เพราะวันนี้คือวันส่งท้ายปีเก่า หลิวซานกุ้ยจึงมอบน้ำใจตอบแทนเป็เงินหนึ่งตำลึง ในตำบลเหลียนซานการมอบน้ำใจเป็เงินนั้นมีไม่มากนัก ทำเอาหมอตำแยดีใจจนมีแต่คำพูดมงคลพรั่งพรูออกมา
ท่านย่าหวงฟังจนกระวนกระวาย จากนั้นจึงหันหลังบอกให้หลิวเต้าเซียงไปหาเหล่าหวังในหมู่บ้าน แล้วออกค่ารถสามเท่าเพื่อส่งหมอตำแยกลับตำบล
“ชิวเซียง ชิวเซียง ข้าได้ยินมาว่าท่านป้าคลอดแล้วหรือ?” หวงเสียวหู่ะโอย่างรีบร้อนแล้วพุ่งเข้ามาทางประตู
“ชิวเซียง เ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ก่อนหน้านี้ข้าถูกท่านพ่อขังอยู่ในห้องตำรา ออกมาไม่ได้!”
หวงเสียวหู่หันไปส่งยิ้มให้หลิวเต้าเซียงแล้วเอ่ย “น้องเต้าเซียงก็อยู่หรือ เอ น้องชุนเซียง เ้าตัวโตและน่ารักน่ารังขึ้นนะ วันรุ่งขึ้นอย่าลืมไปที่บ้านข้านะ พี่หูจื่อซื้อของเล่นมาให้เ้าเยอะแยะเลย มีทั้งรถสลาตัน หัวเสือกระดาษ แล้วก็ตุ๊กตาไม้”
หลิวเต้าเซียงระงับอาการอยากหัวเราะไว้ หวงเสียวหู่ไปอยู่ในตัวจังหวัดเพียงแค่ครึ่งปี เริ่มพูดจาเข้าหูคนมากขึ้นทุกวัน
“ท่านพ่อ เราควรส่งข่าวบอกกับบ้านท่านย่าหรือไม่?” หลิวเต้าเซียงแปลกใจกับท่าทีของบิดาเล็กน้อย
หลิวซานกุ้ยกำลังมีความสุขที่ได้เป็พ่อ จู่ๆ ก็มีบุตรชายถึงสองคนจึงทำอะไรไม่ถูก ถึงกับไม่กล้าเชื่อ ในใจเขายังคงสับสน การมีบุตรชายก็แสดงว่ามีคนสืบสกุลแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อมีบุตรชายแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะขยันอีกสิบถึงยี่สิบปี แต่คราวนี้คงต้องขยันไปจนถึงวันเข้าโลง แค่คิดก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว
“ใช่ สมควรส่งข่าวให้ท่านปู่ท่านย่าของพวกเ้าแล้ว” จากนั้นเขาก็ฝากทารกในอ้อมแขนให้ป้าหลี่ แล้วมองดูอีกคนที่อยู่ในอ้อมแขนท่านย่าหวง ก่อนจะเอ่ย “ด้านนอกอากาศหนาว รีบพาพวกเขาเข้าไปอยู่ในห้องอุ่นๆ ดีกว่า ท่านป้า สะใภ้นายช่างเหล็ก รบกวนพวกท่านแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะมามอบน้ำใจตอบแทนให้ทั้งสองคน เพียงแต่วันนี้เกรงว่ายังต้องขอให้ทั้งสองคนช่วยเหลือต่อสักหน่อย ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
วันนี้เป็วันส่งท้ายปีเก่าของจีน เขามอบของขวัญปีใหม่ให้บิดามารดาและพี่ชายคนรองของเขาในวันที่ยี่สิบแปดไปแล้ว คนในตระกูลหลิวรู้ดีว่าจางกุ้ยฮัวกําลังจะคลอดบุตร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามไถ่แม้แต่น้อย วันนี้ตอนที่วิ่งผ่านบ้านเก่า ทั้งที่หลิวซุนซื่อเห็นเขารีบร้อนไปเชิญหมอตำแยมา ผ่านไปนานครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นคนจากบ้านเก่ามาถามไถ่อะไร
หัวใจของหลิวซานกุ้ยรู้สึกเย็นวาบอีกครั้ง
เมื่อมองย้อนกลับไปที่บุตรชายสองคนในผ้าห่อตัว หัวใจของเขาก็อบอุ่น การมีบุตรชายและบุตรสาวมันช่างดีเหลือเกิน!
“อื้อ พ่อจะไปเดี๋ยวนี้”
หลิวซานกุ้ยใส่รองเท้าเกี๊ยะ สวมเสื้อกันฝนหญ้าฟางและหมวกข้าว จากนั้นเดินเข้าหมู่บ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลิวชิวเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีน้องชายเพิ่มสองคน พ่อเราควรดีใจไม่ใช่หรือ?”
“ท่านพ่อมีความสุขมากต่างหาก!” หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม
“แต่ท่านพ่อดูไม่มีความสุขอย่างที่ข้าคิดไว้” หลิวชิวเซียงเซียงงุนงง
หลิวเต้าเซียงคิดและตอบว่า “เป็ไปได้ว่าท่านพ่อคิดว่าครอบครัวของเรามีปากท้องเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็น้องชายสองคน ต่อไปมีเื่ให้ใช้เงินอีกมากมาย”
“เฮ้อ ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล ผ่านพ้นปีใหม่ไป เราต้องขยันหาเงิน อย่างอื่นไม่เท่าไร แต่ต้องช่วยท่านพ่อกับท่านแม่แบ่งเบาภาระ” หลิวชิวเซียงคือพี่คนโต จึงคิดได้เร็ว
หลิวเต้าเซียงนึกอะไรขึ้นได้จึงยิ้ม “เรามาเดิมพันกันดีกว่า ท่านพ่อเราต้องไปแจ้งข่าวอย่างมีความสุขและกลับมาพร้อมความโศกเศร้าแน่นอน”
หลิวชิวเซียงเหลือบมองนางและเบ้ปาก “ข้าไม่เอาด้วยหรอก นี่เป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว”
แล้วก็เป็ดังที่ทั้งสองคาดเดา หลิวซานกุ้ยกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหมอง
หลิวเต้าเซียงวิ่งออกมาจากห้องโถงแล้วยืนอยู่บนบันได ก่อนจะะโว่า “ท่านพ่อ กลับมาแล้วหรือ? ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ ท่านยายเพิ่งทำอาหารเที่ยงไป เก็บไว้ให้ท่านด้วย อุ่นอยู่ในหม้อข้าว”
หลิวซานกุ้ยที่อารมณ์ไม่ดีนักถึงกับยิ้มแย้มแจ่มใส ใครบอกว่าบุตรสาวไม่ดีกัน!
เขาไม่ได้เล่าเื่ที่บ้านเก่าให้สองพี่น้องฟัง และพวกนางเองก็ไม่ได้ถามถึงเช่นกัน เพียงแต่ล้อมเตาไฟและปิ้งมันเทศกินกันอยู่ในห้องโถง
เพราะจางกุ้ยฮัวคลอดลูก เฉินซื่อกับหลิวซานกุ้ยจึงมีงานยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดดิน แต่ก็ไม่อยากให้ทั้งสามพี่น้องช่วยงาน จึงให้พวกนางเล่นกันอยู่ในห้อง
เฉินซื่อยุ่งอยู่กับการทำอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะ แต่ป้าหลี่กับท่านย่าหวงไม่ยอมอยู่ทานอาหารด้วยกัน เพราะวันนี้เป็วันส่งท้ายปีเก่า พวกนางทั้งสองต้องกลับไปกินอาหารพร้อมกับครอบครัวและใช้เวลาโส่วซุ่ย [1] ด้วยกัน
ในสมัยโบราณมีคําพูดหนึ่งว่า ไฟแห่งวันส่งท้ายปี และแสงในวันที่สิบห้า
หมายถึงไฟในคืนส่งท้ายปีห้ามปล่อยให้ดับ เพราะต้องต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึงอย่างโชติ่และบอกลาปีเก่า แสดงให้รู้ว่าปีที่กำลังจะมาถึงนี้เป็ปีที่รุ่งโรจน์
วันส่งท้ายปีเก่าจีนจะโต้รุ่งกันทั้งคืน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าโส่วซุ่ย
“ท่านแม่ วันนี้ให้ข้าพาเด็กๆ โส่วซุ่ยเถิด วันนี้ท่านเข้านอนเร็วหน่อย” หลิวซานกุ้ยเมื่อทานอาหารเสร็จก็ไปเยี่ยมจางกุ้ยฮัว เขาจึงปรึกษาเื่โส่วซุ่ยกับเฉินซื่อ
เดิมทีเฉินซื่อไม่เห็นด้วย แต่ก็คิดได้ว่า “วันนี้ดูจากสถานการณ์ในบ้านเราคงทำได้เท่านี้ กุ้ยฮัวก็คลอดลูกวันส่งท้ายปีเก่า หากเป็วันปกติในครอบครัวคงจะคึกคักกว่านี้”
นางกล่าวเสริมอีกว่า “เพียงแต่เด็กๆ ยังเล็ก กลัวว่าโต้รุ่งแล้วร่างกายจะไม่ไหว ข้าว่าเราโต้รุ่งจนถึงยามจื่อก็พอเถิด ให้พวกนางเข้านอนเร็วหน่อย”
หลิวซานกุ้ยตอบทันที “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ วันรุ่งขึ้นเื่ในครัวยังต้องรบกวนท่านแม่ช่วยดูแลด้วย”
“อาหารของครอบครัวเรามีมากมายเหลือเฟือ ทั้งไก่ เป็ด และปลาไม่มีขาด โอ่งน้ำด้านนอกก็มีเกี๊ยวที่ห่อไว้ไม่น้อย สามารถกินได้ถึงวันที่สิบห้า ไม่เปลืองแรงอะไรหรอก แต่แค่ต้องตื่นเช้าขึ้นมาจุดประทัด เอาเกี๊ยวลงหม้อ ส่วนเล้าไก่กับเล้าหมูข้าให้อาหารไว้มากมายก่อนหน้านี้
ในครอบครัว การมีผู้าุโประดุจดั่งมีของล้ำค่า
หากไม่มีเฉินซื่ออยู่ด้วย เกรงว่าตอนนี้หลิวเต้าเซียงคงต้องยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุน
หลิวชิวเซียงขยิบตาใส่น้องรอง หลิวเต้าเซียงพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านยาย วันนี้ท่านก็เหนื่อยมามากแล้ว รีบไปพักเถิด”
เฉินซื่อหยุดคิดเื่เหล่านี้ เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เข้านอน
หลิวซานกุ้ยรู้ว่าพวกนางสามพี่น้องอยู่ว่างกัน อีกทั้งนี่เป็คืนวันส่งท้ายปีเก่า คงไม่ให้อ่านตำราเขียนหนังสือ จึงเลือกนิทานเทพเซียนมาเล่าให้พวกนางฟัง
ระหว่างนั้นเขาก็ไปหาจางกุ้ยฮัวอีกสองรอบและพูดคุยกับนางสักพัก หลิวซานกุ้ยเห็นว่านางไม่ค่อยมีสติ จึงรีบไล่บุตรสาวกลับไปโส่วซุ่ยในห้องโถงต่อ
หลิวเต้าเซียงมีปีใหม่ที่อบอุ่นหัวใจ จนนางลืมซูจื่อเยี่ยไปหมดสิ้น ปีใหม่ของเขาไม่ได้ดีงามเท่าใด
โคมไฟัร่ายรำ หน่อเชื้อพระวงศ์ผู้เลอค่า รถม้าแกะสลักสวยงามเรียงรายเต็มท้องถนน เมืองหลวงเป็สถานที่ดีเลิศอย่างแท้จริง กระทั่งเทศกาลปีใหม่ก็คึกคักกว่าทุกที่มากนัก
รถม้าหลายคันจอดอยู่ที่ประตูจวนผิงอ๋อง นำหน้าโดยฮูหยินท่านหนึ่งที่สวมชุดสวยงามสง่า ผู้ที่เดินตามลงมาด้วยกันคือคุณชายรูปงามท่านหนึ่ง สวมชุดผ้าไหมจิ่นลายงูหลามสีฟ้าครามมีลวดลายเมฆ บนศีรษะประดับด้วยกว้านสีม่วงสลับทองประดับไข่มุกตะวันออก สวมผ้าคลุมหนังเพียงพอน แววตาแฝงความดุร้ายเล็กน้อย
สายตาของเขามองไปยังรถคันที่อยู่ข้างหลัง มือข้างหนึ่งเลิกม่านประตูผ้าไหมจิ่นสีเขียวเข้มสลับทอง บนฝ่ามือมีรอยด้าน บ่งบอกว่าคนผู้นี้เป็มือกระบี่ชั้นเยี่ยม
ชุดผ้าไหมจิ่นลายงูหลามสีฟ้าครามมีลวดลายเมฆ รัดผมด้วยหยกและแผ่รังสีความเยือกเย็นที่ทำให้คนแข็งตายได้ คนผู้นี้ก็คือซูจื่อเยี่ย
เขาลงจากรถแล้วจึงขานเรียกคนที่อยู่ข้างใน “เสด็จแม่!”
ในความเป็จริง เขาอยากเรียกว่าท่านแม่มากกว่า!
“แค่กๆๆ!” มีเสียงคนไอค่อกแค่กอยู่ในรถม้า!
ไม่นานนัก หญิงสาวรูปร่างบอบบางราวต้นหลิวที่พร้อมปลิวไปกับสายลมก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูรถม้า
ในสายตาของพระชายาในผิงอ๋องเผยความชิงชังออกมา
“เสด็จแม่!” ซูจื่อหงพยุงพระชายาในผิงอ๋องและขานเรียก
ตอนนี้ยังอยู่นอกวัง จึงไม่ควรให้คนนอกเห็นถึงความผิดแปลก
ดวงตาของพระชายาในผิงอ๋องเป็ประกาย แล้วเค้นรอยยิ้มที่อ่านจุดประสงค์ไม่ออก “น้องสาว เ้ายังไหวหรือไม่?”
“ไหวเพคะ!” พระสนมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพียงแต่แววตาค่อนข้างเ็า
พระชายาในผิงอ๋องเดินมาหานางด้วยท่าทางหวังดี เอื้อมมือออกมาพยุงมืออีกข้างของพระสนม “อันที่จริงข้าก็รู้สึกว่าดีถมเถ”
“เสด็จแม่ๆ!” ร่างสีแดงเพลิงะโออกมาจากรถม้าคันที่สามอย่างรวดเร็ว แล้วะโจนบ่าวรับใช้ตื่นใ แล้วพุ่งไปหาพระชายา
“อายุเท่าไรแล้ว! หยาเอ๋อร์ ปกติข้าสอนเ้าอย่างไร?”
แม้ว่าจะเป็การตําหนิ แต่ก็ฟังออกได้ว่าเป็การแสดงความรัก
ซูฮุ่ยหยาแลบลิ้น แล้วเอ่ยเสียงหวาน “เสด็จแม่”
พระชายาในผิงอ๋องมองซูจื่อเยี่ยที่ใบหน้าเ็า ก่อนจะเอ่ยกับบุตรสาวแท้ๆ ซูฮุ่ยหยาว่า “หยาเอ๋อร์ ยังไม่รีบขอโทษเสด็จพี่เ้าอีก?”
“เสด็จพี่รอง ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าจินเซียงอวี้ชื่นชอบท่าน” จินเซียงอวี้ที่ซูฮุ่ยหยาเอ่ยถึงคือองค์หญิงต่างแดนผู้หนึ่ง ซึ่งมีความสนใจต่อประเพณีวัฒนธรรมของราชวงศ์โจว ด้วยเหตุนี้ทุกๆ สองปีจะเดินทางมาใช้ชีวิตในราชวงศ์โจวระยะหนึ่ง
วันนี้องค์ฮ่องเต้ได้จัดงานเลี้ยงภายในราชวัง ระหว่างงานเลี้ยงพระชายาได้กล่าวกับพระสนม หรือก็คือมารดาของซูจื่อเยี่ย บอกว่าพ้นปีใหม่ไปเขาก็อายุสิบห้าปีแล้ว ควรถกกันเื่หมั้นหมายได้แล้ว
ผู้พูดไม่มีเจตนา แต่ผู้ฟังฟังออกถึงเจตนา
โดยเฉพาะคนที่คิดไม่ซื่อ!
คําพูดเหล่านี้เพียงชั่วจิบน้ำชาก็ไปถึงหูขององค์หญิงต่างแดนท่านนั้น ทำให้นางตอแยซูจื่อเยี่ยไม่เลิกตลอด่งานเลี้ยง เื่นี้ทำให้เขาเคืองโกรธ เพียงแต่อยู่ในวังจึงไม่อาจทำอะไรซูฮุ่ยหยาได้
พระสนมนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา จึงยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ย “ไม่โทษหยาเอ๋อร์ นางอายุยังเล็กนัก”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูไม่ได้มีปัญหา ซูจื่อหง ซูจื่อเยี่ย กับซูฮุ่ยหยา นางเด็กที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผิงอ๋องนั้นมีพระสนมสองคน แต่อีกท่านหนึ่งนั้นเสียชีวิตไปโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ก็ยังมิวายทิ้งบุตรสาวไว้หนึ่งคน แต่เด็กสาวคนนั้นเด็กกว่าซูฮุ่ยหยา ชื่อว่าฮุ่ยหลัน ปีนี้อายุเพียงห้าขวบ
ใบหน้าของพระชายาในผิงอ๋องดูไม่จืดนัก นี่เป็การถากถางว่านางสั่งสอนไม่ดี
ฉากที่ประตูบ้านเมื่ออยู่ในสายตาคนอื่น กลับเป็ภาพที่คนในตระกูลนี้รักใคร่ปรองดองกัน
ซูจื่อเยี่ยเย้ยหยันการแสดงความรักผิวเผินเช่นนี้
“เสด็จแม่ กลางคืนน้ำค้างแรง ลูกส่งเสด็จแม่เขาห้องดีกว่า” เขาหันไปเอ่ยกับพระชายาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พระชายา เสด็จแม่ร่างกายไม่แข็งแรง ลูกไปก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบเขาก็พยุงพระสนมเข้าประตูไปโดยไม่สนใจคนทั้งหมดตรงหน้า
“ซูจื่อเยี่ย!” ซูจื่อหงกัดฟันเงียบๆ
พระชายาในผิงอ๋องจดจ้องเขาครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปห้ามบุตรชายตนเอง “หงเอ๋อร์ ความใจร้อนไม่อาจกินเต้าหู้ได้ เ้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีแผนการจริงหรือ?”
หากไม่มีวิธีใดแล้วจะปกป้องบุตรชายของนางได้หรือ ไม่มีหนทางที่จะเลี้ยงดูซูจื่อเยี่ยให้เป็ผู้ใหญ่ได้หรือ
พระชายาในผิงอ๋องทำตาพริ้มเล็กน้อย
หลังจากที่ซูจื่อเยี่ยส่งมารดาเข้าห้องเรียบร้อย เขาก็มายังห้องตำราทิศใต้ในเรือนของตนเอง
ขณะนี้ ประทัดด้านนอกส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ความหนาวเย็นด้านนอกจู่โจมผู้คน เขาผลักประตูเข้าห้องตำราทิศใต้ ความอบอุ่นแผ่เข้ามา ใบหน้าที่เยือกเย็นมีรอยยิ้มเล็กน้อย
“จิ้นจง บอกแล้วไม่ใช่หรือ? วันนี้วันส่งท้ายปี ให้เ้ารีบกลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว”
จิ้นจงลุกขึ้น ถอดเสื้อคลุมออกแล้วตอบว่า “ชีวิตของจิ้นจงเป็ของนาย?”
นับั้แ่เข้ามาในเรือนหลังนี้ เขาก็คือคนของซูจื่อเยี่ย ทั้งชีวิตนี้ถูกประทับตรานี้ไว้แล้ว
-----
เชิงอรรถ
[1] โส่วซุ่ย 守岁shǒusuì หรือการโต้รุ่งในคืนสิ้นปี ซึ่งเป็ประเพณีที่ชาวจีนจะไม่นอนหลับในคืนวันสิ้นปี เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ที่ทำแบบนี้เพราะเชื่อกันว่า จะทำให้พ่อแม่ของตนมีอายุยืนยาว คำว่าโส่วซุ่ยจึงมีความหมายตรงตัวว่า เฝ้ารออายุข้ามปี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้