Chapter 26
“ไม่เจ็บเหรอ”
“ไม่ครับ”
รอยแดงบนนิ้วของแซ็กคารีคือหลักฐานของความเ็ป ขัดแย้งกับคำโกหกด้วยวาจา แม้ซาตานร่างกายแข็งแกร่งกำยำ แต่ยังคงมีความรู้สึก และรู้จักความเ็ป โจไซอาจึงมั่นใจว่าแซ็กคารีโกหกเขา
ริมฝีปากสีซีดไล่จุมพิตตามรอยแดงเพื่อช่วยรักษาอย่างตั้งใจ โจไซอามองฝ่ามือใหญ่และอบอุ่นให้แน่ใจว่ารอยแดงจากการััน้ำตาเทพหายไปหมดแล้ว จึงยอมปล่อยมือแซ็กคารี
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็ไร”
โจไซอากอดกายผ่ายผอมของตัวเอง เริ่มหนาวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง แซ็กคารีจึงละทิ้งความสงสัยเอาไว้ข้างหลัง
‘เป็ความผิดฉันเอง…’
จนถึงตอนนี้แซ็กคารีเชื่อแล้วว่าโจไซอาต้องมีบางอย่างข้องเกี่ยวกับเอเดน กริฟฟิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเื่อะไร และหากเป็คนรักอย่างที่โจไซอาเอ่ย ทำไมความรู้สึกนั้นจึงไม่หลงเหลืออยู่ในหัวใจแซ็กคารีเลย
ซาตานหนุ่มทำทุกอย่างเช่นเดิม ทั้งเติมฟืนในเตาผิงให้ลุกไหม้มอบความอบอุ่น ทั้งต้มน้ำเดือดใส่ในถุงร้อนให้โจไซอากอด แต่ความหนาวเหน็บจนตัวสั่นยังไม่ลดน้อยลง เทพอ่อนแอเกินไปสำหรับโลกมนุษย์ หรือสำหรับโลกของเทพก็ตาม ไม่ว่าโจไซอาอยู่ที่ไหน อาการของโรครักระทมก็จะกำเริบขึ้นมาอยู่ดี
“ไม่อุ่นขึ้นเลยเหรอครับ” โจไซอาไม่ตอบเพราะไม่ได้สติ ร่างผอมนอนขดตัวใต้ผ้าห่มหลายผืนบนเตียง หลับตาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน เพื่ออดทนต่อความเ็ปที่วิ่งวนเล่นตามกระดูก
แซ็กคารีร้อนรนยิ่งกว่าเดิมเมื่อโจไซอาไม่ตอบเขา ซาตานหนุ่มจึงหาผ้ามาปูบนพื้นพรมหน้าเตาผิงเพิ่ม แล้วเดินไปหาเทพร่างผอมบนเตียง เขายืนกำมือแน่นด้วยความลังเลอยู่สักพัก ใบหน้าแสดงความเ็ปของโจไซอาทำลายกำแพงสูงในหัวใจซาตาน ให้แซ็กคารีเลือกช่วยเหลือโจไซอาก่อนสิ่งอื่น
เขาอุ้มเทพร่างผอมตัวเบาหวิวแนบอก ค่อย ๆ วางลงพื้นพรมหน้าเตาผิง ให้โจไซอานั่งพิงหลังกับปลายเตียงทำจากโครงเหล็ก แสงไฟจากเปลวเพลิงวูบไหวสะท้อนบนใบหน้าสีซีด โจไซอาแทบไม่ดีขึ้น และไม่ต่างจากตอนที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ
แซ็กคารีถูฝ่ามือสองข้างของตนเองเข้าด้วยกันเพื่อให้อุ่นขึ้น ค่อย ๆ แตะลงบนผิวสีซีดข้างแก้มโจไซอา ได้ััผิวกายเย็นเฉียบราวน้ำแข็งคล้ายร่างไร้ชีพ เมื่อโจไซอารู้สึกถึงความอุ่นแนบข้างแก้มก็เอียงคอเข้าหา ร่างกายแสนบอบบางพยายามขยับหาความอบอุ่นราวพืชยื่นกิ่งก้านหาแสงอาทิตย์เพื่อชีวิตรอด
ผิวกายของซาตานอุ่นอยู่เสมอ คือสิ่งที่แซ็กคารีรู้ดี แต่หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้โจไซอา และไว้ตัวอยู่ตลอดด้วยความสับสนกับถ้อยคำเชื่อถือไม่ได้ ไม่น่าไว้ใจของเทพ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้โจไซอาดีขึ้นเว้นแต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้ร่างกายตนเองโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้
ครั้งนี้มาถึงจุดที่อาการโจไซอาหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนการนั่งใกล้เตาผิงก็ไม่มีความหมาย รู้ตัวอีกที แขนสองข้างของแซ็กคารีก็โอบกอดโจไซอาแนบอก ใช้ร่างกายของตนเองเป็ที่พักพิงให้เทพร่างผอมทิ้งน้ำหนักเบาหวิวเข้าหา ปลายคางของซาตานแตะัักับหน้าผากเย็นเฉียบของเทพ เพียงแค่ก้มหน้ามองเทพในอ้อมอก ริมฝีปากของเขาก็แตะััโจไซอาอย่างไม่ตั้งใจจนต้องเงยหน้าหนี
หัวใจของซาตานเต้นรุนแรงชัดเจนอยู่ภายในอก บีบตัวและคลายออกรัวเร็วกระแทกกับผิวกายที่ขยับตามราวประท้วงจะทะลุออกมาเต้นภายนอกให้ได้ ไม่ใช่เพราะความกังวลกับอาการป่วยรุนแรงของโจไซอา ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นใด ๆ
แซ็กคารีรับรู้ว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงถึงเพียงนี้เพราะความรู้สึกอย่างอื่น ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาอีกเลยเมื่อเกิดใหม่เป็ซาตาน
เสียงครางในคอแ่เบาจากความทรมานเป็ระยะ หัวใจของเทพผู้เป็โรครักระทมบีบตัวรุนแรงไม่คลายออก กระจายความเ็ปไปทั่วอณูของร่างกายไม่เว้นแม้แต่ปลายมือปลายเท้า ยิ่งหนาวก็ยิ่งเย็นเฉียบไปถึงกระดูก เ็ปทุกครั้งที่ขยับ โจไซอายังคงตัวสั่นในอ้อมกอดอุ่นของซาตาน
เทพพยายามซบแก้มเข้าหาผิวเนื้ออุ่นร้อนบริเวณซอกคอของแซ็กคารี ซาตานได้กลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวลอยเข้าจมูกเมื่อร่างผอมในอ้อมกอดขยับ ริมฝีปากของเขาััหน้าผากโจไซอาอย่างไม่ตั้งใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แซ็กคารีไม่รีบผละหนี เขาโอบกอดแน่นขึ้น
เพียงแขนสองข้างของเขาคงไม่สามารถมอบความอบอุ่นให้โจไซอาได้มากพอ ซาตานในร่างมนุษย์จึงสยายปีกใหญ่สีขาวนวล สะบัดเบา ๆ แล้วจึงโอบกอดร่างผ่ายผอมของเทพอีกหนึ่งชั้น แขนก็กระชับกอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนโจไซอาขึ้นมานั่งอยู่บนตักของแซ็กคารีในที่สุด
ร่างกายที่สั่นเพราะความหนาวเย็นค่อย ๆ สงบนิ่ง ผิวแก้มโจไซอาอิงแอบแนบชิดลำคอแซ็กคารี เสียงครางในลำคอจากความเ็ปก็เริ่มเงียบลงเช่นเดียวกัน
มือใหญ่ที่โอบกอดโจไซอายกขึ้นััข้างแก้ม ผิวกายเย็นเฉียบราวน้ำแข็งอุ่นขึ้นแล้ว เมื่อก้มหน้ามองก็ได้เห็นใบหน้าของโจไซอาหลับสนิทและนิ่งไป เรียวคิ้วที่ขมวดแน่นเมื่อครู่คลายออก ดูผ่อนคลายลงมาก
นิ้วโป้งเกลี่ยข้างแก้มโจไซอาอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สีขาวชัดเจนที่สุดในขณะนี้ แต่กลับสร้างความโหยหาอยากได้รับมันเพิ่มไม่รู้จักพอ ปลายจมูกทู่มนกดที่กลุ่มผมสีทองหม่น สูดหายใจเข้าดมกลิ่นหอม ๆ จากเทพโจไซอา ที่ดึงรั้งมุมปากสองข้างของแซ็กคารีให้ยกยิ้มขึ้นโดยที่เ้าของไม่สังเกต
แสงอาทิตย์จากเช้าวันใหม่สาดส่องสวนขนาดกว้างขวางในเขตคฤหาสน์กริฟฟิน น้ำแข็งที่เกาะตามกิ่งก้านต้นไม้ไร้ใบกลายเป็หยาดน้ำเรียงรายแวววาวเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ราวอัญมณี แสงเริ่มสาดส่องถึงกระท่อมหลังเล็กที่ยังคงมีควันสีเทาอ่อนลอยออกจากปล่องไฟ
ไฟในเตาผิงใกล้มอดดับ เหลือเพียงเปลวไฟเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มอบความอบอุ่นให้ภายในกระท่อม แต่มันไม่มีประโยชน์อีกแล้วเมื่อแซ็กคารีใช้ปีกของตนเองห่อหุ้มร่างกายโจไซอา พร้อมกับมอบร่างกายเพื่อให้ความอบอุ่นแด่เทพร่างผ่ายผอมตลอดทั้งคืน แล้วยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเป็เบาะนอนอันอบอุ่นที่สุดของโจไซอา
เทพขยับตัวเพียงเล็กน้อย ซาตานที่นั่งหลับคอพับก็ลืมตาอย่างง่ายดาย ภาพที่เห็นเป็อย่างแรกยังคงเป็เทพร่างผอมที่ขดตัวในอ้อมแขนของเขาทั้งคืน และกำลังพยายามยืดแขนขาออกมา แซ็กคารีจึงกางปีกที่ห่อหุ้มอีกฝ่าย เก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ร่างของมนุษย์อีกครั้ง
โจไซอาค่อย ๆ ลืมตา กะพริบถี่หลายครั้งจนมองเห็นว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของซาตานผู้เป็ที่รัก และสาเหตุที่เขาสามารถผ่านพ้นคืนที่หนาวที่สุดในโลกมนุษย์มาได้เป็เพราะอ้อมกอดนี้
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบมองดวงตาสีเฮเซลอยู่นาน จ้องมองลึกค้นหาความรู้สึกที่อยู่ภายในของกันและกัน แซ็กคารีรับรู้ความรักมากมายมหาศาลจากโจไซอาโดยไม่ต้องอาศัยการตีความเพราะมันชัดเจนที่สุด แต่โจไซอากลับมองเห็นเพียงความสับสนและหลายล้านความรู้สึกจนยากจะคาดเดา
แซ็กคารีเป็ฝ่ายหลบตาก่อน เขาค่อย ๆ พยุงเทพโจไซอาให้ลุกขึ้น เขาไม่รีบร้อนถอยหลังออกห่างสักหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะอย่างเคย แต่ยังคงยืนอยู่ใกล้ชิด คอยประคองเทพร่างผอมไม่ห่าง โดยที่โจไซอาทิ้งน้ำหนักร่างกายเอนเอียงไปทางซาตานเสมอ
“ขอบใจมากนะ” ซาตานโค้งศีรษะตอบด้วยความเคารพ
“เธออยากไปที่ที่หนึ่งกับฉันหรือเปล่า” โจไซอารีบเอ่ยถามเมื่อร่างกายฟื้นฟูจนดีขึ้นมากก่อนจะแย่ลงอีกครั้ง เพราะนี่คือเหตุผลที่แท้จริง ซึ่งพาเขามาหาแซ็กคารีถึงโลกมนุษย์
“ที่ไหนเหรอครับ” แซ็กคารีสงสัย ไร้แววความกังวลหรือเกรงกลัวว่าโจไซอาอาจพาไปในที่ที่อันตราย
“ที่ที่เอเดนเคยไป และเป็ที่ที่มีแค่เรา ไปกับฉันได้ไหม” เขาขอร้องอ้อนวอนให้แซ็กคารีตอบตกลง เพราะการออกตามหาบ้านพักคนชราคามีเลียครั้งก่อนทำให้โจไซอารู้ว่าซาตานหนุ่มตนนี้ยึดติดกับอดีตชาติมากกว่าที่เขาคิด การมอบข้อเสนอที่เกี่ยวเนื่องกับชาติก่อนย่อมทำให้แซ็กคารีตกลง
“ผมต้อง… ทำงานที่ร้านแซนด์วิช” เทพขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจเมื่อพูดถึงการทำงานแลกเงินน้อยนิด
“เธอทำงานทำไม ฉันไม่เข้าใจ”
“ผมต้องใช้เงินของมนุษย์ครับ เพื่อช่วยครอบครัวกริฟฟิน พวกเขาลำบากเพราะผม”
โจไซอาถอนหายใจเสียงแ่ รู้สึกแย่ที่อีกฝ่ายยังคงคิดว่าตนเองเป็ผู้นำความโชคร้ายมาหาตระกูลกริฟฟิน มือผ่ายผอมจับมือใหญ่ บีบความอบอุ่นที่คอยโอบกอดเขาตลอดทั้งคืนและเงยหน้าสบตาด้วยแววตาของความหนักแน่น
“ลาออกจากที่ร้านนั่นเถอะ ฉันจะให้เงินเธอเอง”
“ไม่ครับ—”
“ไม่ได้ให้เฉย ๆ แต่ให้เพราะตอบแทนที่เธอช่วยดูแลฉัน ฉันจะจ่ายเป็เงินของมนุษย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เธอขอ”
“ผมไม่ได้ทำเพื่อหวังอะไรจากท่านโจไซอาเลยนะครับ”
“ฉันรู้ ฉันรู้ งั้นต่อไปนี้ฉันจ้างให้เธอมาดูแลฉันแล้วกัน” แซ็กคารีถอนหายใจ ทำหน้าคิดหนัก
“ตกลงไหมแซ็ก”
“ครับ ตกลง”
คำตอบเรียกรอยยิ้มสวยผลิแย้มบนใบหน้าเทพโจไซอา แซ็กคารีมองเห็นความงดงามของดอกไม้ผลิบานกลางฤดูหนาวตรงหน้าพาให้ใจเต้นแรงประท้วงจะทะลุออกมาด้านนอก ให้โจไซอาเห็นว่าเพียงแค่รอยยิ้มก็ส่งผลต่อความรู้สึกแซ็กคารีเพียงใด แต่เ้าของกลบทับความรู้สึกเอาไว้ด้วยการหลบตา และก้าวเท้าถอยหลัง
งานแรกของแซ็กคารีหลังเริ่มทำงานเป็ผู้ดูแลประจำตัวเทพโจไซอา คือการติดตามเทพไปในที่ที่โจไซอาเอ่ยว่าแซ็กคารีเคยไปเมื่อชาติก่อนในร่างของเอเดน กริฟฟิน แต่ก่อนจะไปที่นั่น ทั้งคู่ต้องกลับมาที่ร้านแซนด์วิชด้านในกำแพงสูงเสียก่อน เพราะการหายหน้าหายตาไปจากร้านอาจทำให้คุณลุงผู้จัดการไปแจ้งตำรวจให้ตามหาคนหาย และอาจกลายเป็เื่ใหญ่
โจไซอานั่งรอแซ็กคารีที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ตัวเดิมระหว่างที่แซ็กคารีกำลังยื่นจดหมายลาออก ชายร่างสูงกำยำเดินออกมาจากหลังร้านในเวลาไม่นานด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง โจไซอาจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปหา แซ็กคารียื่นแขนข้างหนึ่งให้โจไซอาจับเอาไว้ระหว่างเดินทันที
“เราจะไปที่ไหนกันต่อเหรอครับ”
“เราต้องเดินทางไกล ถ้าหายตัวจะถึงเร็ว เธอหามุมอับที่ไม่มีใครมองเห็นให้ได้หรือเปล่า”
ทั้งสองเดินควงแขนกันออกมานอกร้านแซนด์วิชใกล้ชายแดนทางออกนอกกำแพง ทำตัวให้กลมกลืนอยู่ในหมู่มนุษย์ ในเวลาเที่ยงตรงมีพนักงานจากโรงงานผลิตเสื้อผ้าข้างกันกำลังออกมาตามหามื้อกลางวันอยู่จำนวนหนึ่ง โจไซอาจึงพูดเสียงเบากระซิบข้างหูแซ็กคารี
“ได้ครับ แต่ว่า…”
“แต่อะไร”
“ท่านโจไซอาจะหายตัวได้เหรอครับ ครั้งก่อนท่านพาผม—” เสียงแซ็กคารีขาดหายเพราะัับีบแน่นที่แขนด้วยฝีมือโจไซอา
“เรียกฉันแบบนั้น ไม่กลัวมนุษย์สงสัยหรือไง” แซ็กคารีเม้มปาก กวาดตามองมนุษย์รอบข้างและเห็นพวกเขาเดินผ่านไปมาสนใจเพียงแต่เื่ของตัวเองมากกว่าพวกเขาทั้งสอง
“เรียกฉันว่าโจสิ เหมือนเมื่อก่อน”
แซ็กคารีไม่มีความทรงจำว่าเคยเรียกเทพโจไซอาว่าโจมาก่อน ซาตานต่ำต้อยเรียกเทพด้วยชื่อย่อเช่นนั้นถือเป็เื่ผิดมหันต์ ยิ่งกับเทพผู้เป็บุตรของประมุขเทพแล้ว ซาตานอย่างเขายิ่งไม่มีสิทธิ์แม้จะเป็ลูกของาาเผ่า เขาจึงโค้งศีรษะนอบน้อมไม่พูดอะไรต่อ แล้วพาเทพโจไซอาเดินทางไปมุมหนึ่งของกำแพงสูงที่เขาเคยใช้กลายร่างเป็ซาตาน
ครั้งนี้โจไซอาพาแซ็กคารีหายตัวและปรากฏกายถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ด้วยความอบอุ่นที่โอบกอดมาตลอดทั้งคืนจนอาการของโรครักระทมบรรเทาลงมากพอให้เขาได้ใช้พลังของเทพ ดวงตาแซ็กคารีเป็ประกายสงสัยเมื่อมองสอดส่องที่หมายที่มีผู้คนกำลังเตรียมสัมภาระใส่เรือยนต์หรูที่ท่าเรือ
แซ็กคารีหันมองโจไซอาสลับกับผู้คนที่กำลังยกของใส่เรืออย่างขยันขันแข็งราวไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะมนุษย์ไม่ออกนอกกำแพงมานานแล้ว การเห็นผู้คนที่ท่าเรือกับน้ำทะเลสีใส และสายลมพากลิ่นคลื่นมาทักทายจึงกลายเป็เื่แปลก
“พวกเขาเป็ภูตต้นไม้” โจไซอาตอบราวสามารถอ่านคำถามในใจแซ็กคารีได้
“พวกเขาขนอะไรอยู่เหรอครับ”
“ของที่เราต้องใช้ที่บ้านพักน่ะ” เทพปล่อยมือที่ควงแขนซาตาน เดินนำไปหาเหล่าภูตต้นไม้ที่กลายมาเป็บริวารของประมุขเทพ และคอยดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของประมุขเทพด้วย
“ท่านเทพโจไซอา” เหล่าภูตโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ที่บ้านเป็ไงบ้าง”
“กำลังทำความสะอาดอยู่ครับ”
“ขอบใจนะ” โจไซอาหันหลังสบตาซาตานหนุ่ม
“นี่คือแซ็กคารี เป็ซาตาน เขาจะดูแลฉันเอง งานเสร็จแล้วพวกเธอกลับได้เลย ไม่ต้องเป็ห่วง”
“ครับท่านเทพ”
เหล่าภูตบริวารผายมือให้โจไซอาเดินขึ้นเรือ แซ็กคารีจึงเดินไปก่อนและคอยจับมือรับอีกฝ่าย เกิดภาพซ้อนทับในความทรงจำของโจไซอากับเมื่อ 99 ปีก่อน และน่าเสียดายที่โจไซอาจดจำมันได้เพียงฝ่ายเดียว แต่แซ็กคารีในยามนี้เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น
อากาศที่นี่อุ่นกว่ามากแม้จะมีลมทะเลพัดพาตลอดเวลา แต่สำหรับซาตานที่ไม่สะทกสะท้านกับสภาพอากาศเท่าไรนักจึงค่อนข้างร้อน แซ็กคารีถอดเสื้อโค้ตเก่า ๆ ตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อยืดแขนยาวบาง ๆ สีน้ำเงินเข้มหม่นซีดพอดีตัว โจไซอาอยากถอดเสื้อโค้ตออกบ้าง แต่อากาศหนาวเกินไปสำหรับเทพอย่างเขา
ทั้งสองนั่งในห้องด้านในเรือ มีหน้าต่างสีใสให้มองเห็นบรรยากาศด้านนอก ในห้องนี้อุ่นไม่มีลมทะเลหนาวเย็น โจไซอาจึงยิ้มร่าแม้มีความเ็ปรบกวนอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้ภูตต้นไม้เป็ผู้ขับเรือไปส่งทั้งคู่ที่เกาะส่วนตัว
“ใกล้ถึงแล้ว มาดูสิ” โจไซอาเอ่ยเมื่อเห็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล เขากวักมือเรียกซาตานหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างสูงกำยำผู้ใคร่รู้เดินเข้ามาหาเพื่อมองตามเรียวนิ้วของเทพที่ชี้บอกทันที
“เกาะนั้นเหรอครับ”
“ใช่ ท่านพ่อให้ฉันเป็ของขวัญอายุ 99 ปี” แซ็กคารีพยักหน้า และนั่งลงข้างกับเทพ ไม่กลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่เดิม
“อยากลองขึ้นไปชั้นบนเรือไหมแซ็ก ฉันพาไป”
“ไม่ครับ เดี๋ยวท่านโจไซอาจะหนาว”
เหตุผลในการปฏิเสธเรียกรอยยิ้มของโจไซอา เทพจึงไม่เถียงอะไรต่อ และมองฟองคลื่นที่กระทบกับท้องเรือด้านนอกหน้าต่าง กับเกาะของเขาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระยะทางลดน้อยลงทีละนิด
ที่บ้านพักในเกาะส่วนตัวยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสถานที่ใดที่เทพผูกพันจะมีอายุยืนยาวมากกว่าเดิม โครงสร้างของมันจึงยังคงแข็งแรงไม่เปลี่ยน เช่นเดียวกับบ้านพักคนชราคามีเลียที่อายุมากกว่าร้อยปีแต่ไม่พังทลายเหมือนสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ
แต่ฝุ่นหนาและความสกปรกทำให้ต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่ โจไซอาไม่ได้มาที่นี่เลยตลอด 99 ปี เหล่าภูตบริวารจึงยังทำความสะอาดไม่เสร็จเมื่อทั้งสองมาถึงบ้านพัก ซาตานนั่งรออยู่ในห้องเงียบ ๆ ไร้การพูดคุยเพราะมีภูตบริวารอยู่มากแซ็กคารีจึงไม่กล้าพูดอะไร ภูตอีกส่วนหนึ่งที่นั่งเรือมาพร้อมกันก็กำลังขนของลงจากเรือเข้ามาในบ้านพัก
แซ็กคารีแอบมองพวกเขาขนของ จะเข้าไปช่วยแต่พวกภูตกลับส่ายหน้าระรัวปฏิเสธ ของพวกนั้นมีแต่อาหารจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็เนื้อสัตว์ พวกเขาเรียงอัดแน่นเต็มตู้เย็นที่ยังคงทำงานอยู่ เกาะแห่งนี้มีไฟฟ้าและไม่ถูกตัดเหมือนพื้นที่นอกกำแพงอื่น ๆ
แซ็กคารีไม่ชอบการอยู่ท่ามกลางภูตบริวารที่ตนไม่รู้จักมากมาย จึงขอออกมาเดินสำรวจรอบ ๆ เกาะ ซึ่งโจไซอาพยักหน้าอนุญาตด้วยรอยยิ้ม แต่แซ็กคารีไม่ได้ไปไหนไกลนอกจากเดินสำรวจรอบบ้านด้านนอก เพราะกลัวว่าถ้าโจไซอาเรียกหาแล้วจะไม่ได้ยิน
บ้านหลังนี้สวยและอบอุ่นน่าอยู่ เพียงแค่มองก็ตกหลุมรักมัน รอบนอกเป็ต้นไม้ มีเสียงคลื่นและกลิ่นทะเลโชยมาตลอดเวลา สงบเงียบ ชวนให้ผ่อนคลาย ความสับสนกลัดกลุ้มใจและความเศร้าโศกของแซ็กคารีค่อย ๆ จางลงเมื่อยืนสูดอากาศนิ่ง ๆ
“แซ็ก แซ็กคารี”
เสียงหวานใสดังมาจากด้านในบ้าน ซาตานหนุ่มจึงรีบเดินกลับเข้าไปโดยใช้ประตูฝั่งริมชายหาด และได้เห็นเทพโจไซอานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยยังมีเหล่าภูตบริวารหลายตนเดินวนเวียนอยู่ในครัวดูวุ่นวาย ตอนนี้ใบหน้าซีดเซียวของโจไซอาแลดูสดใสขึ้น เสียงหวานไม่แหบแห้งอ่อนแรง
“ครับ ท่านโจไซอา”
“หิวหรือเปล่า ภูตกำลังทำอาหารให้เธอ” แซ็กคารีนั่งลงข้างเทพโจไซอาที่โซฟา หันมองครัวที่เหล่าภูตกำลังเตรียมอาหารอย่างขะมักเขม้น ได้กลิ่นหอม ๆ ของเนื้อชวนให้ท้องร้องจนไม่อยากปฏิเสธ
“ขอบคุณครับท่าน”
กว่าเหล่าภูตจะกลับไปจนหมดก็ตอนที่แซ็กคารีจัดการอาหารมื้อใหญ่จนโจไซอาใเรียบร้อย เทพไม่รู้มาก่อนว่ามื้อหนึ่งของซาตานต้องกินปริมาณมากถึงเพียงนี้ราวกับแซ็กคารีกินวัวหนึ่งตัวเข้าไปเป็หนึ่งมื้อ เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่เหล่าภูตขนอาหารมาให้มากมาย
ท่าทีของแซ็กคารีดูผ่อนคลาย ลดความไว้ตัวเว้นระยะห่างจากเดิมมาก เสี้ยววินาทีหนึ่งโจไซอาเผลอคิดว่ากำลังย้อนอดีตไปเมื่อ 99 ปีที่แล้ว แต่มีผมสีขาวซีดเป็ประกายกับเสียงทุ้มที่เรียกเขาว่าท่านโจไซอาอย่างเคารพคอยย้ำเตือน
เมื่อเกาะแห่งนี้กลายเป็ที่ที่มีแต่ทั้งสองอย่างแท้จริง แซ็กคารีก็ผ่อนคลายมากกว่าเดิม ยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีและวาดภาพศิลปะชิ้นใหญ่บนท้องฟ้าสะท้อนกับพื้นน้ำทะเล โจไซอาคว้าผ้าห่มมาห่อตัวเอาไว้เพื่อเดินออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก โดยมีซาตานหนุ่มเดินตามหลังด้วยดวงตาเป็ประกายตื่นเต้น
แซ็กคารีไม่แตกต่างจากเอเดน กริฟฟินเลย แซ็กคารีคือเอเดน กริฟฟินและไม่มีทางแยกออกจากกันได้ อีกฝ่ายยังคงตาลุกวาวมีความสุขกับเื่ที่โจไซอามองว่าไร้ค่าอย่างภาพพระอาทิตย์ตก อีกฝ่ายยังคงแสดงท่าทางตื่นเต้นเมื่อเท้าเปลือยเปล่าได้ััพื้นทรายเนียนละเอียด
“ท่านโจไซอา ผมขอบินขึ้นไปได้ไหมครับ”
“ได้สิ ตามสบายเลย”
เมื่อได้รับคำอนุญาต แซ็กคารีก็ไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขตัวโตตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นทะเล สีผิวของแซ็กคารีเริ่มเปลี่ยนเป็สีขาว เขาสองข้างงอกจากศีรษะ ร่างกายสูงใหญ่ขึ้น และสยายปีกใหญ่งดงามของตนเอง โจไซอามองซาตานหนุ่มบินขึ้นฟ้าด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
แซ็กคารีเหมาะกับปีกคู่นั้นที่อยู่บนสะบักมากกว่าสิ่งใด โจไซอาตระหนักถึงข้อนี้ได้ขณะที่มองแซ็กคารีบินวนบนท้องฟ้าท้าทายลมทะเล ร่อนต่ำลงััผิวน้ำ และบินสูงขึ้นอีกจนเห็นเป็เงาดำของซาตานตัดกับท้องฟ้าสีส้ม ว่องไวราวกับสายลม
สิ่งที่เอเดน กริฟฟิน้ามาตลอดคืออิสระ ในชาตินี้เขาจึงได้รับปีกใหญ่แข็งแรงสองข้าง ที่พาเขาโบยบินอย่างที่ใจ้า
แซ็กคารีบินขึ้นสูง และหยุดนิ่งกลางอากาศ กระพือปีกรักษาระดับให้ร่างกายอยู่ที่เดิม ดวงตาจ้องมองดวงอาทิตย์สีส้มที่ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็สีเดียวกัน ความทรงจำแล่นเข้ามาในสมองของเขาเป็ภาพเลือนรางแต่แม่นยำ ว่าเขาเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
หากเป็ภาพเลือนราง หมายความว่ามันคือความทรงจำจากความฝัน ซาตานจดจำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความฝัน จำได้แม้กระทั่งว่าฝันเมื่อไร
แต่ครั้งนี้แซ็กคารีกลับหาคำตอบไม่ได้ว่าความฝันนี้เกิดขึ้นเมื่อไร เขามั่นใจว่าต้องเป็ความฝันของเอเดน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามาจากตอนไหน ยิ่งค้นหาความทรงจำมหาศาลก็พบแต่สีดำมืดเลือนราง
และถึงค้นหาอย่างไร ซาตานนามว่าแซ็กคารีก็ไม่มีวันรู้คำตอบ เพราะเื่ราวเ่าั้อยู่ในบ่อแห่งความทรงจำแล้ว
เมื่อเทพไม่สามารถนอนหลับฝันได้อย่างมนุษย์ เทพจึงเข้าไม่ถึงความฝันยามหลับของมนุษย์เช่นกัน เทพแห่งความทรงจำไม่สามารถเอาความทรงจำจากความฝันของเอเดน กริฟฟินออกมาได้ ภาพนั้นจึงยังเลือนรางอยู่ในหัวของแซ็กคารีอยู่ แซ็กคารีไม่อาจรู้ว่าความฝันนี้เกิดขึ้นเมื่อไร
แต่ความผูกพันและคุ้นเคยกับเกาะแห่งนี้ จะยิ่งฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงขอบฟ้าและขอบทะเลจนมองเห็นแค่ครึ่งดวง แซ็กคารีร่อนต่ำลง ร่างกายหดเล็ก ผิวกายเปลี่ยนสี เขากับปีกหายไปกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ และยืนในน้ำทะเลที่สูงถึงเอว น้ำเย็นเฉียบแต่ซาตานไม่สะทกสะท้าน มือใหญ่สองข้างััน้ำพร้อมรอยยิ้ม
แซ็กคารีหันหลังมองชายฝั่ง เทพโจไซอายืนกอดอกมองเขาอยู่ เขาเห็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้าซีดเซียว ความสบายใจและความสุขคละคลุ้งในที่ที่มีแค่ทั้งสองดึงรั้งมุมปากสองข้างของแซ็กคารี เขากำลังยิ้มให้โจไซอาด้วยความสุขจากใจจริง
ขณะที่โจไซอารู้สึกราวย้อนเวลากลับไปได้
‘มองจากตรงนี้เหมือนผมสามารถคว้าดวงอาทิตย์ได้’
‘ฮ่า ๆๆ ไวน์แค่ค่อนแก้วก็ทำให้เธอเมาแล้วเหรอเอเดน’
‘ฮ่า ๆๆๆ ผมพูดจริงนะ’
‘ยังไงล่ะ’
จากนั้นเอเดนเมื่อ 99 ปีก่อนก็แสดงให้โจไซอาดูเป็คำตอบ ร่างสูงวิ่งลงทะเล แสงสีส้มอาบผิวกาย สะท้อนกับดวงตาสีเฮเซลจนมันเปล่งประกายเป็สีทอง สองเท้าของเอเดนวิ่งไปเรื่อย ๆ จนร่างกายจมน้ำทะเลถึงเอว มือของเอเดนชูขึ้นบนฟ้า กางมือออกราวกับจะคว้าดวงอาทิตย์อย่างที่พูด แม้รู้ว่าตนเองทำไม่ได้
ในวันนี้ดวงตาสีเฮเซลเป็ประกายระยิบระยับไม่ต่างจากเดิม รอยยิ้มจริงใจงดงามราวแสงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ผลิก็ไม่แตกต่างจากเดิมเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็มนุษย์นามว่าเอเดน กริฟฟิน
หรือเป็บุตรของาาเผ่าซาตานนามว่าแซ็กคารี
เขาก็ยังคงเป็ชายที่โจไซอารักเสมอ
tbc.
#เฮเซลอาย
