ขณะนี้หยางมามาที่กำลังรอรถม้าข้างถนนก็กุลีกุจอเข้ามาพยุงเหล่าไท่ไท่พลางถามด้วยความห่วงใย เมื่อครู่หยางมามาถูกฝูงชนปิดกั้นจึงเห็นเหตุการณ์ไม่ชัดเจนนัก เห็นเพียงเหล่าไท่ไท่ร้องไห้พลันพุ่งไปหา “ศพ” คุณหนูสาม ด้วยเหตุนี้ เหล่าไท่ไท่จึงอธิบายเหตุการณ์น่าใให้นางฟังอย่างสมจริงสมจัง
เฟิงหยางไม่ได้รับคำตอบจากเหอตังกุยจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอโทษที่เกือบฆ่าเ้า ช่างโชคดีจริง ๆ เ้าอาจไม่รู้ว่าระหว่างม้าตัวนั้นห้อตะบึง กีบเท้าทั้งสี่ของมันยกสลับขึ้นลง” เขาใช้พัดอธิบายท่าทาง “ขณะม้าะโขึ้น ตัวของมันก็เสมือนลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อถึงจุดสูงสุด กีบของมันจะไม่มีแรง แม้เหยียบนกนางแอ่นก็ยังไม่าเ็ สามารถกางปีกบินได้ดังเดิม ฮ่า ๆ ... น่าสนใจเสียจริง”
เหอตังกุยที่สวมผ้าคลุมหน้ายังคงเงียบงัน นางเ็ปและแสบร้อนที่แผ่นหลัง ร่างกายได้รับาเ็หนัก อีกทั้งลมปราณเจินชี่ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งสองสิ่งทำให้นางสิ้นเปลืองพลังกายยิ่งนัก ไม่รู้จะอดทนได้นานเพียงใด เวลานี้นางเหนื่อยล้าจนอยากจะนอนพักผ่อน
เฟิงหยางยังคงโบกพัดในมือพลางพูดด้วยความตื่นเต้น เขาตวัดพัดชี้บันไดหินสีเขียวที่แตกหักเพราะถูกม้าเหยียบ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูตรงที่ถูกม้าเหยียบนั่นสิ กีบม้าเปรียบดังอาวุธสังหารสุดร้ายกาจ สาวน้อยบอบบางเช่นเ้า ไหนเลยจะมีชีวิตรอด ข้าไม่ได้พูดให้กลัว แต่หากเ้าถูกม้า “เหยียบ” ก็สามารถขาดใจตายภายในก้าวเดียวเชียวล่ะ แม้แต่คำสั่งเสียก็ไม่เหลือแรงเอ่ย”
เหอตังกุยลดศีรษะเดินไปด้านหลังเหล่าไท่ไท่ ก่อนดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเบา ๆ กระตุ้นความสนใจ เร่งเร้าให้นางรีบออกเดินทางโดยเร็ว ทว่าเหล่าไท่ไท่ไม่แม้แต่จะหันมอง ยังคงเล่าให้หยางมามาฟังว่าตนหวาดกลัวเพียงใดและเสี่ยวอี้โชคดีเพียงใด เมื่อหยางมามาได้ฟัง บ้างก็อุทานด้วยความประหลาดใจ บ้างก็ทำเสียงจุ๊ ๆ เอ่ยชื่นชม
เหอตังกุยคร่ำครวญในใจ “ท่านยาย การถูกม้าเหยียบเต็มแรงเช่นนี้มิใช่เื่โชคดีแม้แต่น้อย”
สิ่งเดียวที่โชคดีคืออาการาเ็ที่หลังเป็เพียงอาการสั่น ไม่ใช่อาการเ็ปทิ่มแทง อาจเป็แผลช้ำที่เกิดจากภาวะเืหยุดไหล ไม่มีาแหรือเืออกภายนอก มิเช่นนั้นเืคงซึมผ่านเสื้อผ้าจนเหล่าไท่ไท่ต้องขอดูาแ เมื่อเห็นผิวขาวที่หลังอาจทำให้การปลอมตัวถูกเปิดโปงได้...แม้สูตรผงอิ๋งอิ๋งจะไม่มีส่วนผสมของสมุนไพรล้ำค่า แต่การทำก็ยุ่งยากไม่น้อย นาง้าใช้แป้งในระยะยาวจึงทาเพียงใบหน้า ลำคอ มือและท่อนแขนเท่านั้น เมื่อถอดเสื้อผ้า ผิวเหลืองและขาวที่ตัดกันจะเผยให้เห็นชัดเจน แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าไม่ปกติ ขณะนี้นางเข้าใจความรู้สึกไป๋หยางไป่เมื่อครั้งเคยขู่ถอดเสื้อผ้าเขาออกต่อหน้าธารกำนัลแล้ว...
เฟิงหยางที่ยังพูดไม่จบก็เดินตามเหอตังกุยไปด้านหลังเหล่าไท่ไท่ต้อย ๆ พลางเอ่ยชื่นชมความโชคดีของนาง “น้องหญิง ในเมื่อเ้ากระอักเืเพียงเล็กน้อยแล้วยังสบายดี นั่นพิสูจน์ว่าตอนม้าเหยียบเ้า มันกำลัง “ะโขึ้น” น้ำหนักฝีเท้าจึงไม่รุนแรง แต่เ้าก็ะโสูงจริง ๆ สูงกว่าน้องสาวทั้งสิบแปดคนของข้าเสียอีก ดูจากอายุของเ้าแล้ว บางทีเ้าอาจเหมาะจะฝึกวรยุทธ์…”
เหอตังกุยหาวหวอดภายใต้ผ้าคลุมหน้า พลางดึงแขนเสื้อเหล่าไท่ไท่อีกครั้ง ในที่สุดก็ได้รับการตอบสนองด้วยการลูบศีรษะ
“พรึ่บ” เสียงเก็บพัดดังขึ้น เฟิงหยางหัวเราะอีกครั้งพลางเอ่ย “น้องหญิงเป็เด็ก การเรียนวรยุทธ์คงไม่มีประโยชน์ ข้าแสดงเคล็ดวิชาตัวเบาให้ดูสักชุดแล้วเ้าค่อยฝึกฝนตามดีหรือไม่? ด้วยความเฉลียวฉลาดของเ้า ข้าเชื่อว่าไม่เกินครึ่งปี ไม่ว่าจะปีนต้นไม้ ปีนกำแพง ปีนหลังคาหรือปีนคานก็สามารถทำได้ อืม...คิดเสียว่าชดเชยที่ทำให้เ้าเกือบตายเมื่อครู่ เ้าคิดเห็นอย่างไร? อย่าดูถูกเคล็ดวิชานี้เชียว เ้าไม่รู้หรอกว่ามีคน้าฝึกฝนมันมากเพียงใด นี่ เหตุใดน้องหญิงจึงไม่คุยกับข้า หรือว่า…”
“ผู้มีพระคุณ ๆ ๆ ”
ทันใดนั้นมารดาของเด็กผมเหลืองก็วิ่งเข้ามาพลันผลักเฟิงหยางให้พ้นทาง นางเขย่ามือเหอตังกุยด้วยน้ำตาเอ่อล้นพลางเอ่ย “ข้าได้ยินจากคนสัญจรว่าท่านช่วยลูกข้า ผู้มีพระคุณ ท่านช่วยลูกข้าก็เท่ากับช่วยเหลือครอบครัวข้า ท่านจิตใจดีมีเมตตา ได้โปรดรับการคำนับจากข้าด้วยเ้าค่ะ” กล่าวจบก็ย่อตัวคุกเข่า เสียงโขกศีรษะดังต่อเนื่องสามครั้ง
เหอตังกุยเจ็บหลังเนื่องจากโดนเขย่า ไหนเลยจะมีแรงดึงสตรีผู้นั้นให้ลุกขึ้น นางจึงหันไปพูดกับเฟิงหยาง “คุณชายเฟิง รบกวนพยุงท่านป้าลุกขึ้นหน่อยได้หรือไม่"
เฟิงหยางหัวเราะก่อนเอ่ย “ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดเ้าก็ยอมคุยกับข้า คิดว่าเ้าโกรธข้าเื่เมื่อครู่เสียอีก” กล่าวจบก็ใช้ด้ามพัดสะกิดข้อศอกสตรีชุดเทาผู้นั้น ทว่าสตรีผู้นั้นยังคงก้มหน้าในท่าโขกศีรษะ จู่ ๆ เฟิงหยางก็เดินมากระซิบข้างหูเหอตังกุยกะทันหัน “สหายข้า…ไม่ชอบสตรี น้องหญิงอย่าจ้องเขาเช่นนั้นอีก”
สตรีผู้นั้นก้มหยิบตะกร้าไม้ไผ่ข้างเท้าก่อนเปิดฝาแล้วอุ้มลูกชายออกมา “ลูกชายข้าเป็เด็กกำพร้า พ่อของเขาเสียชีวิตขณะข้าตั้งครรภ์ หากเขาตาย ข้าจะเผชิญหน้าพ่อแม่สามีได้อย่างไร คุณหนูคือผู้มีพระคุณของครอบครัวข้า” นางร้องไห้ขณะหยิบกระเป๋าสีขาวใบเล็กออกจากแขนเสื้อพลางยื่นให้เหอตังกุย “เป็ความผิดข้าที่โลภเกินไปจนเกือบฆ่าลูกชายตัวเอง ข้าจะคืนเงินเหล่านี้แก่พวกท่าน ข้าขอโทษที่ใจดำขโมยเงินพวกท่าน”
ที่แท้สตรีผู้นี้ก็พาลูกชายมาตลาดเพื่อซื้อผัก ทว่าบังเอิญเจอรถม้าของเหล่าไท่ไท่วิ่งชนแผงขายของ แม้สองแม่ลูกจะไม่ได้รับาเ็แต่ก็ใกลัวไม่น้อย
เมื่อรถม้าหยุด พ่อค้าเร่ที่ขาดทุนจากการซื้อสินค้าต่างส่งเสียงโห่ร้อง แม่นางจีจึงวิ่งไปขอโทษพวกเขาแล้วบอกว่าเ้านายของนางจะชดใช้ค่าเสียหายตามราคา เมื่อพ่อค้าหาบเร่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งยังเห็นว่ารถม้าเบื้องหน้าใหญ่โตโอ่อ่า มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็รถม้าของคนร่ำรวย พวกเขาจึงยอมสงบ
แม่นางจีกลับไปหยิบถุงเงินก่อนเริ่มชดใช้ตามความเสียหายของสินค้า หลายคนกำหนดราคาไว้แล้ว แม่นางจีก็ให้เงินตามที่อีกฝ่ายบอกโดยไม่ลังเล เหตุเพราะรถม้าชนแผงขายของของทุกคน เมื่อทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ นางจึงยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อบรรเทาความโกรธของพวกเขาซึ่งถือเป็เื่ดี ประการที่สอง นางกังวลเกี่ยวกับอาการาเ็ของหยางมามาและเหล่าไท่ไท่จึงไม่มีอารมณ์ต่อรอง อย่างไรเหล่าไท่ไท่ก็ไม่ได้สนใจเงินสองสามตำลึงอยู่แล้ว
ผู้สัญจรบางส่วนเห็นว่าผักของพ่อค้าเร่บางคนเพียงตกพื้นเท่านั้น ยังสามารถเก็บขายต่อได้ แทบไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ในสถานการณ์เช่นนี้กลับได้รับค่าชดใช้ถึงสามสี่กว้าน คนไม่น้อยจึงอิจฉาตาร้อน ต่อมาก็มีคนเดินถนนบอกแม่นางจีว่าเมื่อครู่เขาหลบรถม้าของพวกนางจนเท้าเคล็ด ้าค่าชดใช้สามกว้าน แม่นางจีก็ยื่นเงินให้ทันที ทั้งยังบอกว่าจะฝากเหล้ายารักษากระดูกขวดใหญ่สองสามขวดที่โต๊ะคิดเงินของโรงเตี๊ยมตระกูลหลี่บนถนนสายนี้ภายหลัง เขาสามารถไปรับยารักษาอาการาเ็ได้
แม่นางจีพูดประโยคนี้อีกครั้งกับผู้คนโดยรอบ ด้วยตั้งใจจะขอโทษผู้ได้รับาเ็และหวังจะระงับความโกรธของทุกคน ตระกูลหลัวเป็ตระกูลใหญ่ในเมืองหยางโจว ทุกคำพูดและการกระทำล้วนได้รับความสนใจ หากถูกประจานสิ่งไม่ดีเกี่ยวกับเื่ “ม้าอาละวาดทั่วตลาด” ตระกูลหลัวก็คงต้องเผชิญหน้ากับความโชคร้าย ชื่อเสียงคือสิ่งที่เงินซื้อเท่าไรก็ไม่หวนกลับคืน นางเชื่อว่าหากหยางมามามาเป็ผู้จัดการเื่นี้ก็ต้องทำเช่นเดียวกับนาง
หลายคนคิดว่าตระกูลนี้ร่ำรวย เมื่อพวกเขาได้เจอคนมีเงินจึงค่อย ๆ ล้อมเข้ามาพลางพูดว่าถูกตีหัวบ้าง คอเคล็ดบ้าง เอวเคล็ดบ้าง... แม่นางจีจึงะโบอกทุกคนว่าอย่าเบียดเสียด ให้เข้าแถวทีละคน ก่อนนำเงินออกจากถุงเพื่อชดใช้ให้ผู้สัญจรที่ได้รับ “าเ็” ไม่นานเงินทองแดงก็ถูกใช้จนหมด นางจึงเริ่มจ่ายเหรียญเงินสองเฉียน เมื่อเหรียญเงินหมดก็จ่ายแท่งทองห้าเฉียน...
เมื่อถึงคราวของมารดาเด็กน้อยผู้นั้น แท่งทองแท่งใหญ่ก็ถูกใช้จนหมด แม่นางจีจึงให้เศษเงินเล็กน้อยแก่นาง สตรีผู้นั้นหยิบตะกร้าไม้ไผ่ใส่ลูกชายก่อนนั่งบนขั้นบันไดริมถนนพลางชั่งน้ำหนักเศษเหรียญ หากเทียบน้ำหนักเศษเหรียญนี้ เกรงว่าหนึ่งตำลึงก็ยังมากไป
ตอนนี้ตระกูลพวกเขาต้องพึ่งพาพ่อตาและพี่เขยที่มีอาชีพตกปลาและขายปลา ทำงานหามรุ่งหามค่ำสามสี่เดือนก็หาเงินได้เพียงหนึ่งตำลึง ทั้งยังต้องหักค่าใช้จ่ายรายวันให้คนในครอบครัว นางและแม่สามีอยากทำเต้าหู้ขายเพื่อช่วยเหลือครอบครัวอีกทางหนึ่ง แต่การค้าขายก็จำต้องใช้เงินอีกสองตำลึง แม้ครอบครัวนางจะเก็บเงินเป็เวลานานก็ยังเก็บไม่ได้เสียที...
แม่ของเด็กชายก้มมองลูกนั่งเล่นลูกดิ่งในตะกร้าไม้ไผ่อย่างมีความสุข ไม่ช้าเขาจะเติบโต เมื่ออายุห้าหกขวบก็จะพูดและเดินได้ หากนางไม่ส่งเขาเข้าสำนักศึกษาเพื่อเรียนรู้การอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษร เขาก็จะต้องตามปู่และลุงไปขายปลาเหม็นคาวเ่าั้แน่...
ตราบใดที่นางมีเงินสองตำลึงก็จะสามารถขายเต้าหู้ได้ ลูกชายของนางก็สามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษา เมื่อเติบโตก็ไปรับจ้างเขียนจดหมายที่ถนนใหญ่ฝั่งเหนือ ค่าจ้างสองตำลึงต่อเดือนเลยทีเดียว...
เมื่อนางคิดถึงตรงนี้ก็ลุกยืนด้วยความตื่นเต้น หันมองแถวรอค่าชดใช้ยาวเหยียด ด้วยกลัวว่าหากช้าเกินไปเงินจะถูกแจกจนหมดจึงทิ้งลูกชายอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่เปิดโล่ง ก่อนวิ่งไปต่อแถวโดยไม่หันกลับมามอง
ไม่นานก็ถึงคราวของนางอีกครั้ง แม่นางจีจำได้จึงเอ่ยถามว่าเหตุใดถึงต่อแถวอีก? สตรีผู้นั้นชี้ตะกร้าไม้ไผ่ในระยะไกลก่อนพูดเสียงดัง “ข้าพาลูกชายมาตลาด แขนของข้าได้รับาเ็จึงมาขอค่าชดใช้ก่อน แต่เมื่อครู่เพิ่งพบว่าลูกชายวัยสองขวบศีรษะแตกเืไหล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่” แม่นางจีได้ยินดังนั้นก็ใหยิบเงินก้อนโตส่งให้นางทันที อีกทั้งขอให้นางส่งลูกไปที่ซานชิงถัง ตนจะจัดหมอที่ดีที่สุดมารักษา
ครานี้สตรีผู้นั้นได้รับเงินถึงสี่ห้าตำลึง นางทั้งดีใจและหวาดกลัว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ฝ่าฝูงชนออกไป ก่อนพบว่าลูกชายไม่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่แล้ว ทันใดนั้นก็มีคนห่างออกไปะโ “ม้าเหยียบเด็ก เด็กตายแล้ว ๆ ”
สตรีผู้นั้นไปที่จุดเกิดเหตุ มองปราดเดียวก็พบลูกดิ่งของลูกชายตกอยู่จึงร้องไห้พลันพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใด นางเสียใจที่ความโลภทำให้ลูกชายเสียชีวิตจึงร้องไห้อย่างน่าเวทนา ทันใดนั้นสตรีเด็กร่างผอมผู้หนึ่งก็ลุกจากพื้น อุ้มเด็กน้อยส่งคืนนางก่อนกำชับให้ดูแลลูกชายให้ดี
สตรีผู้นั้นนั่งยองข้างถนน อุ้มลูกน้อยที่หายไปพลางร้องไห้ขณะลูกน้อยหัวเราะร่า เมื่อร้องไห้เสร็จก็ได้ยินผู้คนสัญจรพูดว่าสตรีเด็กเมื่อครู่ใช้ร่างกายปกป้องเด็กน้อยไม่ให้าเ็ นางจำได้ว่าพวกเขาคือตระกูลที่นั่งรถม้าอาละวาดทั่วตลาดเมื่อครู่ก่อนจ่ายเงินค่าชดใช้ให้ทุกคน ตระกูลของพวกเขาช่วยลูกชายนาง แต่นางกลับโกงเงินพวกเขา ตอนนี้เงินห้าตำลึงกลับหนักยิ่งกว่าหิน ร้อนยิ่งกว่าเตารีด นางละอายเกินกว่าจะรับไว้จึงตัดสินใจวิ่งไปขอบคุณและขอโทษพร้อมคืนเงินพวกเขา
ผู้คนสัญจรไปมารวมถึงพ่อค้าเร่หลายคนที่โกงเงินก่อนหน้านี้ต่างะเืใจเมื่อเห็นภาพนั้น หากเทียบบุคลิกเปล่งประกายของเด็กสาวตัวเล็กที่ “สละชีวิตช่วยเด็ก” บุคลิกของพวกเขาก็เสมือนถูกความมืดมิดไร้ขอบเขตกลืนกิน ในใจพลันเกิดความละอาย ก่อนเหอตังกุยผู้อ่อนแอเนื่องจากาเ็ที่หลังจะเข้าใจสถานการณ์ของสตรีชุดเทา ผู้คนสองข้างทางต่างก็โห่ร้องพยายามจะวิ่งมาคืนเงินให้แก่นาง
บ้างก็เป็เงินสดทองแดง บ้างก็แท่งเงินเล็ก บ้างก็แท่งเงินใหญ่… ไม่นานฝ่ามือของนางก็เต็มไปด้วยเงิน
ผู้คนสัญจรบนถนนคิดในใจ เหล่าคนสวมเสื้อผ้าชั้นสูงที่ยืนพูดคุยกันนั้นมีท่าทางคุ้นเคยกันดี ต้องเป็ญาติกันแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็มือ แขนเสื้อ ด้านหน้าเสื้อคลุมหรือแม้แต่พัดของพวกเขาต่างถูกยัดด้วยเงินเหรียญต่าง ๆ มากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้