แสงสว่างที่ส่องลอดผ่านลายฉลุบนกรอบหน้าต่างเข้ามาให้เห็นเป็แสงสว่างแต้มเป็จุดเล็กๆ เสียงนกร้องจิ๊บๆ อยู่ด้านนอกหน้าต่างราวกับมารดาที่กำลังร้องเรียกลูกนก
บนเตียงไม้กฤษณาสองแม่ลูกนอนกอดกัน ใบหน้างดงามและอ่อนโยนหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ ราวกับเื่ราวของโลกภายนอกล้วนไม่สำคัญ
เมื่อเซวียนหยวนเช่อผลักประตูก้าวเข้ามาในห้อง ภาพที่เขาเห็นคือภาพนี้ ในใจบังเกิดความรู้สึกอุ่นซ่านชนิดหนึ่งที่ไหลบ่าเข้ามากระแทกหัวใจแล้วแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
เขาอธิบายไม่ถูกว่าเป็ความรู้สึกอย่างไร แต่เป็ความรู้สึกที่ยากแก่การต้านทานเพียงนี้!
เขาเดินเข้าไปด้านหน้าเตียงนอนทีละก้าว แสงสว่างจางๆ ของรุ่งอรุณลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนลงบนแก้มขาวนวลเนียนราวกับหิมะของเฟิ่งเฉี่ยน ทำให้ผิวของนางแทบจะโปร่งแสงได้ ยิ่งขับให้องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของนางโดดเด่นขึ้นอีก
นางมีดวงตาตรึงใจคนคู่หนึ่ง บางครั้งเ้าเล่ห์บางครั้งเ็า แต่เมื่อนางหลับตาลงความงดงามของนางกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย กลับมีความสงบและอ่อนหวานเพิ่มขึ้นมา ขนตางอนถี่นั้นกระพริบเบาๆ ริมฝีปากสีผลอิงที่อยู่ใต้สันจมูกเล็กๆ นั้นดูเย้ายวนและนุ่มนิ่มเป็พิเศษ
เขายื่นมือออกไปััริมฝีปากสีผลอิงของนางโดยไม่รู้สึกตัว วินาทีที่ปลายนิ้วััถูกริมฝีปากของนาง ไท่จื่อน้อยร้องฮื้อฮ้าเบาๆ เมื่อพลิกตัว ทำให้เขาได้สติ
เขาก้าวถอยหลังอย่างตระหนก!
เขาเป็อะไรไป
เหตุใดจึงเหมือนกับต้องมนต์ ควบคุมตนเองไม่ได้
เฟิ่งเฉี่ยนพลิกตัวในตอนนี้เอง ผ้าห่มที่คลุมอยู่บนร่างของสองแม่ลูกจึงเลื่อนไหลตกลงมาบนพื้น
เซวียนหยวนเช่อยื่นมือออกไปรับผ้าห่ม มองท่าทางการนอนของสองแม่ลูกที่สบายใจเฉิบนั้นแล้วหัวเราะเบาๆ ความอบอุ่นอ่อนโยนระคนรักและเอ็นดูที่กระทั่งเขาเองไม่เคยรู้สึกมาก่อนพาดผ่านดวงตา เขาห่มผ้าให้สองแม่ลูกด้วยท่าทีเบามือเบาไม้ หลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่ประตูปิดกลับไปนั้นเฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกตัวตื่นแล้ว นางลืมตาขึ้นและหันมองอย่างสะลึมสะลือ พบว่าภายในห้องไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
หรือนางรู้สึกไปเอง
เฟิ่งเฉี่ยนเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วะโลงจากเตียงเดินไปหยุดข้างโต๊ะรินน้ำชาใส่ถ้วย
เมื่อน้ำชาัักับริมฝีปาก นางชะงักงันและเม้มริมฝีปาก
น่าแปลก นางรู้สึกรางๆ ว่ามีคนััริมฝีปากของนาง คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีเหลืองสว่าง ชัดเจนว่าเป็เซวียนหยวนเช่อ
เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้!
นางส่ายหน้าหวือ ไม่มีทางเป็เขาเด็ดขาด!
คนเ็าเช่นเขา เ็าสุดขั้ว ไหนเลยจะทำเื่อ่อนโยนเช่นนั้นกับนางได้
แต่พูดอีกทีต่อให้เป็เขาแล้วอย่างไรเล่า
ช้าเร็วนางก็ต้องไปจากวังหลวงแห่งนี้ พวกเขาทั้งสองคนเหมือนเดินอยู่บนเส้นขนาน ไม่มีทางมาร่วมทางกันได้ตลอดกาล!
ต่อให้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันบางครั้ง ก็เป็เพียงความรู้สึกที่คิดไปเองเท่านั้น!
ระหว่างที่เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าทอดถอนใจ ไท่จื่อน้อยตื่นแล้วเช่นกัน เขานั่งขยี้ดวงตาบนเตียงนอนด้วยท่าทีของคนเพิ่งตื่น
“เสด็จแม่!”
เฟิ่งเฉี่ยนหันไปมองเขา “เย่เอ๋อร์ รีบลุกขึ้น เสด็จแม่ส่งเ้าไปเรียน”
ไท่จื่อน้อยผลัดอาภรณ์เป็เสื้อคลุมผ้าแพรสีเงินยวง บนศีรษะสวมหยกครอบผมประดับด้วยไข่มุกทะเลเหนือ ผิวพรรณขาวผ่องของเขานุ่มเด้งราวกับเปลือกไข่ สองข้างแก้มอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเนื้อราวกับเด็กทารก น่ารักที่สุด อีกทั้งยังมีขนตาที่ดกราวกับแปรงน้อยๆ ดวงตาดำขลับที่เปล่งประกายสดใสอยู่เสมอ
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นบุตรชายที่โขกเซวียนหยวนเช่อออกมาราวกับพิมพ์ ยิ่งมองยิ่งภาคภูมิใจ จึงกางมือออกไปบีบและขยี้แก้มของเขาอย่างทนไม่ได้ “บุตรชายของข้าไฉนจึงหล่อเหลาปานนี้นะ”
ไท่จื่อน้อยถูกนางบีบแก้มจนต้องถอนใจอย่างจนปัญญา “เสด็จแม่ อย่าทำกับเย่เอ๋อร์เช่นนี้ได้หรือไม่ คนที่ไม่รู้จะเข้าใจว่านอกจากหล่อเหลาแล้ว ลูกไม่มีความโดดเด่นด้านอื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อุ๊ย...” ถูกบุตรชายพูดใส่เช่นนี้ เฟิ่งเฉี่ยนงงงัน
เฟิ่งเฉี่ยนจูงมือบุตรชายมาถึงหน้าห้องเรียน เห็นเด็กชายสองคนเดินมาแต่ไกล คนหนึ่งสวมชุดฝึกยุทธ์ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน บนตัวของพวกเขามีกระเป๋าหนังสือใบเล็กใบหนึ่ง แต่ละคนราวกับรูปปั้นแกะสลักตัวน้อย
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ คนทั้งสองประสานมือเป็หมัดคารวะไท่จื่อน้อย “ลั่วเฟิง (ซิงกู่) ถวายบังคมไท่จื่อน้อยพ่ะย่ะค่ะ!”
อย่าดูว่าเด็กทั้งสองยังเล็ก อายุราวๆ ห้าหกขวบ แต่กิริยามารยาทนั้นกลับไร้ที่ติ
มือเล็กๆ ของไท่จื่อน้อยโบกขึ้น “ลุกขึ้น”
คนทั้งสามทักทายกันด้วยมารยาทของขุนนางและกษัตริย์ ทุกอย่างเป็ไปตามกฎเกณฑ์ ทว่านาทีถัดมาคนทั้งสามก็จับมือกันอย่างเบิกบานใจ พร้อมกับส่งเสียงสนทนาเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด
“การบ้านของเมื่อวาน พวกเ้าทบทวนแล้วหรือไม่”
“ข้าให้พี่ชายสอนแล้ว เขาช่างเป็คนโง่เขลา ไม่รู้เื่อะไรทั้งสิ้น ศิลปะการเดินหมากยังสู้ข้าไม่ได้”
“บิดาข้างานยุ่งมาก เขาไม่มีเวลาสอนข้า จึงโยนตำราการเดินหมากมาให้ข้าเล่มหนึ่ง ให้ข้าเรียนรู้ด้วยตนเอง มีตัวอักษรหลายตัวที่ข้าไม่รู้จัก”
“ไท่จื่อ พระองค์เล่า”
“เมื่อวานเสด็จพ่อเดินหมากเป็เพื่อนข้า ยังสอนเคล็ดลับการเดินหมากให้ข้าตั้งมากมาย”
“น่าอิจฉาเหลือเกิน”
“ได้ยินว่าศิลปะการเดินหมากของฝ่าานั้นอยู่ในระดับยอดฝีมือ”
“เช่นนี้แล้วหานไท่ฟู่คงไม่ได้ตีมือพระองค์แล้ว”
“....”
เฟิ่งเฉี่ยนก้มหน้ามองเ้าก้อนแป้งน้อยสามคนสนทนากันเ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง ที่แท้เด็กสองคนนี้ก็คือลั่วเฟิงและซิงกู่ที่บุตรชายเอ่ยถึงนั่นเอง มองดูเด็กชายที่อยู่ในชุดฝึกยุทธ์ คิ้วและดวงตามีส่วนคล้ายคลึงลั่วหยิ่งหลายส่วน อีกทั้งยังมาจากสกุลลั่วเหมือนกัน คาดว่าพี่ชายผู้โง่เขลาที่เขากล่าวถึงก็คือลั่วหยิ่งกระมัง
น่ารักจริงๆ!
คิดแล้วนางก็หัวเราะออกมาด้วยอดไม่ได้
เ้าก้อนแป้งน้อยสองคนเงยหน้ามองมาอย่างประหลาดใจ
ลั่วเฟิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “องค์ไท่จื่อ นางเป็ใครกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อยิ้มจนดวงตาโค้งลง “นางก็คือเสด็จแม่ของข้า”
ลั่วเฟิงใช้สายตาแก่แดดของเขามองนางประเมินขึ้นๆ ลงๆ “นางก็คือฮองเฮาหรือ”
ซิงกู่เบิกตากว้างตะลึงงัน “ฮองเฮา?”
เห็นสีหน้าท่าทางประหลาดใจของเด็กน้อยสองคนแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนจึงหยอกเย้าพวกเขา นางโน้มตัวลงยิ้มกับพวกเขา “สหายน้อยสองคนคงไม่เคยพบท่านน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์เช่นข้ามาก่อนกระมัง”
เ้าก้อนแป้งน้อยสองคนใช้สายตาประหลาดมองมาทางนางอึดใจหนึ่ง ลั่วเฟิงพูดขึ้นก่อนว่า “องค์ไท่จื่อ เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเรารีบไปเข้าเรียนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซิงกู่พยักหน้า “ถูกต้องแล้ว หานไท่ฟู่ไม่ชอบนักเรียนที่มาสายที่สุด”
ไท่จื่อน้อยโบกมือให้เฟิ่งเฉี่ยน “เสด็จแม่ เช่นนั้นพวกเราไปเข้าเรียนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
พูดแล้วมือเล็กๆ ของคนทั้งสามก็จับจูงกันเดินไป
“โอ๊ะ...” นางถูกมองข้ามไปอย่างนี้เอง
เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วะโใส่พวกเขา “นี่ๆ ผีน้อยเช่นพวกเ้าหมายความว่าอย่างไรกัน มีมารยาทหรือไม่”
คนทั้งสามทำเหมือนกับไม่ได้ยิน เดินเข้าไปในห้องเรียน
เฟิ่งเฉี่ยนพลันหัวเราะออกมา “เ้าผีน้อย เป็ตัวของตัวเองไม่น้อย!”
ข้างกายบุตรชายมีสหายสองคนนี้เป็เพื่อน นางรู้สึกวางใจแล้ว
หมุนตัวกลับมาคิดจะกลับตำหนัก ใครเลยจะรู้ว่าจะชนกับใครบางคน
เมื่อเกิดการปะทะกัน กระดานหมากในมือของอีกฝ่ายจึงร่วงลงสู่พื้น ตัวหมากที่ทำมาจากหินหยกร่วงลงบนพื้นดังเพี๊ยะๆ ยังมีกระดานหมากที่ทำมาจากหยกขาวอันนั้นก็หล่นลงบนพื้นจนเกิดเป็รอยร้าวตามแนวยาวตรงกลางกระดาน
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน
อีกฝ่ายเป็ผู้าุโมีเส้นผมสีเงินยวงและเคราขาวโพลน อายุประมาณหกสิบกว่าๆ เส้นผมหงอกขาวทว่าใบหน้ามีเืฝาด ที่ตอนนี้มีสีหน้าตกตะลึง เขายอบกายลงไปเก็บกระดานหมากขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา “กระดานหมากของข้า กระดานหมากของข้า!”