็เริ่มพูดคุยกับคนในเรือนอยู่พักหนึ่งแล้วก็หลับไปอีก
คืนนี้คาดว่าเพราะได้กลับบ้าน นางสบายใจแล้วและไม่ต้องคอยหวาดผวา ซานโก่วจื่อจึงนอนหลับสนิท วันรุ่งขึ้นอาการเจ็บป่วยก็แทบจะหายดีแล้ว หม่าซื่อจึงยกของไปขอบใจหลี่หรูอี้
จ้าวซื่อรู้เื่นี้จากปากของหลี่หรูอี้แล้ว ยังชมว่าซานโก่วจื่อมีไหวพริบนัก
หม่าซื่อพูดว่า “ซานโก่วจื่อของข้ากล้าแบบโง่ๆ หากไม่ได้หมอเทวดาน้อยหรูอี้ ซานโก่วจื่อเป็ไข้หนาวก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่”
หลี่หรูอี้ช่วยชีวิตซานโก่วจื่อเอาไว้ บ้านสวี่และบ้านหลี่จึงมีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
“สวี่เจิ้ง ซานโก่วจื่อกลับมาแล้ว ครานี้ก็ควรจัดหาเื่หมั้นหมายได้แล้วกระมัง”
“ซานโก่วจื่อหน้าตาดี ทั้งยังเคยอยู่ในเรือนคนร่ำรวย ได้เปิดหูเปิดตาเื่ราวข้างนอก จะต้องจัดหาการแต่งงานที่ดีได้เป็แน่”
“บ้านเ้ากับบ้านหลี่สนิทสนมกันเช่นนี้ เ้าไม่คิดจะให้ซานโก่วจื่อแต่งเข้าบ้านหลี่หรือ”
ชาวบ้านสองสามคนพูดจาหยอกล้อกับสวี่เจิ้งสามีภรรยา เอ้อร์โก่วจื่อบ้านสวี่จะแต่งงานในเดือนหนึ่ง ซานโก่วจื่อเป็บุตรสาวคนโต พอพ้นปีใหม่ไปก็จะอายุสิบสี่ปีและหมั้นหมายได้แล้ว
สวี่เจิ้งทำการค้ามาหลายเดือน มีเงินมีทอง มีกำลังพอแล้ว จึงหารือกับหม่าซื่อว่า “พวกเรายกซานโก่วจื่อให้แต่งกับฝูคังเป็อย่างไร”
“ต้องดีอยู่แล้ว” หม่าซื่อเห็นสวี่เจิ้งหน้าตาตื่นเต้นยินดี กลัวว่าเขายิ่งหวังมากก็จะผิดหวังมาก หากบ้านหลี่ปฏิเสธขึ้นมา ถึงยามนั้นก็จะทำลายมิตรภาพที่ทั้งสองครอบครัวมีต่อกันมานานปี จึงบอกไปว่า “เพียงแต่ข้าได้ยินน้องสาวข้าบอกว่า บ้านหลี่จะย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ บ้านเรายากจนเช่นนี้จะคู่ควรกับสกุลหลี่ได้อย่างไร”
สวี่เจิ้งอ้าปากค้างเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า “พี่หลี่จะย้ายไปที่ตัวอำเภอ เรือนในตัวอำเภอราคาสูงเทียมฟ้าเชียวนะ”
หม่าซื่อพูดต่อว่า “น้องสาวข้าบอกว่า ฝูคังสี่พี่น้องจะไปสอบเข้าสำนักศึกษา”
สวี่เจิ้งตกตะลึงแต่จากนั้นก็เศร้าสลด เด็กชายบ้านหลี่เป็คนดีมาแต่ไหนแต่ไร วันหน้าหากสอบเข้าสำนักศึกษาได้ ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นกว่าคนทั่วไป มิใช่คนที่บุตรสาวของบ้านสวี่จะได้แต่งด้วย
หม่าซื่อผลักไหล่สวี่เจิ้งคราวหนึ่ง “น้องสาวข้าบอกว่า ต่อให้บ้านหลี่ไปอยู่ที่ตัวอำเภอ แต่ก็ยังขายเต้าหู้อยู่ ถึงยามนั้นบ้านเราก็ไปรับเต้าหู้ที่ตัวอำเภอ และยังไปขายเต้าหูที่อำเภอซั่งได้เหมือนเดิม
“นางพูดเช่นนั้นจริงหรือ”
“จริงสิ นางบอกว่า ถึงยามนั้นบ้านนางก็จะบอกกับบ้านของหวังไห่สักคำ”
สวี่เจิ้งพูดด้วยความดีใจว่า “ดีจริงๆ”
หม่าซื่อทอดถอนใจว่า “ไม่รู้ว่าปีใดเดือนใดบ้านเราจะมีเงินย้ายเข้าไปเป็เพื่อนบ้านกับบ้านน้องสาวข้าอีก”
“เอาเถิด บ้านเราได้รับความช่วยเหลือจากบ้านหลี่ ตอนนี้สบายกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เ้าไม่ต้องคิดมาก” สวี่เจิ้งปลอบใจหม่าซื่อ และยุติเื่นี้ไว้เพียงเท่านี้
พริบตาเดียวก็มาถึงวันสิ้นปีวันที่สามสิบแล้ว เช้าวันนี้มีหิมะตก เกล็ดหิมะเริงระบำอยู่ทั่วท้องฟ้า คล้ายเป็ดั่งอาภรณ์สีเงินปกคลุมไปทั่วผืนธรณีอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
ห้องครัวของทุกเรือนในหมู่บ้านหลี่ มีกลิ่นหอมอบอวลออกมา บ้างก็นึ่งหมั่นโถว ย่างเนื้อ ตุ๋นไก่ คั่วถั่วลิสง และคั่วเมล็ดแตงต่างๆ แม่บ้านใหญ่ในแต่ละเรือนวุ่นวายอยู่หน้าแท่นพิธีจนหัวหมุน
“ท่านแม่ ในหม้อกำลังตุ๋นสิ่งใด เหตุใดจึงหอมเช่นนี้”
“ขาหมู ดูเ้าตัวตะกละนี่สิ แม่จะให้เ้าชิมเนื้อชิ้นหนึ่ง”
“ยังมีไก่ด้วยหรือนี่”
“ไก่สามตัว ตัวหนึ่งกินคืนนี้ อีกตัวหนึ่งไว้กินวันพรุ่งนี้ ตอนพี่สาวเ้ากับพี่เขยเ้ามาไหว้ปีใหม่ ส่วนอีกตัวเอาไว้กินในวันที่ห้า”
“ดีเหลือเกินบ้านเราจะได้กินไก่ตั้งสามตัว”
“ปีนี้ขายเต้าหู้ ทำเตียงเตาพอจะได้เงิน ความเป็อยู่ในเรือนดีกว่าปีก่อนๆ มาก ปีใหม่ก็ต้องกินให้ดีๆ” แม่บ้านหน้าตาเบิกบาน ไม่รู้สึกว่าทำงานเหนื่อยแม้สักนิด แต่จู่ๆ ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ พลันเอามือตบหัวตนเอง กล่าวว่า “ดูสมองข้านี่สิ ลืมซื้อสุราเสียได้”
แม่บ้านเอาเงินให้ลูกคนโตสิบกว่าอีแปะ ให้เขารีบไปซื้อสุราที่ตัวอำเภอ คืนนี้ต้องให้ผู้ชายที่เป็หัวหน้าครอบครัวได้ดื่มสุราชั้นดีจึงจะดี
แต่เช้าวันนี้ก็มีเด็กที่ไม่หวั่นต่อหิมะมาจุดประทัดอยู่ตรงหน้าประตูเรือน เสียงประทัดดังสนั่น ทำให้หมู่บ้านครึกครื้น ทั้งเพิ่มบรรยากาศของปีใหม่ขึ้นมาอีกด้วย
บ้านตระกูลหลี่ไม่ต้องขายเต้าหู้ ทั้งนายทั้งบ่าวรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง นานๆ ครั้งหลี่ซานพี่น้องจะมีเวลาว่างเช่นนี้ จึงให้นางจางไปช่วยพ่อลูกสกุลอู่จัดเตรียมอาหารเที่ยงและอาหารคืนสิ้นปีในครัว หลี่ซานและหลี่สือจึงช่วยกันอุ้มเด็กทารกไว้อย่างละคน
เด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่ขับเกวียนลาไปส่งอาหารให้เจียงชิงอวิ๋นั้แ่เช้า ซึ่งล้วนเป็อาหารมังสวิรัติที่หลี่หรูอี้บรรจงทำอย่างสดใหม่ ทั้งหมดหกอย่างและทุกอย่างล้วนเป็ของที่แคว้นต้าโจวไม่มี
เื่ในเรือนมีจ้าวซื่อเป็คนจัดการ ไม่บ่อยครั้งที่หลี่หรูอี้จะมีเวลาว่างเช่นนี้ นางจึงนั่งบนเตียงเตากินสาลี่ไปพลางอ่านหนังสือไปพลาง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีเสียงคนในหมู่บ้านร้องอย่างตื่นตระหนกว่า “มีคนผูกคอตาย!”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] วันเก้าที่สาม เมื่อเริ่มฤดูหนาวจะนับเป็่ ่ละเก้าวัน เก้าวันที่หนึ่ง เก้าวันที่สองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูหนาว ซึ่งเก้าวันที่สามเป็่ที่หนาวที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้