จำได้ว่าตอนที่เฉินเซ่าป๋ายจะจากไปนั้น เขาได้พูดว่าเป้าหมายของเขาคือจักรวาลอันเจิงไม่ได้ใส่ใจคำพูดพวกนั้น เพราะคำพูดของเฉินเซ่าป๋ายเชื่อถือได้ไม่มากแต่อันเจิงคิดว่าตัวเขาคงอยู่ไม่ห่างจากจักรวาลแล้ว เพราะมันอยู่ในดวงตาของเสี่ยวช่านนั่นเอง
หลังจากเข้าประตูของโรงจวี้ฉ่าง ดวงตาของเสี่ยวช่านก็เริ่มแวววาวแต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้คนก็คงไม่มีใครมาสังเกตดวงตาของแมวน้อยตัวหนึ่งหรอก พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูของมีค่าที่กำลังจะขนออกมาต่างหากครั้งนี้โรงจวี้ฉ่างเชิญแค่ผู้ที่มีความรู้ด้านสมบัติวิเศษมาเท่านั้นคาดว่าเป็เพราะ้าจะตั้งราคาของพวกนี้ก่อน หากเปิดขายอย่างเป็ทางการราคาที่ปล่อยออกไปจะได้ไม่ต่ำเกิน
เกาซานตัวถือเป็คนที่มีชื่อเสียงในโลกมายาเขารู้จักผู้คนมากมายและสามารถเข้ากับทุกคนได้ดี แต่หลังจากการประลองครั้งนั้นความสัมพันธ์ของเกาซานตัวกับเจินจวงปี้ก็ได้สิ้นสุดลง เกาซานตัวผู้นี้เป็คนที่รู้จักแยกแยะและมีใจของนักสู้อยู่ไม่น้อยผู้เฒ่าฮั่วมีบุญคุณกับเขา เพื่อตอบแทนบุญคุณแล้ว ถึงแม้อาจทำให้พวกของตัวเองไม่พอใจแต่เขาก็ปล่อยให้เป็ไปตามนั้น
“เฮงซวย”
เกาซานตัวกางพัดทิวเขาออกมา “เมื่อก่อนก็ไม่ได้รู้สึกว่าเจินจวงปี้จะมีจิตใจต่ำช้าอย่างนี้ทำไมพอมาดูตอนนี้ กลับรู้สึกว่ามีแต่ความเฮงซวย”
“อาจไม่ใช่ความเฮงซวยไม่แน่ยังจะเป็โชคดีซะด้วยซ้ำ” ตู้โซ่วโซ่วพูด
เกาซานตัวไม่เข้าใจ “ท่านตู้ คำพูดนี้้าจะสื่ออะไรหรือ”
ตู้โซ่วโซ่วกล่าวต่อ “โบราณว่าไว้เหยียบขี้หมาจะได้โชคลาภ หากเราไปเหยียบขี้หมาแสดงว่าจะมีโชคในไม่ช้า ถึงแม้เจินจวงปี้จะดูน่ารังเกียจแต่ท่านเคยเหยียบเขามาก่อน ฉะนั้นวันนี้ท่านจะต้องมีโชคเป็แน่”
เกาซานตัวหัวเราะเสียงดัง เขาเป็คนที่มีสายตากว้างไกลในที่ซึ่งมีความสกปรกแต่ก็ยังหลงเหลือความสะอาดอยู่บ้าง ในสายตาของเขาอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วเป็เด็กที่น่าเอ็นดู โดยเฉพาะอันเจิง เขาดูเป็คนที่มีเหตุผลมากและผู้คนในเจียงหูก็ชอบคนที่มีเหตุผล
“เ้าของโรงจวี้ฉ่างคือใครกันหรือ ทำไมถึงสามารถนำของดีๆ เข้ามาตลอด?”ตู้โซ่วโซ่วถามขึ้น
เกาซานตัวกดเสียงต่ำลงแล้วพูด “เล่ากันว่ารากฐานของโรงจวี้ฉ่างไม่ได้อยู่ในโลกมายา แต่อยู่ข้างนอกนั่นต่างหาก ที่นี่ก่อตั้งโดยราชสำนักของหนึ่งในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นจึงถือเป็กึ่งราชสำนัก จุดประสงค์คือการแย่งชิงเงินทองของมีค่าการกระทำเช่นนี้เป็การล้มฝ่ายตรงข้ามไปในตัว พื้นที่ที่เหล่าทหารเหยียบไปเปรียบดั่งหญ้าที่ตายโดยไม่อาจฟื้นฉะนั้นหากจะมีของล้ำค่าก็ไม่ใช่เื่แปลก และการที่เหล่าทหารต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูของพวกนี้ก็เพราะทหารรู้จักแย่งชิงแต่ไม่รู้ว่ามันมีค่ามากเท่าไหร่”
“ได้ยินมาว่าโรงจวี้ฉ่างเปิดสาขาตามเมืองต่างๆ แต่ร้านที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเมืองโก๋วจิง”
ตอนที่เกาซานตัวเล่าเื่พวกนี้ เขาช่างดูรอบรู้เป็อย่างมาก
“มิน่าเล่า ถึงได้มีของดี ๆ เข้ามาตลอดแล้วยังชอบส่งเข้าไปในโลกมายาอีก ที่นี่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับกฎหมายมีเงินก็มีอำนาจ หากทำแบบนี้ในเมืองอื่นละก็คงเป็เื่ใหญ่แน่” ตู้โซ่วโซ่วออกความคิดเห็น
เกาซานตัวพยักหน้า “ใช่แล้วและยิ่งไปกว่านั้น โลกมายาซ่อนผู้แกร่งกล้าและมีอำนาจอยู่ อย่างไรเสียของพวกนี้ก็ต้องขายออกแน่”
เวลานี้เอง มีสาวงามสวมชุดกระโปรงพลิ้วเดินมาจากด้านหลังทุกนางมีสัดส่วนร่างกายที่อ่อนช้อย อยากได้แบบไหนก็มีแบบนั้น พวกนางสวมชุดสีเดียวกันความยาวของกระโปรงถึงขาอ่อน ฉะนั้นเวลาเดินจึงเห็นผิวที่ขาวเนียนเพียงไม่นานก็สามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้ หญิงสาวทั้งหมดสิบสองคนยืนแบ่งออกเป็สองแถวทุกคนต่างมีใบหน้าอมยิ้มน้อย ๆ ตลอดเวลา อันเจิงคาดเดาว่าหญิงสาวพวกนี้น่าจะมีพลังวัตรเพราะเวลาเดินร่างกายท่อนบนของพวกนางไม่ขยับเลยสักนิด หรือหากไม่มีพลังวัตรแต่อย่างน้อยก็ต้องมีทักษะด้านร่างกายที่ดีแน่
จวงเฟยเฟยเดินมาจากด้านหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม การเปิดตัวเช่นนี้ได้ใจของทุกคนไปอย่างง่ายดาย
“แม่นางจวงเ้าต่างหากที่เป็ของล้ำค่าในโรงจวี้ฉ่างนี้” มีเสียงะโเสียงหนึ่งดังขึ้น
ชายร่างอ้วนะโออกมาจากด้านข้าง “อย่าใช้เงินมาวัดค่าของนางหากคุณค่าของนางสามารถตีเป็เงินได้ ข้าคงไม่ต้องตาร้อนอยู่อย่างนี้หรอก”
จวงเฟยเฟยยิ้มเล็กน้อย แม้มีผ้าปิดหน้าบางๆ กั้นกลาง แต่ทุกคนก็รับรู้ได้ว่ารอยยิ้มของนางงดงามเพียงใด ดูเหมือนนางจะชอบสวมผ้าปิดใบหน้าเอาไว้เสมอ
“ข้าเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาดูสิ่งของล้ำค่าไม่ได้เชิญมาดูข้าเสียหน่อย”
จวงเฟยเฟยขยับตัวช้า ๆ แล้วย่อตัวคารวะ “กิจการของโรงจวี้ฉ่างเป็ไปได้ด้วยดีเพราะมีการช่วยเหลือจากทุกท่านฉะนั้นวันนี้ก็หวังว่าทุกท่านจะช่วยข้าอย่างเต็มที่ ในส่วนรางวัลตอบแทนข้าก็จะพยายามให้อย่างเต็มที่เช่นกัน”
ขณะนี้เอง เจินจวงปี้ยกพัดขึ้นแล้วชี้ไปที่อันเจิง“ทุกคนในนี้ต่างเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านสมบัติวิเศษในโลกมายา แล้วไอ้เด็กคนนี้ลอดเข้ามาได้อย่างไร? คนเฝ้าประตูของพวกเ้าไม่เข้มงวดพอใช่หรือไม่? กระทั่งหมาแมวก็สามารถคลานเข้ามาในนี้ได้เ้าคงต้องระวังสักหน่อยนะ เผื่อตกดึกจะมีของสกปรกคลานขึ้นเตียงเ้าได้”
จวงเฟยเฟยหันไปแสดงสีหน้าเชิงขอโทษกับอันเจิง ก่อนจะหันไปพูดกับเจินจวงปี้ “วันนี้รองอาจารย์ใหญ่เจินเป็อะไรไปยังจัดการไฟร้อนในใจไม่หมดอีกหรือ? สำหรับท่านข้าคงไม่ได้น่าสนใจอีกแล้วถึงแม้ระหว่างท่านกับผู้นำนิกายอันจะมีเื่บาดหมางมาก่อนแต่อยู่ในโรงจวี้ฉ่างของข้า ก็หวังว่าทุกท่านจะใช้เหตุผล ทุกท่านเป็คนที่ข้าเชิญมาเองทั้งหมดฉะนั้นอย่าทำลายบรรยากาศในนี้เลย”
หึ!เจินจวงปี้เปล่งเสียงเย็นะเืออกมา “ทุกท่านในที่นี้ต่างมีความสามารถเื่สมบัติวิเศษข้านั้นไม่ขัดข้องแต่กับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ มีสิทธิ์อะไรมาเทียบชั้นกับพวกข้า? หรือเพราะได้ชื่อว่าเป็ผู้นำนิกายอะไรนั่น? หรือเพราะเขาชนะการประลองอ่อนหัดในครั้งก่อนอย่าบอกนะว่าเ้าก็เก็บมาใส่ใจจริงจัง”
ตอนนี้อย่าว่าแต่อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วเลย แม้กระทั่งจวงเฟยเฟยก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“รองอาจารย์ใหญ่เจินท่านกำลังต่อต้านอันเจิงหรือข้ากันแน่?” นางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
เจินจวงปี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเช่นกัน“แน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้านเ้า แต่เห็นไอ้เด็กนั่นแล้วข้าไม่สบอารมณ์ เหมือนมองอาหารหลากหลายบนโต๊ะแต่กลับเจอขี้วางอยู่ด้วยข้าจะกินมันลงได้อย่างไร?”
อันเจิงหัวเราะเล็กน้อย “รองอาจารย์ใหญ่เจินช่างเป็คนที่ละเอียดอ่อนจริงๆ ปกติหากข้าเจอขี้หมา คงไม่มากังวลเื่จะกินหรือไม่กิน”
เจินจวงปี้ชะงักไปชั่วขณะจากนั้นก็แสดงสีหน้าโกรธแล้วพูดขึ้น “เ้านึกว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเ้างั้นหรือ? ในโลกมายานี้ข้าก็ยังพอมีปากมีเสียงอยู่เหมือนกัน”
เ้าแมวน้อยในอ้อมแขนอันเจิงมองเจินจวงปี้แล้วส่งเสียงร้องจากนั้นก็ส่ายคอเล็กน้อย
เห็นกระดิ่งแก้วห้อยอยู่ที่คอเ้าแมวนั่นเจินจวงปี้จึงหน้าเสียเล็กน้อย จะด่าต่อก็กลัวอันเจิงจะฉีกหน้าตนโดยการปล่อยกระดิ่งแก้วออกมาสมบัติวิเศษนั่นถึงขนาดฆ่าท่านจิ่วหัตถ์ิญญาที่มีพลังวัตรอยู่ในขอบเขตกิเลสมารได้ส่วนพลังวัตรของเจินจวงปี้ในตอนนี้ ยังห่างจากขอบเขตกิเลสมารอยู่เล็กน้อย
“หึ” เขานั่งลง สะบัดหน้าไปอีกด้าน
“เป็อย่างไร” เกาซานตัวยื่นมือออกมาลูบตัวของแมวน้อย“คนเราก็ควรเงียบในบางเวลา พูดแล้วต้องกลืนน้ำลายตัวเองจะพูดออกมาทำไม น่าแปลกทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองขายหน้าอยู่เรื่อย”
ทุกคนในที่นี้ต่างเห็นว่าเกาซานตัวอยู่ข้างอันเจิงจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นระหว่างเจินจวงปี้กับเกาซานตัว พวกเขาไม่ควรงัดข้อกับใครทั้งนั้น
“พอได้แล้ว ๆ”
จวงเฟยเฟยเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง “ทุกท่านมาที่นี่ก็เพื่อช่วยข้าทั้งนั้นฉะนั้นวันนี้พวกเราทิ้งเื่ความหลังทั้งหมด แล้วมาสนใจของล้ำค่ากันดีกว่า”
หญิงสาวทั้งสิบสองนางก้าวไปยืนข้างทุกคนเพื่อดูแลและให้บริการอย่างทั่วถึงนี่เป็ครั้งแรกที่ตู้โซ่วโซ่วได้รับการดูแลจากหญิงสาวอายุมากกว่าเช่นนี้ เขาจึงทำตัวไม่ถูกถึงจะแกล้งปั้นหน้าปั้นตาทำนิ่งเฉย แต่ก็อดใจไม่ไหวมักจะจ้องไปที่ขาอ่อนของพวกนางอยู่ดี
อันเจิงเอียงคอไปหาตู้โซ่วโซ่วกดเสียงต่ำแล้วพูดขึ้น “อย่าได้คิดเลอะเทอะเชียวนะ เ้ายืนขึ้นยังสูงไม่ถึงไหล่พวกนางเลยจริง ๆ เราก็เป็แค่เด็ก จะยับยั้งชั่งใจไม่ได้เลยหรือ?”
“หากมองว่าตัวเองเป็เด็ก เช่นนั้นข้าลุกขึ้นแล้วพูดไปตรงๆ ว่า ท่านน้าข้าขอกอดหน่อย จะถูกอัดกลับมาหรือไม่?”
“ไม่หรอก นางก็แค่ก้มลงมามองเ้าเท่านั้นเอง”
ตู้โซ่วโซ่วสะอึกกับคำพูดของอันเจิงเขารู้สึกเหมือนมีลมตีลงมากลางตัว
เห็นทั้งสองคนหยอกล้อเล่นกันอย่างมีความสุขยิ่งทำให้เจินจวงปี้ที่นั่งตรงข้ามหัวร้อนเป็ไฟ
จวงเฟยเฟยปรบมือขึ้นและก็เป็การเปิดงานด้วยสาวงามเช่นเคย ในมือทุกคนถือถาดคนละหนึ่งใบ บนถาดนั้นครอบด้วยฝาที่ทำมาจากทองคำส่องประกายวิบวับไม่รู้ว่าข้างในคืออะไรกันแน่ แต่จากที่ดูแล้วเหมือนเป็ของที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
จวงเฟยเฟยยิ้มพลางพูดขึ้น “การดูของล้ำค่าเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มานั้นธรรมดาเกินไป วันนี้เป็วันดี แต่ทุกท่านกลับมีอารมณ์ร้อนเสียแล้ว เช่นนั้นเรามาแข่งขันกันดีหรือไม่สิ่งของหกชิ้นตรงหน้านี้ทำมาจากวัตถุที่แตกต่างกันออกไปตอนนี้เรามาทดสอบกันดูว่าใครจะแน่กว่าใคร เราจะให้ทายสิ่งของล้ำค่าโดยไม่เปิดฝาออกและไม่สามารถใช้พลังวัตรได้แต่จะให้เดาจากเสียงเคาะฝาเท่านั้น หากใครสามารถเดาได้ว่ามันคืออะไรก็จะเป็ผู้ชนะที่สำคัญข้ามีของรางวัลชิ้นใหญ่เตรียมให้ผู้ชนะด้วย”
นี่คือการทดสอบประสบการณ์อย่างแท้จริงตู้โซ่วโซ่วดึงแขนอันเจิงด้วยความร้อนรน “เ้าไหวหรือไม่?”
“ไหวสิ ทำไมจะไม่ไหว เ้าลืมแล้วหรือตอนที่เราสองคนอยู่ย่านหนานชานยังสามารถแยกแยะระหว่างเสียงคางคกตัวผู้กับคางคกตัวเมียได้เลย”
ตู้โซ่วโซ่วหลุดขำออกมา “เงียบไปเลยนั่นเป็แค่เื่เล่น ๆ ไม่ใช่หรือ”
เกาซานตัวที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เมื่อได้ยินอันเจิงพูดขึ้นมาจึงอดใจถามไม่ได้“นี่เป็ทักษะที่แปลกจริง ๆ ไม่ทราบว่าคางคกตัวผู้มีเสียงร้องอย่างไร? แล้วเสียงร้องของมันแตกต่างจากตัวเมียอย่างไรหรือ?”
ตู้โซ่วโซ่วรีบอธิบาย “นี่เป็เื่ที่เราถกเถียงกันเล่นๆ ท่านอย่าได้คิดจริงจังเลย”
เกาซานตัวจิบน้ำชาแล้วพูด “เ้าก็ลองบอกมาก่อนเถอะแค่เล่นสนุก ๆ เท่านั้น”
ตู้โซ่วโซ่วไอออกมาทันที “คือ...คางคกตัวผู้ร้องจุ๊กกรูจุ๊กกรูคางคกตัวเมียร้องไอ้หยาไอ้หยา”
ทุกคนต่างชะงักไปชั่วครู่จากนั้นก็มีเสียงพ่นน้ำออกมา เกาซานตัวพ่นน้ำชาที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่จนหมดแล้วไออย่างหนัก“ท่านตู้ พูดให้มีสาระหน่อยได้หรือไม่?”
“ท่านให้ข้าเป็คนพูดเองนะ...”
จวงเฟยเฟยยิ้มแล้วหน้าก็แดงขึ้นเล็กน้อยจากนั้นยกมือขึ้นทำท่าเชื้อเชิญ “ท่านไหนจะขึ้นมาลองก่อนดี? แม้เราไม่มีกรรมการตัดสินแต่ทุกท่านก็ต้องรักษากฎเกณฑ์ไม่สามารถเปิดออกดู ไม่สามารถใช้พลังวัตร ใช้แค่หูในการฟังเท่านั้นหากเป็คนธรรมดาคงไม่สามารถแยกแยะสิ่งของจากการฟังได้ แต่พวกท่านต่างเป็ยอดฝีมือก็คงไม่เกินความสามารถวัตถุแต่ละอย่างจะมีเสียงสะท้อนกลับมาไม่เหมือนกันหากใครสามารถเดาได้ก่อนก็จะเป็ผู้ชนะ”
“ไม่ว่าใครจะขึ้นมาก่อนแต่ทุกท่านอย่าเพิ่งบอกคำตอบออกมาให้เขียนคำตอบนั้นลงในกระดาษแล้วเรามาเปิดดูพร้อม ๆ กันในตอนท้าย”
หลังจากจวงเฟยเฟยพูดจบสาวงามทั้งหกคนก็เดินก้าวออกมาข้างหน้า“เริ่มกันเลย”
เกาซานตัวหันไปยกมือขึ้นคารวะอันเจิง “ผู้นำนิกายอันเชิญท่านก่อน”
“ข้าขึ้นก่อนคงไม่เหมาะเชิญผู้าุโท่านอื่น ๆ ก่อนเถอะ ไว้ข้าค่อยขึ้นเป็คนสุดท้าย”
เกาซานตัวลุกขึ้นแล้วสะบัดชุดของตัวเอง “ได้เลยเช่นนั้นข้าขึ้นก่อน ขอเปิดเป็คนแรกเลยแล้วกัน”
ตู้โซ่วโซ่วดึงแขนเสื้ออันเจิงด้วยความร้อนรน “ตกลงเ้าไหวหรือไม่? ครั้งนี้ข้ารู้สึกได้ว่าจะไม่มีใครเดาถูกเลยสักคน”
“จุ ๆ...ท่านเกากำลังจะเริ่มแล้วเงียบก่อน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้