เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ อย่างนี้ดีหรือไม่ กระดานหมากของท่านเป็เงินเท่าใด ข้าจะชดใช้ให้ท่าน!”
ใครเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นขวั่บแล้วคำรามใส่นางด้วยความโมหาว่า “เ้าชดใช้? เ้ามีปัญญาชดใช้หรือ นี่เป็หมากหยกขาวรวมศูนย์ ใต้หล้านี้มีเพียงชุดเดียว เป็ของล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้! ต่อให้เ้าใช้เงินหนึ่งแสนตำลึงก็ไม่แน่ว่าจะหาซื้อได้!”
“หนึ่งแสนตำลึงหรือ” ดวงตาเฟิ่งเฉียนเบิกกว้าง หมากอะไรกันถึงได้ราคาสูงเช่นนี้ มีค่าถึงหนึ่งแสนตำลึงเชียว นางพอจะมองอะไรออกบ้างแล้ว นี่จะต้องเป็การเจตนาแน่นอน ไม่ได้แล้วสถานที่แห่งนี้ไม่อาจรั้งอยู่นาน หนีคือกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในสามสิบหกกลยุทธ์!
นางกุมหน้าผากตนเอง ร่างโอนเอนไปมา “โอ๊ย ข้าปวดหัว เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดข้าจึงจำอะไรไม่ได้เลย ข้าดูเหมือนจะความจำเสื่อมเสียแล้ว ต้องรีบไปหาหมอหลวงดูอาการสักหน่อย...”
นางพูดไปพร้อมกับเดินไปอีกทางหนึ่ง
ผู้าุโหนวดเคราขาวโพลนโมโหจนดวงตาเบิกกว้าง เขาชี้นิ้วมาที่นาง “ไร้ยางอาย! ไร้ยางอายที่สุด! เ้ารอก่อนเถิด ช้าเร็วข้าจะต้องหาตัวเ้าออกมาได้แน่นอน!”
ผู้าุโเก็บอุปกรณ์การเดินหมากแล้วเดินเข้าไปในห้องเรียนด้วยโทสะ ห้องเรียนที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวพลันเงียบสงบ
ไท่จื่อน้อยและสหายทั้งสองนั่งตัวตรงมองไปยังท่านาุโที่เดินขึ้นไปบนแท่นสำหรับทำการสอนแล้วร้องพร้อมกันว่า “คารวะหานไท่ฟู่!”
หานไท่ฟู่เงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสามแล้วถามขึ้นว่า “เมื่อสักครู่มีสตรีนางหนึ่งอยู่ด้านนอกประตู พวกเ้ารู้จักหรือไม่”
คนทั้งสามสบตากันปราดหนึ่ง ไท่จื่อน้อยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ไท่ฟู่ เกิดเื่อันใดขึ้นใช่หรือไม่”
หานไท่ฟู่ชี้กระดานหมากในมือที่มีรอยร้าวอยู่ตรงกลาง “พวกเ้าดูสิ กระดานหมากหยกขาวรวมศูนย์ชุดนี้เป็สิ่งที่อาจารย์ของข้ามอบให้ข้า เดิมทีข้าคิดจะนำมาให้พวกเ้าได้ชื่นชม ให้พวกเ้าได้เปิดหูเปิดตา ใครเลยจะรู้ว่าจะถูกสตรีนางนั้นเดินชนจนได้รับความเสียหาย พวกเ้าว่าน่าโมโหหรือไม่”
ภายในห้องเรียนเงียบกริบ
หานไท่ฟู่มองคนทั้งสามด้วยความประหลาดใจแล้วถามอีกว่า “พวกเ้ามีใครรู้จักสตรีนางนั้นหรือไม่”
ไท่จื่อน้อยรีบส่ายหน้าหวือ
ซิงกู่และลั่วเฟิงส่ายหน้าหวือเช่นกัน
หานไท่ฟู่ขมวดคิ้วพูดกับตนเองอย่างแปลกใจ “ประหลาด พวกเ้าล้วนไม่รู้จัก เช่นนั้นนางจะเป็ใครได้ อยู่ดีๆ ไฉนจึงเดินมาที่ห้องเรียนกัน”
ด้านล่างเด็กทั้งสามคนสบตากันอย่างรวดเร็วแล้วลอบพรูลมหายใจโล่งอก
หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ เฟิ่งเฉี่ยนรีบกลับไปยังตำหนักเว่ยยาง นางเห็นด้านหน้าตำหนักเว่ยยางมีองครักษ์ยืนอยู่มากมาย นางรู้สึกได้ทันทีว่าท่าจะไม่ดีแล้วจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
เมื่อเดินเข้าไปใกล้มีองครักษ์เข้ามาโค้งกายกล่าวว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียง ไทเฮาประทับอยู่ด้านในครู่ใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไทเฮาหรือ” เฟิ่งเฉี่ยนหัวใจหล่นวูบ รับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ไม่มีเื่ใดย่อมไม่ไปท้องพระโรง ไทเฮาเสด็จมาเยือนกะทันหันเช่นนี้จะต้องไม่มีเื่ดีแน่!
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางเดินเข้าประตูใหญ่ไป
ภายในลานเรือนมีคนยืนอยู่มากมาย นางกำนัล หมัวมัว องครักษ์ ขันที บางคนหน้าตาคุ้นเคยบางคนแปลกหน้า ล้วนมีสีหน้าเยาะเย้ยซ้ำเติมนาง ดูเหมือนนางกำลังจะดวงซวยอย่างไรอย่างนั้น
ซุนเต๋อลี่และผู้ติดตามอีกสองคนที่เดิมทีถูกนางสั่งลงโทษให้แทะเมล็ดแตงอยู่ด้านนอกประตู ยามนี้ยืนอยู่ตรงกลางของคนกลุ่มนี้ สายตาเคียดแค้นนั้นมองมาทางนางราวกับรอดูละครฉากดีๆ ของนางอยู่
ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือ นางไม่เห็นคนในตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว คนทั้งหมดล้วนเป็คนนอก
นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้น
เสียงร้องเตือนดังขึ้นในใจนาง
ชิวหมัวหมัวผู้เป็หมัวมัวคนสนิทของไทเฮาเดินออกมาจากตำหนักบรรทมในยามนี้ เมื่อเดินมาหยุดเบื้องหน้านาง ชิวหมัวมัวพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแค่ปาก “ฮองเฮาเหนียง ไทเฮาเชิญเพคะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนเดินเข้าไปในตำหนักบรรทมตามการนำทางของชิวหมัวมัว ภายในตำหนักบรรทมมีคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ทั้งหมดล้วนเป็นางกำนัลของตำหนักเว่ยยาง กระทั่งจื่อซูที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็คุกเข่าหายใจรวยรินรวมอยู่ในนั้นด้วย
เห็นเช่นนั้น เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้วมุ่น
มองขึ้นไปอีก เห็นไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้หงส์ องค์หญิงหลานซินและฉีเหม่ยเหรินยืนขนาบอยู่สองข้าง ลำดับต่อมาเป็นางกำนัลและหมัวมัว ทุกอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยและดูยิ่งใหญ่อลังการ
เห็นนางเข้ามา สายตาของทุกคนล้วนมองมาทางนาง!
สายตานั้นราวกับธนู!
ชิงเหอกูกูและนางกำนัลทั้งหมดของตำหนักเว่ยยางเห็นนางปรากฏตัวเสมือนเห็นดาวช่วยชีวิต ต่างร้องเรียกนางด้วยความตื้นตันใจ
“เหนียงเหนียง ช่วยพวกเราด้วยเพคะ!”
“เหนียงเหนียง พวกเราถูกใส่ร้ายเพคะ”
“เหนียงเหนียง ช่วยด้วยเพคะ!”
เพล้ง!
ถ้วยน้ำชาใบหนึ่งลอยลงมากระแทกพื้น!
แตกกระจายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ต่อมาก็คือเสียงตวาดเปี่ยมอำนาจของไทเฮา “หุบปากให้หมด! คิดว่าที่นี่เป็ตลาดสดหรือไร”
นางกำนัลทั้งหมดตื่นตระหนก ก้มหน้าเงียบด้วยความหวาดกลัว
ไทเฮาละเลื่อนสายตามาทางเฟิ่งเฉี่ยน สายตานั้นเยียบเย็นสุดขั้ว “ฮองเฮา เ้ารู้หรือไม่ว่ามีความผิดอะไร”
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้ว งงงัน
นางยังไม่รู้เลยว่าเกิดเื่อะไรขึ้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามีความผิดอะไร
นางยอบกายลงกล่าวว่า “เสด็จแม่ เกิดเื่อะไรกันแน่เพคะ”
ไม่รอให้ไทเฮาเอ่ยปาก ฉีเหม่ยเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างไทเฮาเป็ฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ฮองเฮา ท่านไม่ต้องเสแสร้งอีกแล้ว! เื่ที่ท่านให้คนของเ้าไปทำนั้น ไทเฮาทรงรู้เื่หมดแล้ว”
เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตาเยียบเย็นไปทางนางแล้วถามขึ้นว่า “เ้าเป็ใครกัน”
ฉีเหม่ยเหรินตะลึงงัน สีหน้าไม่ค่อยน่าดูนัก พูดทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฮองเฮาช่างลืมเก่งนัก หม่อมฉันคือฉีเหม่ยเหริน เมื่อวานยังไปขอเข้าเฝ้าฮองเฮา ท่านช่างลืมเร็วเหลือเกิน”
เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้ากระจ่างแจ้งทันที นางจงใจลากเสียงให้ยาวขึ้น “อ๋อ...เ้าก็คือฉีเหม่ยเหรินที่อนุญาตให้คนของเ้ามาก่อเื่ที่ตำหนักเว่ยยางของเข้า ข้าได้ยินว่าเ้าปฏิบัติต่อคนของตัวเองอย่างเหี้ยมโหด ที่ฆ่าตัวตายก็ฆ่าตัวตายไป ที่เสียสติก็เสียสติไป ที่หนีก็หนีไป สุดท้ายไม่มีใครยินยอมปรนนิบัติเ้า จึงได้แต่มาแย่งคนจากตำหนักเว่ยยางของข้าหรือ”
นางพูดหมดในรวดเดียว ทั้งยังไม่หอบ ทำให้ฉีเหม่ยเหรินโกรธจนจมูกเบี้ยว
“ท่าน ท่าน...”
นางพูดท่านอีกหลายคำ โมโหจนไม่อาจพูดคำอื่นออกมาได้
องค์หญิงหลานซินลอบถลึงตาใส่นาง ช่างไร้ประโยชน์ แค่คำพูดสองสามประโยคก็ถูกฮองเฮาอุดปากเสียแล้ว เวลาสำคัญยังคงต้องเป็ตัวเองที่ออกโรงเอง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากทั้งแย้มยิ้มว่า “พี่สาว ความบาดหมางระหว่างท่านกับฉีเหม่ยเหรินนั้นพวกเราพักเอาไว้ก่อน ยามนี้เื่ของไทเฮาเป็เื่สำคัญที่สุด”
เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตาเ็ามองนางปราดหนึ่งเช่นกันแลพพูดออกมาว่า “เ้าเป็ใครอีก”
รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงหลานซินแข็งค้าง มาไม้ไหนอีก ต่อให้นางฝึกฝนตัวเองมาดีกว่านี้ เมื่อต้องมาพบกับนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้ก็ทำให้นางโมโหเช่นกัน
ไทเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ตำหนิว่า “ฮองเฮา เ้าอย่าได้เสแสร้งแกล้งเสียสติที่นี่เลย องค์หญิงหลานซินกำลังถามเ้าแทนอายเจีย หากเ้ายังก่อความวุ่นวายอีกละก็ อายเจียจะ...”
ไม่รอให้ไทเฮาพูดจบ เฟิ่งเฉี่ยนก็พูดขัดขึ้นว่า “อ๋อ...ที่แท้ก็คือองค์หญิงหลานซิน นั่นก็เป็อนุคนหนึ่งนี่ กฎเกณฑ์ในวังเปลี่ยนแปลงั้แ่เมื่อใด อนุพบหน้าฮองเฮาไม่ต้องคารวะตามมารยาทแล้วหรือ”
องค์หญิงหลานซินหน้าขาวขบฟันแน่น ยอบกายถวายพระพรอย่างไม่เต็มใจ “หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ”
เพิ่งจะคิดลุกขึ้น เฟิ่งเฉี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็น สายตาคมปลาบนั้นกวาดไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง “กฎเกณฑ์ในตำหนักในเปลี่ยนไปตามอำเภอใจเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน ชายารอง เหม่ยเหริน นางกำนัล หมัวมัว ขันที องครักษ์แต่ละคน ล้วนยืน นั่งเสมอกับเปิ่นกง”
ชั่วพริบตาภายในตำหนักบรรทมเกิดลมขึ้นวูบหนึ่ง พัดเสียจนหนาวเหน็บไปถึงหัวใจ ทุกคนล้วนกำลังทำาเย็น เ้ามองข้า ข้ามองเ้า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี