“ยังมีคนอื่นอีกไหม?” ซุนเฟยถามต่ออย่างอดทน
“นอกจากคนที่ข้ากล่าวถึงเมื่อครู่แล้ว ยังมีคนที่มีอำนาจเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็คือเบสท์ หัวหน้ามหาดเล็กของพระราชวัง เขาเป็บิดาของแองเจล่า พระสสุระ1ของท่านในอนาคต...แต่ว่า ก่อนที่เมืองจะถูกข้าศึกโอบล้อม หัวหน้ามหาดเล็กเบสท์ได้นำทรัพย์สินมีค่าของราชวังจำนวนมากออกจากเมืองแซมบอร์ด ไม่มีใครรู้ว่าเขาเอาไปทำอะไร”
พ่อของแองเจล่า?
ซุนเฟยชะงัก ที่แท้พ่อของแองเจล่าก็ยังมีชีวิตอยู่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่เคยพบมาก่อน คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะขนทรัพย์สมบัติในราชวังของข้าออกจากเมืองไปก่อนที่ข้าศึกจะมาถึงพอดี...นี่คือการหลบหนีใช่ไหมนะ
ปฏิกิริยาแรกของซุนเฟยไม่ใช่โมโหหรือโกรธแต่อย่างใด
แต่กลับรู้สึกเสียใจแทนแองเจล่า
ใน่เวลาที่้าที่พึ่งพาที่สุด สาวงามที่จิตใจบริสุทธิ์คนนี้กลับถูกบิดาผู้ให้กำเนิดทอดทิ้งอย่างโหดร้าย ตอนนี้เธอคงกำลังอดทนต่อความเ็ปภายในใจอยู่หรือเปล่า?
ทันใดนั้น เขารู้สึกเป็ห่วงสาวงามแองเจล่าที่แสนอ่อนโยนขึ้นมา
สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามปรากฏแสงน้อยๆ จำนวนมาก นั่นคือคบเพลิงไฟของค่ายทหารข้าศึก
ซุนเฟยยืนสนทนากับบรู๊คอยู่บนกำแพงเกี่ยวกับการกระจายอำนาจภายในของเมืองแซมบอร์ด เขาเริ่มมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา
เห็นได้ชัดจากคำอธิบายของบรู๊ค แม้ว่าเมืองแซมบอร์ดจะเป็เพียงอาณาจักรเล็กๆ (ที่ไม่สามารถเล็กไปกว่านี้ได้อีก) แต่อำนาจภายในกลับซับซ้อนมาก ระดับความปากหวานก้นเปรี้ยวคงไม่ด้อยไปกว่าขุนนางในราชอาณาจักรใหญ่ๆ เ่าั้...สิ่งนี้ทำให้ซุนเฟยพลันตระหนักได้ว่าสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่มันช่างน่าสนใจมาก
“ดูเหมือนว่าในการต่อสู้วันนี้ข้าไม่เห็นบาร์เซิล คอนก้าและโอเลเกร์เลยนะ? พวกเขาไม่ต้องเข้าร่วมาเหรอ?” ซุนเฟยนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะหันไปถามตรงๆ
“การต่อสู้่เช้า ข้าเห็นบาร์เซิลปรากฏตัวบนกำแพงเมืองครั้งหนึ่ง นั่นก็คือตอนที่พาฝ่าาขึ้นมาครั้งนั้น...ตุลาการทหารคอนก้าได้รับาเ็ั้แ่วันแรกที่ทำา หลังจากนั้นก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านมาตลอด ส่วนโอเลเกร์เป็พัศดี กระหม่อมเคยขอร้องและหวังว่าเขาจะเข้าร่วมา แต่โอเลเกร์คิดว่าหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบคือการดูแลคุก ไม่ได้มีหน้าที่เข้าร่วมา!”
“ไม่ได้มีหน้าที่? ฮ่าๆ แบบนี้นี่เอง...” ซุนเฟยจำชื่อพวกเขาไว้ในใจ จากนั้นก็ไตร่ตรองบางอย่างชั่วครู่ก่อนจะถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น...พลังของพวกเขาเป็อย่างไร? ข้าหมายถึงพลังตัวบุคคลนะ...”
“บาร์เซิลเป็คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้ ไม่มีความสามารถทางด้านเวทมนตร์ ตุลาการทหารคอนก้าและพัศดีโอเลเกร์ พวกเขาต่างเป็นักรบหนึ่งดาว...แต่เมืองแซมบอร์ด มีเพียงท่านแฟรงก์ แลมพาร์ดที่เป็ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ท่านแลมพาร์ดมีพลังระดับนักรบสามดาว ในบรรดาผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งของอาณาจักรรอบข้างมากมาย ท่านแลมพาร์ดอยู่บนจุดสูงสุดนั้น!”
พอพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของบรู๊คก็แสดงถึงความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าเหมือนจะจำได้ว่า กิลลูกชายของบาร์เซิลเป็นักเวทใช่ไหม?” ซุนเฟยคิดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะฮึๆ เกิดความคิดชั่วร้ายที่น่าสนใจขึ้นมาในหัว “รีบสั่งการลงไป มีคำสั่งเรียกเกณฑ์ทหารนักเวทกิลให้เข้าร่วมาป้องกันเมืองแซมบอร์ด”
“ฝ่าา ด้วยระดับของกิลในปัจจุบัน เขาไม่ได้เป็แม้แต่นักเวทระดับหนึ่งดาว เขาเป็ได้มากที่สุดคือนักเวทฝึกหัดระดับต่ำคนหนึ่ง...แต่ก็ถือว่าเป็นักเวทฝึกหัดก็น่าจะมีประโยชน์มากในการทำา...” บรู๊คโค้งตัวแล้วตอบกลับว่า “น้อมรับพระบัญชา ฝ่าา ข้าจะรีบส่งคนไปเรียกกิลมาทันที”
เห็นได้ชัดว่าบรู๊คชื่นชมอย่างมากสำหรับคำสั่งของซุนเฟย
“อืม คืนนี้ก็พอเท่านี้เถอะ” ความรู้พื้นฐานที่ซุนเฟยอยากจะรู้ก็ได้รู้หมดทุกอย่างแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตบลงบนบ่าของบรู๊ค ‘ชายผู้ซื่อตรง’ แล้วพูดว่า “อีกสักพักก็จัดการให้ทหารเฝ้ายามเปลี่ยนกะ ส่วนเ้าก็รีบไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าจะอยู่เฝ้ายามกลางคืนเอง”
“ฝ่าา จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? หน้าที่ของข้าคือ...” บรู๊คพูดอย่างใ
ซุนเฟยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดตัดบทว่า “ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์บรู๊ค ข้าได้ยินพวกทหารพูดว่าเ้าเฝ้ายามติดๆ กันสองคืนโดยไม่ได้พักผ่อน แบบนี้ไม่ได้ การต่อสู้ต่อจากนี้ไป บางทีจะยิ่งโหดร้ายมากขึ้น...เพราะอย่างนั้น บรู๊ค ข้าอยากให้เ้าฉวยโอกาสนี้ไปพักผ่อน เก็บแรงไว้เพื่อการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ เ้ายังต้องฆ่าศัตรูอีกมากเพื่อข้า...อีกอย่างนี่เป็คำสั่งของาา เ้าต้องปฏิบัติตาม รีบไปซะ!”
บรู๊คตกตะลึงงัน
วินาทีต่อมา ชายผมดำคนนี้ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง สองมือจับดาบั์ข้างเอวแล้วยกขึ้นระดับอก ในนามของนักรบ กล่าวคำสาบานอย่างเคร่งขรึม “ข้าขอสาบานต่อพระเ้า าาอเล็กซานเดอร์ าาผู้ทรงเกียรติ ข้าเกอเธ่ บรู๊ค นักรบหนึ่งดาว ยินดีที่จะตายแทนท่าน"
เมื่อบรู๊คเดินจากไป ซุนเฟยหาข้ออ้างมอบหมายงานให้ทหารยามที่ติดตามข้างๆ ออกไป
เขาลาดตระเวนอยู่คนเดียว สังเกตโครงสร้างทุกอย่างของผนังและมาตรการป้องกันอย่างละเอียด ถือโอกาสปลอบโยนเหล่าทหารยามคนอื่นๆ ไปด้วย ในน้ำเสียงโห่ร้องเจือไปด้วยความซาบซึ้งของเหล่าทหาร จนมาถึงหอสังเกตการณ์บนประตูหลักกำแพงเมือง
หอสังเกตการณ์นี้เป็โครงสร้างหินอาคารสองชั้นขนาดเล็ก
ก่อนที่าจะเกิดขึ้น หอสังเกตการณ์ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวันธรรมดา ที่นี่จะเป็สถานที่พักผ่อนหลังจากที่ทหารยามกับเหล่าทหารเปลี่ยนกะกัน เพียงแต่ในการต่อสู้เมื่อสองสามวันก่อน หอสังเกตการณ์แห่งนี้ก็ได้ถูกทำลาย เหลือไว้แต่เพียงซากกำแพงหินที่พังทลายทุกด้าน แสงดาวบนท้องฟ้าสาดส่องลงมา บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง
ซุนเฟยเดินเข้าไปในหอสังเกตการณ์หาสถานที่เงียบๆ ที่สามารถมองเห็นเมืองด้านล่างก่อนจะปักหลักนั่งเฝ้ายามที่นี่
มีทหารสองสามนายยืนอยู่ด้านนอกกำแพงหินไกลๆ เพื่ออารักขาาาของพวกเขา
“สถานการณ์ไม่ดีเท่าไรนัก แม้ว่าจะต้านศัตรูให้ถอยร่นไปได้ แต่จะให้เป็แบบนี้ไปตลอดเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเป็ไปได้แน่ ไม่รู้ว่าเหล่าศัตรูชุดดำพวกนั้นมาจากไหน พวกมันไม่เพียงมีอุปกรณ์ที่ครบครัน มันยังผ่านการฝึกอบรมมาเป็อย่างดี ทั้งยังมีจำนวนมากกว่าทหารของเมืองแซมบอร์ด หากเป็อย่างนี้ต่อไป สุดท้ายเมืองแซมบอร์ดก็คงยากจะหลบพ้นชะตากรรมเมืองแตกอย่างแน่นอน ต้องคิดหาวิธีอื่นซะแล้ว!”
ในใจซุนเฟยครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด แต่คิดมาคิดไป เขาก็ยังไม่มีความคิดดีๆ เลยสักนิด
พูดตามตรง ซุนเฟยเป็เพียงนักศึกษามหาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่นักฆ่าที่ฝีมือเลิศล้ำ ไม่ใช่ทหารอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งเป็นักศึกษาที่ฉลาดหลักแหลมสามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วเขาก็เป็ไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จะให้คนอย่างเขาคิดหาวิธีแก้ปัญหาออกได้ทันทีมันก็เป็เื่ที่ยากลำบากมาก
“ดูเหมือนว่าตอนนี้ทำได้เพียงเพิ่มพูนพลังของตัวเองได้เท่านั้น อย่างอื่นก็ค่อยว่ากันอีกที”
ซุนเฟยปล่อยวางเื่นี้ไปก่อน ทำใจให้ว่างและหลับตาลงจากนั้นก็เริ่มสื่อสารกับเสียงเ็าลึกลับในหัว พยายามเข้าไปในโลก Diablo เพื่อไป ‘ฝึกฝน’ เลื่อนระดับพลัง
ทว่า...
“พลังจิตไม่เพียงพอ ไม่สามารถเข้าไปในมิติเกมได้ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง”
เสียงลึกลับเ็าตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ทำให้ซุนเฟยพลันหดหู่
เขาอดทนนั่งหลับตาอยู่พักหนึ่ง พยายามลองอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิม เขาพยายามลองซ้ำๆ นับสิบครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปในมิติเกมได้ คำตอบของเสียงลึกลับเ็านั่นก็ยังเป็ ‘พลังจิตไม่เพียงพอ’…
ซุนเฟยลองแล้วลองอีก ไม่รู้ั้แ่เมื่อไรที่เขาค่อยๆ ผล็อยหลับไป
……
……
ริมชายฝั่งแม่น้ำจูลี่
ค่ายทหารของเหล่าทหารเกราะดำลึกลับ
ตรงกลางของค่ายขนาดใหญ่สีดำ มีเต็นท์สีดำหลังหนึ่งที่ขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเต็นท์สีดำที่ตั้งอยู่บริเวณรอบๆ อย่างเห็นได้ชัด มีแสงริบหรี่อยู่รอบๆ คอยส่องแสง ราวกับสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวกำลังซุกซ่อนอยู่ในเงามืด เตรียมที่จะออกล่าเหยื่อที่ตนหมายตาไว้แล้วขย้ำให้จมกองเขี้ยว
แต่ในเต็นท์กลับมีแสงสว่างที่อบอุ่นส่องสว่างไปทั่วเต็นท์
ชายสวมหน้ากากสีเงินที่ปรากฏตัวตรงชายฝั่งแม่น้ำในตอนเช้า ตอนนี้เขานั่งอยู่เก้าอี้ที่ปูด้วยขนสัตว์สีดำขนาดใหญ่ที่ไม่ทราบชื่อของสัตว์ชนิดนั้น เขาดูมีท่าทางผ่อนคลาย มือหนึ่งเท้าคางใต้หน้ากากสีเงิน อีกมือก็ถือแก้วหยกสีขาวโปร่งแสง เขย่าไวน์แดงในแก้วเบาๆ ข้างกายชายหน้ากากสีเงินมีคนขนาบทั้งสองด้าน สิบเก้าอัศวินเกราะดำจัดระเบียบแถวเรียบร้อยคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง
ฝั่งซ้ายของเต็นท์มีชายลึกลับที่คลุมเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง ชายลึกลับได้วางคทาเวทไว้ข้างกาย เผยให้เห็นสถานะของชายลึกลับคนนี้ว่าเขาเป็...นักเวท
พลังงานแปลกๆ ที่มองไม่เห็นอยู่รอบๆ ชายลึกลับผู้นี้ ทำให้ในสายตาของคนทั่วไปดูเบลอๆ มองใบหน้าที่แท้จริงของเขาไม่ออก แม้ว่าในเต็นท์จะมีแสงไฟที่อบอุ่น แต่ร่างกายภายใต้เสื้อคลุมสีดำนี้กลับมีร่องรอยความหนาวเย็นแผ่กระจายอยู่รอบๆ ตลอดเวลา
การต่อสู้เมื่อกลางวัน นักรบสามดาวแรนดุ๊กที่ถูกซุนเฟยทำร้ายาเ็หนักคนนั้น ตอนนี้ก็กำลังคุกเข่าลงตรงหน้าชายหน้ากากสีเงิน
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
เสียงถ่านลุกไหม้ดังมาจากเตาถ่าน ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งเต็นท์เงียบสงบและแปลกประหลาด
ในที่สุด ชายหน้ากากสีเงินเงยหน้าขึ้นมา
เขามองไปที่แรนดุ๊ก นักรบสามดาวที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก่อนจะถามอย่างไม่สนใจว่า “แรนดุ๊ก เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนกำแพงวันนี้มาสิ? ข้าแปลกใจมากๆ ด้วยฐานะนักรบสามดาวอย่างเ้า ทำไมถึงได้รับาเ็หนักแบบนี้?”
แรนดุ๊ก นักรบสามดาวที่คุกเข่าข้างหนึ่งบนพรมสีแดงกลางเต็นท์ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความอับอาย
ที่ทำให้คนแปลกใจก็คือ แค่การซักถามของชายหน้ากากเงินตรงหน้า แรนดุ๊กผู้ที่เป็ถึงนักรบสามดาวผู้หยิ่งทะนงคนนั้นกลับดูเหมือนว่าจะหวาดกลัว ได้ยินคำถามนี้ ก็รีบก้มหน้าลงต่ำและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนกำแพงเมืองเมื่อตอนกลางวันอีกรอบโดยไม่มีการปกปิดแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าชายหน้ากากเงินจะฟังอย่างลวกๆ ทว่าั้แ่ต้นจนจบเขาก็เอาแต่มองแก้วหยกในมือของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับว่าแก้วใสๆ ใบนั้นมีอะไรที่น่าสนใจที่ดึงดูดสายตาของเขา
หลังจากที่แรนดุ๊กพูดจบ ชายหน้ากานเงินก็เขย่าแก้วในมือเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ที่แท้ก็เป็แบบนี้นี่เอง ฮึๆ น่าสนใจ น่าสนใจ....แรนดุ๊ก เ้าลุกขึ้นมาพูดคุยกันดีกว่า!”
นักรบสามดาวแรนดุ๊ก ราวกับได้รับการอภัยโทษ
เขาถอนหายใจ ลุกขึ้นมาแล้วเสริมคำพูดไปสองสามประโยคว่า “ขอบคุณนายท่าน ข้าน้อยมีอีกหนึ่งเื่ที่ต้องรายงาน วันนี้ตอนที่ข้าน้อยประมือกับนักรบสามดาวของเมืองแซมบอร์ด ข้าได้พบเหตุการณ์ประหลาดเหตุการณ์หนึ่ง”
“พูด!”
“นายท่าน ข้าน้อยพบว่านักรบสามดาวที่มีชื่อเสียงในเมืองแซมบอร์ดนั่นดูเหมือนจะได้รับาเ็บางอย่าง คลื่นพลังไหลเวียนไม่ค่อยดี...ตามข้อสันนิษฐานของข้าน้อย คนผู้นั้นอาจจะได้รับาเ็ภายในร่างกายมาก่อนหน้านี้...การประมือครั้งหน้า ข้าน้อยเชื่อว่าจะตัดหัวมันมาให้นายท่านได้แน่นอน!”
แรนดุ๊กพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจับจุดสำคัญไม่ถูก
เพราะชายหน้ากากเงินดูเหมือนจะไม่สนใจแลมพาร์ดชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองแซมบอร์ด แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อถามเหมือนตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจว่า “แรนดุ๊ก ตอนที่เ้าป่าเถื่อนในชุดอัศวินเกราะหนักคนนั้นปรากฏตัวออกมา เ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”
--------------------
1 พระสสุระ = พ่อภรรยา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้