ซย่านีคิดไตร่ตรองั้แ่การหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปจนถึงการบอกข้อมูลต่างๆ แก่ผู้บริการโทรศัพท์ จากนั้นก็รอให้ผู้บริการโทรศัพท์เชื่อมต่อสายโทรไปยังที่ที่้าติดต่อแล้วก็รอให้บุคคลปลายสายมารับโทรศัพท์ ขั้นสุดท้ายก็ให้คนทั้งสองคุยโทรศัพท์กัน หากทำตามนี้ทีละขั้นตอนการคุยโทรศัพท์ครั้งหนึ่งก็อาจจะเสียเวลาอย่างน้อยห้าถึงหกนาทีแล้ว
เมื่อถึงเวลา 08.00 น. ประตูที่ทำการไปรษณีย์ก็เปิดออกอย่างตรงเวลา กลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ก็เริ่มทยอยเดินเข้าไปด้านในที่ทำการไปรษณีย์ทีละคน ซย่านีขยับแถวไปจนเกือบจะถึงบันไดด้านนอกที่ทำการไปรษณีย์แล้ว คนข้างหน้าถึงได้หยุดฝีเท้าลง
หลังจากรออยู่นาน คนที่โทรศัพท์เสร็จก็เริ่มทยอยเดินออกมาจากด้านในทีละคน พอมีคนออกมาหนึ่งคนซย่านีก็ได้ขยับแถวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
เวลาที่รออยู่ดูเหมือนจะยาวนานเหลือเกิน สหายหญิงที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าดูเหมือนจะหมดความอดทนขึ้นมาแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหันมาคุยกับซย่านีเพื่อเป็การฆ่าเวลา
“พี่สาว พี่คิดจะโทรไปที่ไหนหรือ?”
ซย่านียิ้มตาหยีพลางกล่าวตอบเธอว่า “ฉันจะโทรไปหาน้องสาวที่บ้านเกิดน่ะ แล้วคุณเล่า?”
สหายหญิงเอ่ยตอบ “ฉัน...ฉันจะโทรหาเพื่อนที่รู้จักกันตอนไปลงชนบทจ้ะ”
หลังจากที่หญิงสาวพูดจบก็ดูหดหู่ลงเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปลุกกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางเช่นนี้ทำให้ซย่านีสงสัยหน่อยๆ ว่าเพื่อนที่สหายหญิงคนนี้พูดถึงน่าจะเป็คนรักหนุ่มของเธอมากกว่า
ซย่านีอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “คุณเป็ยุวปัญญาชนที่ไปลงชนบทหรือ? ฉัน...สามีของฉันก็เป็ยุวปัญญาชนที่ไปลงชนบทเช่นกัน”
“งั้นคุณ...” สหายหญิงหยุดพูดไปชั่วขณะ
ซย่านีกล่าวต่อ “สามีของฉันสอบติดมหาวิทยาลัย ฉันก็เลยติดตามเขากลับมาที่กรุงปักกิ่ง เขาเป็คนปักกิ่งนี่แหละ”
“ดีจังเลย” สหายหญิงนึกอิจฉาซย่านี เธอก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ “น่าเสียดาย ฉันเรียนไม่เก่งและไม่มีความสามารถพอจะสอบติดมหาวิทยาลัย หากฉันสอบติดมหาวิทยาลัยได้ล่ะก็...”
เธอไม่ได้เอ่ยคำพูดประโยคหลังออกมาแต่ถอนหายใจอย่างหนักแทน จากนั้นเธอก็เบี่ยงสายตามองไปทางซิงซิง เด็กน้อยมักจะเป็ที่ชื่นชอบในหมู่สหายหญิงมากที่สุด เมื่อครู่สหายหญิงคนนี้ก็มองดูซิงซิงอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเธอมองเด็กน้อยตรงหน้าก็ยิ่งดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็ไม่กล้ามองทารกน้อยต่อแล้ว
“นี่คือลูกของคุณใช่ไหม เขาหน้าตาน่ารักจริงๆ ช่างดียิ่งนัก” ในดวงตาของสหายหญิงมีแววคิดถึงเจืออยู่ด้วย
เมื่อครู่นี้อาจเป็เพียงการคาดเดาของซย่านีแต่ตอนนี้นี้ซย่านีเกือบจะแน่ใจขึ้นมาแล้ว เพียงเพื่อกลับเมืองหลวงมาสหายหญิงคนนี้น่าจะต้องหย่าร้างกับสามีและทิ้งลูกเอาไว้ แล้วสหายหญิงคนนี้ก็น่าจะ้าโทรหาสามีของเธอและน่าจะเป็สามีเก่าของเธอด้วยแน่ๆ
หากเป็ในอดีตซย่านีคงจะดูถูกผู้หญิงประเภทนี้จริงๆ ที่ละทิ้งสามีและลูกของตนเองเพื่อกลับเมืองหลวง แต่จากที่วันนี้เธอได้เห็นท่าทางของสหายหญิงตรงหน้า เธอก็คิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่ซย่านีก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ต่อให้มีความยากลำบากใจมากเพียงใดก็ไม่อาจทิ้งลูกตนเองได้หรือเปล่า! ถือว่าในเื่นี้ซ่งหานเจียงทำได้ดีกว่ามาก ชายคนนี้โดดเด่นขนาดนั้นต้องเผชิญกลับสิ่งล่อใจมากมายยามอยู่ข้างนอก แต่กลับไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งภรรยาและลูกของตนเลย พอมาเปรียบเทียบเช่นนี้แล้วการที่เขาละเลยต่อภรรยาและลูกๆ ก็ดูเป็เื่ที่สามารถให้อภัยได้ขึ้นมา
หลังจากรอมาเกือบชั่วโมงในที่สุดก็ถึงตาซย่านีโทรศัพท์แล้ว
แม้จะรวมกับชีวิตเมื่อชาติก่อน นี่ก็ยังเป็ครั้งแรกในชีวิตที่ซย่านีได้ลองโทรศัพท์ทางไกลในยุคโบราณ
“สวัสดี สถานีทางไกลค่ะ”
ในเครื่องพูดโทรศัพท์มีเสียงไพเราะของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา
ซย่านีรีบพูดอย่างรวดเร็ว “สวัสดี ฉัน้าโทรทางไกลค่ะ”
พนักงานโทรทางไกลถาม “ปลายสายคือที่ไหนคะ?”
ซย่านีตอบ “ฉัน้าโทรไปที่อำเภอฉินค่ะ”
พนักงานโทรทางไกลเอ่ยถามซย่านีอีกรอบ “โทรไปที่อำเภอฉินงั้นหรือ อำเภอฉินคือที่ไหนกัน?”
ซย่านีตอบ “เมืองตงหลิน อำเภออวิ๋นเหอ ตำบลจั่งถุน หมู่บ้านซย่าจวง”
“เป็ที่มณฑลฉิน เมืองตงหลิน อำเภออวิ๋นเหอ ตำบลจั่งถุนนะคะ คุณ้าโทรหาใครคะ?”
ซย่านีตอบ “ฉัน้าโทรหาซย่าซานนีค่ะ ซย่าที่มาจากคำว่าซย่าเทียน (ฤดูร้อน) ส่วนคำว่าซานคือซานที่มาจากอี เอ้อร์ ซาน(หนึ่ง สอง สาม) และนีที่มาจากคำว่าหญิงสาวค่ะ”
“ได้ค่ะ กรุณรอสักครู่นะคะ”
ซย่านีรอเป็เวลานานจนมือที่อุ้มซิงซิงเริ่มปวดไปหมดแล้ว ในที่สุดเธอก็รอจนได้ยินเสียงที่เอ่ยอย่างระแวดระวังของผู้เป็น้องสาว
“เอ่อ...ฉัน...ฉันซย่าซานนีเองนะ”
ขณะที่ซย่าซานนีกำลังกำจัดวัชพืชอยู่ในไร่ เธอก็ได้ยินเสียงประกาศชื่อของตนเองดังมาจากวิทยุหมู่บ้าน โดยบอกว่ามีสายโทรศัพท์จากปักกิ่งโทรหาเธอและขอให้เธอมารับสายโทรศัพท์ด้วย
ตอนนั้นเธอมึนงงไปหมดเพราะนี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่มีคนโทรศัพท์มาหาเธอ
พี่สะใภ้ใหญ่ที่กำลังทำงานอยู่กับเธอเอ่ยถามเธอขึ้นมาทันที “สายโทรศัพท์จากปักกิ่งหรือ เป็พี่เขยโทรมาหาเธอหรือเปล่า?”
“อาจจะเป็พี่สาวคนโตของฉันก็ได้” ซย่าซานนีทิ้งจอบในมือแล้วเช็ดโคลนที่เปื้อนบนเสื้อผ้าของเธอออก จากนั้นก็ออกวิ่งไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอได้รับโทรศัพท์ เธอตื่นเต้นจนมือไม้อ่อนไปหมด หลังจากรับสายแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สหายผู้ประกาศเสียงตามสายก็เลยเอ่ยเตือนเธอ เธอถึงรู้ว่าต้องยกหูโทรศัพท์แนบไว้ที่ข้างหูและพูดกับเ้ากลมๆ ที่อยู่ตรงด้านล่าง
“ซานนี” ซย่านียิ้มกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่เองนะ”
“พี่หญิงใหญ่!” ซย่าซานนีร้องะโเสียงดัง
ซย่านีถาม “่นี้ที่บ้านเป็อย่างไรบ้าง? เอ้อร์นีหมั้นแล้วหรือยัง?”
“หมั้นแล้ว พี่หญิงรองหมั้นแล้วจ้ะ! แถมยังแต่งงานกันแล้วด้วยนะจ้ะ เพิ่งจะหมั้นกันได้ไม่กี่วันก็แต่งงานกันแล้ว” คราวนี้ซย่าซานนีไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว เธอเริ่มคุยจ้อ “พ่อกับแม่คงจะเคยบอกพี่แล้วใช่ไหม คนที่หมั้นหมายกับพี่หญิงรองก็คือลูกชายคนรองของนักบัญชีประจำหมู่บ้านสวี่จวงเชียวนะ ครอบครัวของเขารวยมากแล้วยังให้ของขวัญแต่งงานมาเยอะมากเลยด้วย แต่ฉันคิดว่าพี่หญิงรองไม่ได้ชอบพอเขาเท่าใดนัก สามีของพี่หญิงรองน่ะ ออกจะเตี้ยไปนิดแถมยังอ้วนหน่อยๆ ด้วยนะ”
ซย่านีนึกถึงภาพสามีของน้องสาวคนรองที่เธอเคยเจอกับเขาเมื่อกลับมาที่บ้านพ่อแม่เมื่อชาติก่อน เธอจำรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้แต่จำได้ว่าเขาตัวเตี้ยจริงๆ น่าจะสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบด้วยซ้ำ ต่อมาดูเหมือนว่าเขาจะเปิดร้านค้าแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสุขสบายยิ่งนัก แล้วซย่านีก็เอ่ยกับปลายสาย “ตราบใดที่เขาดีกับเอ้อร์นีก็เพียงพอแล้ว”
ซย่าซานนีพูดต่อ “ยังไงฉันก็เห็นว่าพี่เขยรองดีกับพี่หญิงรองมากจริงๆ...โอ้ะ พี่หญิงใหญ่ว่าแต่พี่โทรมาหาฉันมีเื่อะไรหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซย่านีถึงได้พูดจุดประสงค์ที่เธอโทรศัพท์มาหาน้องสาวในวันนี้ เธอเอ่ยถามอีกฝ่ายตามตรง “ซานนี เธออยากมาปักกิ่งไหม?”
ซย่าซานนีตกตะลึงไปชั่วขณะ พริบตาต่อมาเธอก็สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่า “อะไรนะจ้ะ?”
ซย่านีพูดซ้ำอีกรอบ “พี่ถามว่า เธออยากมาปักกิ่งไหม?”
กรุงปักกิ่งงั้นหรือ! ที่นั่นเป็เมืองหลวงนี่นา! นั่นมันเมืองหลวงของประเทศเชียวนะ! ประชากรพันล้านคนทั่วประเทศจีนมีใครบ้างไม่อยากไปกรุงปักกิ่งกันเล่า?!
ซย่าซานนีรู้สึกว่าแม้แต่ลมหายใจของตนเองก็ปล่อยความเคร่งเครียดออกมา เธอกล่าวตะกุกตะกักว่า “ฉัน...ฉัน...ฉันสามารถไปกรุงปักกิ่งได้หรือจ้ะ?”
ซย่านีอมยิ้มพลางกล่าวตอบน้องสาว “ได้แน่นอนอยู่แล้ว คืออย่างนี้นะ พี่อยากให้เธอมาที่ปักกิ่งเพื่อช่วยพี่ดูแลลูกหน่อย เธอตกลงไหม?”
“เพราะอะไรกัน?” ซย่าซานนีไม่เข้าใจ เธอรู้สึกว่าซย่านีสามารถดูแลลูกได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เื่นี้ไม่จำเป็ต้องใช้เธอเลย
ซย่านีไม่สามารถบอกความจริงได้ในตอนนี้ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เธอเองก็รู้เื่ครอบครัวของซ่งหานเจียงดีนี่ ไม่ว่าจะเป็พ่อแม่หรือพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาทุกคนล้วนมีงานทำกันทั้งนั้น พี่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่มีทะเบียนบ้านประจำกรุงปักกิ่ง[1] การกินอยู่โดยไม่ทำอะไรก็รู้สึกแย่เล็กน้อย พี่เลยอยากออกไปหางานทำบ้างแต่แม่สามีของพี่ก็อายุมากแล้ว ในบ้านก็มีเด็กอยู่หลายคน แม่สามีของพี่เธอดูแลไม่ทั่วถึงหรอก เพราะแบบนี้พี่ก็เลยอยากขอให้เธอมาช่วยพี่หน่อย”
“ได้สิจ้ะๆ” ซย่าซานนีต้องเต็มใจอย่างแน่นอน นี่เป็โอกาสที่ดีมากๆ เธอยังไม่เคยไปปักกิ่งมาก่อน เธอเคยคิดมาตลอดว่าอยากไปดูพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา[2] ที่เมืองปักกิ่งสักครั้ง
จู่ๆ ซย่าซานนีก็กล่าวขึ้นอย่างลำบากใจว่า “พ่อกับแม่คงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่ๆ”
[1] ทะเบียนบ้านประจำกรุงปักกิ่ง 京市的户口 คือทะเบียนบ้านประจำกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมีการใช้ทะเบียนบ้านในการติดตามเคลื่อนย้ายประชากร ซึ่งหน่วยงานรัฐมีการออกใบอนุญาตควบคุมการเดินทางเข้าออกถิ่นฐาน โดยทะเบียนบ้านจะแบ่งเป็ทะเบียนบ้านชนบทและทะเบียนบ้านที่ไม่ใช่ชนบท ซึ่งจะออกให้คนที่อยู่ในเมืองและหากถือทะเบียนบ้านชนบทแต่อยู่ในเมืองจะถูกจำกัดสิทธิหลายอย่าง เช่นด้านการศึกษา การรักษาพยาบาลเป็ต้น
[2] พิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา 升国旗 คือพิธีที่จัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ณ ใจกลางกรุงปักกิ่งซึ่งเป็เมืองหลวงของจีน โดยพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาจะมีการจัดขึ้นทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเพื่อเป็การเฉลิมฉลองวันครบรอบการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
