จางหวาเฟิงพูดเหมือนเขาให้ผลประโยชน์มากมายกับคนอื่น แล้วเขาก็ยังทำทีเป็อนุญาตให้หลี่กั๋วกังใช้ประโยชน์นั้นจากเขา
ตอนนี้หลี่กั๋วกังอยากหันหลังแล้วไปจากที่นี่ยิ่งนัก เพื่อที่จะได้รีบกลับบ้านไปตบหน้าหลี่เสวี่ยหรูสักสองฉาดแล้วปล่อยให้เธอไปยั่วยวนไอ้คนสารเลวคนพรรค์นี้ซะให้พอ! แต่เขาก็กลัวว่าหากเขาจากที่นี่ไปแล้วเ้านักเลงถ่อยตรงหน้านี้จะไปสร้างปัญหาที่โรงงานของเขาอย่างไร้ยางอายน่ะสิ หากเป็เช่นนั้นการเลื่อนตำแหน่งของเขาอาจจะพังพินาศลงจริงๆ เพราะหัวหน้าโรงงานเสื้อผ้าคนปัจจุบันที่กำลังจะเกษียณอายุคนนี้ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติส่วนบุคคลเป็ที่สุด
“เื่งานน่ะ ฉันช่วยไม่ได้จริงๆ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว” จางหวาเฟิงยืนขึ้น “อย่างไรผมก็จะแต่งงานกับหลี่เสวี่ยหรูเหมือนเดิม”
“นายคิดว่าฉันจะยอมให้นายแต่งกับหลี่เสวี่ยหรูงั้นหรือ?”
ตอนนี้จางหวาเฟิงไม่ยำเกรงสิ่งใดทั้งนั้น “ถ้าผมแต่งไม่ได้ งั้นก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะแต่งได้ ส่วนคุณล่ะก็ตำแหน่งหัวหน้าโรงงานก็อย่าหวังว่าจะได้เป็เลย ทุกคนไม่ได้อยู่ดีแน่!” เขากอดอกพลางส่ายหน้า “โถ่ ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เสียเปรียบอยู่ดี เดิมทีผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว คุณว่ามันจริงไหมครับ...แล้วอีกอย่างนะ สุดท้ายถ้าผมไม่ได้อะไรสักอย่างจากพวกคุณ ผมก็แค่กลับบ้านเกิด พ่อของผมเป็ถึงหัวหน้าหมู่บ้านมีผู้หญิงตั้งมากมายที่อยากแต่งงานกับผม!”
พอพูดจบ เขาก็แสร้งทำท่าว่าจะเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยวก่อน” หลี่กั๋วกังตื่นตระหนกมาก ตลอดครึ่งชีวิตของเขานี่เป็ครั้งแรกที่เขาถูกนักเลงถ่อยคนหนึ่งควบคุมเขาไว้เหมือนลูกไก่ในกำมือ แม้ในใจของเขาจะรู้สึกไม่เต็มใจแค่ไหนก็ทำได้เพียงอดทนไว้เท่านั้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงแล้วกล่าวว่า “ฉันสามารหางานให้นายได้งานหนึ่ง”
จางหวาเฟิงดีใจเป็อย่างยิ่ง
“แต่ว่า” หลี่กั๋วกังกล่าวต่อว่า “ได้แค่ตำแหน่งคนงานชั่วคราวเท่านั้นนะ...นายอย่าเพิ่งกังวลไปฟังฉันพูดให้จบก่อน ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้าโรงงานไปก็จะสามารถเป็พนักงานประจำได้ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ที่ส่งต่องานให้ลูกหลานสืบทอด ก็ต้องเป็การได้รับคัดเลือกจากประกาศการรับสมัครสาธารณะแทนอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ตอนนี้งานหายากมาก ต่างก็ไม่มีทางเลือกกันทั้งนั้นขนาดนักเรียนมัธยมปลายหลายคนจบมายังไม่มีงานทำเลย”
“แม้ว่าฉันจะมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถรับนายเข้าเป็พนักงานประจำได้โดยตรงหรอกนะ...มีพนักงานตั้งเยอะที่คอยจับตาดูฉันอยู่ ถ้าฉันทำเช่นนี้มันจะต่างอะไรกับการทำลายอนาคตของตนเองเล่า?”
“ไม่เช่นนั้นแล้วเอาแบบนี้ดีไหม ฉันจะหางานชั่วคราวให้นายก่อน แล้วจากนั้นนายก็ไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำ พอมีวุฒิการศึกษาแล้วฉันค่อยให้นายเป็พนักงานประจำ...นายคิดว่าแบบนี้ดีไหม?”
ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่คนแซ่หลี่ล้วนแล้วแต่เป็พวกจิ้งจอกเ้าเล่ห์ หากเขาโดนหลอกอีกเล่า? จางหวาเฟิงลังเลเล็กน้อย
เมื่อหลี่กั๋วกังเห็นสีหน้าของจางหวาเฟิงก็รู้ว่าเื่นี้มีทางออกแล้ว เขาพูดอย่างง่ายๆ “ถ้านายไม่เห็นด้วยเช่นนั้นฉันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว นายเองก็เดินหน้าสร้างปัญหาต่อไปเถอะ อย่างเลวร้ายที่สุดฉันก็แค่ไม่ได้เป็หัวหน้าโรงงานเท่านั้น ถึงฉันจะเป็รองหัวหน้าโรงงานไปชั่วชีวิตก็ไม่เห็นจะเป็ไร!”
ทันทีที่หลี่กั๋วกังเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา จางหวาเฟิงก็ใมากเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ได้แต่ยอมเชื่ออีกฝ่าย แต่เขาไม่อยากให้หลี่กั๋วกังสมปรารถนาง่ายๆ จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณก็รีบจัดการให้ผมก็แล้วกัน วันจันทร์หน้าผมจะต้องได้ไปทำงานหรือไม่ก็อาจจะได้ไปสร้างเื่ที่โรงงานของคุณ หรืออาจจะได้ไปที่โรงงานของหลี่เสวี่ยหรูแทน คุณก็ไปหาวิธีเอาก็แล้วกัน!”
หลี่กั๋วกังเป็คนรวดเร็วคนหนึ่งบอกจะจัดการให้ก็จัดการทันที แต่ว่าปัญหาคือเขาจะจัดการให้จางหวาเฟิงได้ไปที่ไหนก็เท่านั้น หากจัดการให้ไปอยู่ในโรงงานเสื้อผ้าของตน เขาก็กลัวว่าพนักงานในโรงงานจะเดาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับจางหวาเฟิงออก ดังนั้นหลังจากที่เขาคิดไตร่ตรองดีแล้ว จึงใช้ประโยชน์จากน้ำใจที่ตนเคยช่วยเหลือผู้อื่น แล้วเลือกให้จางหวาเฟิงไปทำงานที่โรงงานเครื่องจักรแทน
ครอบครัวของหลี่อิ๋งชุนอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้เอง บ้านของเธออยู่ตรงแถวปากทางเข้าตรอกเล็กๆ เธอจอดรถสามล้อไว้หน้าประตูบ้าน หลังจากนั้นก็ะโลงจากรถแล้วเธอก็ปัดก้นตนเองอยู่หลายที ท่าทางของเธอเหมือนพยายามเช็ดก้นที่ไม่ได้เปื้อนฝุ่นออก
ซย่านีมองดูการกระทำเล่นใหญ่เกินจริงของหล่อนแล้วก็ส่งเสียง ‘เหอะ’ ไปหนึ่งทีแล้วก็ก่นด่าว่า ช่างทำคุณบูชาโทษเสียจริง ถ้าแน่จริงก็อย่ามาโบกรถของเธอสิ!
โชคดีที่เธอยังฉลาดอยู่หน่อยก็เลยไม่ได้ขี่รถสามล้อให้หล่อนนั่งจริงๆ จังๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว เวลานี้เธอจะต้องด่ากราดหลิวอิ๋งชุนไปแล้วแน่ๆ
หลังจากกลอกตามองหลิวอิ๋งชุนเป็การทิ้งท้ายเสร็จ ซย่านีก็ตวัดขาขึ้นนั่งบนอานรถสามล้อแล้วถีบคันเหยียบ มุ่งหน้าจากไปทันที
เมื่อซย่านีกลับมาถึงบ้านเซี่ยงเหมย ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็กลับมากันก่อนแล้ว เซี่ยงเหมยจัดโต๊ะให้เด็กๆ ทั้งสองคนเพื่อให้พวกเขามีที่ทำการบ้าน
ซย่านีถือตะกร้าเงินกับถุงยางรัดผมเข้าประตูบ้านมา หลังจากนั้น วางข้าวของลงแล้วก็ไปดูเด็กทั้งสอง
ซ่งตงซวี่สังเกตเห็นซย่านีเข้ามาใกล้ก่อนใครเพื่อน เขาหันหน้ากลับมาแล้วร้องะโเรียก “แม่”
จากนั้นซ่งวั่งซูก็หันหน้ามาและร้องเรียกซย่านีเช่นกัน “แม่ แม่กลับมาแล้ว”
ซย่านีชะโงกหน้าลงมาดู “มีการบ้านเยอะไหม?”
ซ่งวั่งซูตอบทันที “ไม่เยอะเลยค่ะ! หนูใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว รอหนูทำการบ้านเสร็จแล้ว ค่อยไปสอนแม่ท่องคำศัพท์นะ...ใช่แล้ว แม่คะ เมื่อคืนที่พ่อสอนพินอินแม่ไปแม่ยังจำได้อยู่ไหมคะ วันนี้พ่อให้หนูมาตรวจดูแม่ด้วยนะ”
“…”
ซย่านียิ้มพลางลูบหัวลูกสาวเบาๆ “ลูกทำการบ้านก่อนเถอะ เื่ตรวจดูพินอินของแม่น่ะ ไว้ค่อยว่ากันตอนเย็นก็แล้วกัน”
เซี่ยงเหมยได้ยินบทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นเธอก็ช่วยซย่านีออกจากหายนะอย่างใจดี “ซย่านี วันนี้ค้าขายเป็อย่างไรบ้าง?”
“ถือว่าไม่เลวเลย” ซย่านีแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหยิบตะกร้าใส่เงินขึ้นมาก่อนจะเปิดฝาออกและเทเงินทั้งหมดที่มีลงบนเตียง “วันนี้ขายอยู่ไม่ถึงสองชั่วโมงแต่ยางรัดผมที่เตรียมไปก็ขายหมดเกลี้ยง สุดท้ายเหลืออยู่ประมาณยี่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น ฉันเห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดแล้วก็เลยกลับมาก่อน”
กิจกรรมโปรดของเซี่ยงเหมยในตอนนี้ก็คือการนับเงิน เธอเลิกทำยางรัดผมทันทีแล้วเดินเข้ามานั่งข้างเตียง ช่วยซย่านีคลี่เงินออกแล้วจัดเรียงให้เรียบร้อย
คนทั้งสองใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในที่สุดก็นับเงินเสร็จ ในวันนี้พวกเขาทำเงินได้ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบกว่าหยวน
“สินค้าที่ทำกำไรได้มากที่สุดก็คือแบบที่เป็ผ้าลูกไม้กับผ้าแพร วันนี้ฉันเอาไปก็ขายหมดเกลี้ยงเลยแต่พวกเรามีวัสดุสองชนิดนี้อย่างจำกัด อีกทั้งพวกเรายังไม่มีช่องทางในการซื้อผ้าประเภทนี้เลย ในอนาคตก็คงได้แต่ขายยางรัดผมแบบธรรมดาเท่านั้น” ซย่านีพูดอย่างนึกเสียดายหน่อยๆ จากนั้นเธอก็นิ่งไปชั่วครู่ “แต่เธอก็สามารถทำยางรัดผมที่แตกต่างจากแบบธรรมดาได้นะ อย่างเช่นยางรัดผมแบบมีโบว์้าหรือนำลูกปัดมาประดับบนยางรัดผมนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้เหมือนกัน”
เซี่ยงเหมยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “เป็ความคิดที่ดีมาก! เช่นนี้พวกเราก็ขายยางรัดผมแบบพิเศษในราคาเดียวกับผ้าแพรก็ได้นะ”
ซย่านีหยิบเงินที่หามาได้ในวันนี้ออกมาส่วนหนึ่ง “ดังนั้นคราวนี้พวกเราก็กันเงินสักสี่สิบหยวนไว้เป็ค่าวัสดุก็แล้วกันนะ”
เซี่ยงเหมยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด “ได้เลย”
จากนั้น ทั้งสองก็แบ่งเงินที่เหลืออีกสามร้อยหยวนในอัตราส่วนเดียวกับครั้งที่แล้ว ดังนั้นซย่านีจึงได้หนึ่งร้อยแปดสิบหยวน ส่วนเซี่ยงเหมยได้หนึ่งร้อยยี่สิบหยวน
เมื่อรวมกับเงินสามร้อยหยวนจากคราวที่แล้ว ตอนนี้ซย่านีก็มีเงินอยู่ในมือเกือบห้าร้อยหยวนแล้ว
ก่อนหน้านี้ซย่านีวางแผนว่าหากมีเงินแล้วก็จะไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแล้วพาเด็กๆ ย้ายออกจากบ้านตระกูลซ่งเสีย แต่ด้วยความเร็วในการสะสมเงินทองในมือเธอตอนนี้บางทีเธออาจจะซื้อบ้านสักหลังได้เลย?
เพราะอีกยี่สิบปีจากนี้บ้านในกรุงปักกิ่งทุกตารางนิ้วจะมีค่าดั่งทองเลยเชียวล่ะ!
