“ชายผู้นี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าด่าหยางเย่าต่อหน้าผู้คน หรือเขาไม่รู้ว่าหยางเย่าเป็ลูกเ้าเมือง?”
ทุกคนต่างจับจ้องการเคลื่อนไหวของเย่เฟิง และอดใกับการกระทำที่กล้าหาญของเย่เฟิงไม่ได้
แต่หยางเย่ากลับเผยสีหน้าอึมครึม พร้อมกับมีไอเย็นแผ่ออกจากร่างพร้อมกล่าวกับเย่เฟิงว่า “ไม่นึกว่าจะกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า เ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร?”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น หยางเย่าก็เชิดหน้ามองด้วยท่าทียโสโอหัง ในความคิดของเขา เย่เฟิงต้องไม่รู้จักเขาแน่นอน จึงกล้าทำตัวอวดดีเช่นนี้ หากรู้ว่าเขาเป็บุตรของเ้าเมืองโยวโจว เย่เฟิงต้องใอย่างแน่นอน
“ไม่ทราบ แล้วข้าก็ไม่อยากรู้ อย่ามารบกวนเวลาทานอาหารของพวกข้า ให้เวลาเ้าสามวินาที ไสหัวออกไปจากหน้าข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา!” เย่เฟิงยกยิ้มมุมปากอย่างดูถูก เขาไม่ชอบเป็ฝ่ายยั่วยุใคร แต่หากมีคนมายั่วยุเขาก่อน เช่นนั้นเขาก็ย่อมไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
“เ้าเป็ใคร กล้าดียังไงมาพูดกับคุณชายของข้าเช่นนี้? ข้าจะตัดลิ้นของเ้าเสียตอนนี้ เพื่อเป็การไถ่โทษที่เ้าไม่เคารพคุณชายของข้า!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่เฟิง หยางเย่ายังไม่ทันพูดอะไร จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 ของจวนเ้าเมืองที่ติดตามมาด้วยเกิดโทสะขึ้นมา เขาสาวเท้าไปหาเย่เฟิงด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
จวนเ้าเมืองโยวโจวก็คือ์ของพวกเขา ใครกล้าบังอาจมาหาเื่?
“จบแล้ว ชายผู้นี้จบเห่แล้ว อีกฝ่ายคืออัจฉริยะของจวนเ้าเมือง ตบะบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 6 แล้วชายผู้นี้ที่ดูมีอายุสิบกว่าปีจะต้านทานได้อย่างไร?”
ผู้คนที่อยู่ในภัตตาคารเห็นผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเดินไปหาเย่เฟิงต่างก็ใ ในสายตาของพวกเขา อีกฝ่ายคือผู้แข็งแกร่ง มิใช่คนอย่างเย่เฟิงจะล่วงเกินได้ แม้ดูไปแล้วเย่เฟิงเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา เขาอาจเป็ลูกหลานของตระกูลที่ค่อนข้างมีอำนาจ แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติจะล่วงเกินจวนเ้าเมืองโยวโจวได้
“วูบ!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเดินมาถึงเบื้องหน้าพวกเย่เฟิง พร้อมกับเหวี่ยงหมัดซัดเย่เฟิง หมายกำราบให้สิ้น จากนั้นค่อยตัดลิ้น แต่หมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นยังไม่ทันถึงตัวเย่เฟิง เขาก็รู้สึกว่าหมัดของตนถูกพลังอันแกร่งกล้าสกัดกั้นไว้ ทำให้หมัดของเขาไม่อาจเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ต่อ
สีหน้าของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจึงดูไม่ได้ขึ้นมา จากนั้นมองไปที่หมัดของตน ก่อนจะเห็นดวงตาเย็นเยือกคู่นั้นของเย่เฟิง
“เ้าบอกว่า เ้าอยากตัดลิ้นข้างั้นหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามด้วยเสียงเย็น ขณะมือข้างหนึ่งจับหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น
“ตัดลิ้นเ้าแล้วอย่างไรเล่า? เอามือของเ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณชายข้าไม่ปล่อยเ้าไปแน่!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเผยหน้าเขียว เขาพยายามดิ้นรน แต่กลับไม่เป็ผล เขาพบว่าพลังของตนหดเล็กลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง
“อ้าก!”
ทว่าไม่ทันสิ้นเสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ผู้คนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น นาทีนี้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเผยสีหน้าเ็ปทุกข์ทรมาน เย่เฟิงบิดแขนของเขาจนเบี้ยวผิดปกติ กระทั่งกระดูกขาว ๆ โผล่ออกมาพร้อมกับเืไหลทะลัก ดูไปแล้วช่างน่าอนาถยิ่งนัก จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะหมดสติไปทันที
“อ่อนหัดแบบนี้ แต่ก็ยังกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้าอีกหรือ?” เย่เฟิงกล่าวดูถูกขณะมองผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นที่ล้มลงไปกองกับพื้น คิดไม่ถึงว่าเขาและจ้าวซินอี๋เพิ่งมาถึงเมืองโยวโจวก็จะถูกผู้อื่นยั่วยุเช่นนี้แล้ว
“อะไรนะ?”
เมื่อผู้คนเห็นฉากที่น่าเหลือเชื่อนี้ต่างก็อึ้งนิ่งไปชั่วครู่ พร้อมกับอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เป็ไปได้อย่างไร? ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม หมัดของผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองคนนั้นทำอะไรชายผู้นั้นไม่ได้ แถมยังถูกสกัดกั้นได้ง่าย ๆ อีก อีกฝ่ายนั้นเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 มีฝีมือที่น่าหวาดกลัว เช่นนั้นฝีมือของชายผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?”
ทุกคนต่างดูประหลาดใจ และพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
“กล้าทำร้ายลูกน้องของข้าหยางเย่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เ้าต้องตาย!”
หยางเย่าเห็นลูกน้องของตนเองถูกเย่เฟิงหักแขนก็ต้องใ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรตบะของลูกน้องเขาก็อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 แต่ตบะระดับนี้ถือว่าสูงมากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ของเมืองโยวโจวทั่ว ๆ ไป
แต่เบื้องหน้าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 9 เขาผู้นั้นกลับไม่นับเป็สิ่งใด เขาสามารถบดขยี้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหากตบะของเย่เฟิงอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 ขึ้นไป เช่นนั้นก็สามารถบดขยี้แขนของผู้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 ได้ง่าย ๆ และไม่ใช่เื่ที่น่าแปลกใจอะไร
“ข้าก็อยากดูว่า เ้าจะทำให้ข้าตายอย่างไร?” เย่เฟิงยิ้มอย่างเย็นเยือกพร้อมเผยสีหน้าเย้ยหยัน
“เย่เฟิง พวกเราไปจากที่นี่เถอะ!” จ้าวซินอี๋หันมากล่าวกับเย่เฟิงพร้อมดวงตาเผยประกายเ็า นางไม่ใช่ว่ากลัวพวกหยางเย่า แต่ว่าไม่อยากเสียเวลาไปกับคนเหล่านี้
“คิดจะไปตอนนี้งั้นหรือ มันสายไปแล้ว!”
ไม่รอให้เย่เฟิงได้เอ่ยปากพูดใด ๆ หยางเย่าก็แสยะยิ้มอย่างเ็า จากนั้นเขาออกคำสั่งกับผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองที่ติดตามเขา “จับตัวคนผู้นี้มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ คุณชาย!”
ผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองเ่าั้ได้ยินคำพูดของหยางเย่าก็ตอบรับในทันที ก่อนจะปิดล้อมพวกเย่เฟิง
เย่เฟิงกวาดตามองคนเหล่านี้ พร้อมกับดันจ้าวซินอี๋ไว้ข้างหลังตน เพื่อปกป้องนาง ในความเป็จริงตบะของจ้าวซินอี๋บรรลุขั้นยุทธ์แท้นานแล้ว การจะจัดการกับคนเหล่านี้จึงไม่ใช่ปัญหา แต่จ้าวซินอี๋คือผู้สูงศักดิ์ เย่เฟิงจะปล่อยให้นางลงมือได้อย่างไรกัน
“ไป กำจัดไอ้สวะนี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็น ก่อนจะพุ่งเข้าหาเย่เฟิงเป็คนแรก ตบะของพวกเขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 ขึ้นไป แต่ในสายตาของแเื่ในภัตตาคาร พวกเขาคือการมีอยู่ที่สูงส่ง บัดนี้กลับลงมือจัดการชายหนุ่มอายุ 16-17 ปีคนหนึ่ง
คนผู้นั้นวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิง ทว่าเย่เฟิงนิ่งเฉยไม่หลบหนี จากนั้นมีเสียงปังดังจากฝ่ามืออันทรงพลังที่จู่โจมเข้ามา แต่ผู้คนกลับพบว่า ฝ่ามือนั้นสั่นคลอนร่างเย่เฟิงไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกลับกระเด็นไปข้างหลังหลายก้าว ลมปราณแตกซ่าน ใบหน้าขาวซีด
“นี่มัน...”
นาทีนี้ผู้คนต่างต้องใจเต้นโครมคราม พวกเขาค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าชายผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าอาจเป็อัจฉริยะที่เทียบเคียงกับหยางเย่าและไท่ฉื่อหลง
“ฟึ่บ!”
ในตอนที่ผู้คนกำลังตื่นตระหนก เย่เฟิงก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาเดินออกมาหนึ่งก้าว พลันร่างกลายเป็ลำแสง ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ที่ลงมือโจมตีเขาเมื่อครู่นี้ในพริบตา พร้อมกับวาดฝ่ามือโจมตี ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ร่างผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกระเด็นออกไปจากหน้าต่างของภัตตาคาร
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองคนอื่น ๆ เห็นฉากนี้ต่างก็ตาเบิกกว้างเล็กน้อย ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดผวา แต่ในเมื่อพวกเขาลงมือแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดกลางคัน ดังนั้นพวกเขาจึงกัดฟันปล่อยพลังเคล็ดวิชาโจมตีเย่เฟิง
เย่เฟิงแสยะยิ้มอย่างเ็า จากนั้นโจมตีผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสาย ร่างแล้วร่างเล่าถูกการโจมตีของเย่เฟิงซัดกระเด็นปลิว
พวกเขาอยู่เพียงขั้นรวมชี่ แต่ต่อหน้าเย่เฟิงก็เป็ได้แค่มดแมลงตัวเล็ก ๆ แน่นอนว่าไม่มีทางต้านทานการโจมตีของเย่เฟิงได้
เพียงเวลาไม่ถึงห้าลมหายใจ ผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองที่ติดตามหยางเย่ามาก็ถูกเย่เฟิงซัดกระเด็น จนไม่รู้เป็ตายร้ายดีอย่างไร นี่ทำให้ผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง และยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาประหนึ่งมองสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว จัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ระดับสูงแห่งจวนเ้าเมืองหลายคนได้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังกำราบทุกคนในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ฝีมือเช่นนี้ไม่อาจใช้คำว่าน่าสะพรึงกลัวมาอธิบายได้ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าตบะของชายผู้นี้อยู่ระดับไหนแล้ว?” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าใเป็อย่างมาก และในเมืองโยวโจวก็ไม่มีการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว
“เหิมเกริม ทำตัวอวดดีในถิ่นของข้า ข้าจะจัดการเ้าให้ได้!”
หยางเย่าเห็นผู้ฝึกยุทธ์จวนเ้าเมืองที่พามาถูกเย่เฟิงจัดการทั้งหมดก็เผยสีหน้าเย็นเยียบทันที พร้อมะเิพลังปราณออกมา ดาบสีทองพลันปรากฏในมือ ก่อนจะตวัดดาบโจมตีเย่เฟิง เขาจะใช้เืของเย่เฟิงมาล้างความอัปยศในวันนี้ให้ได้!
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายเย็นเยือก ตอนที่ดาบสีทองของหยางเย่าใกล้ถึงตัวเขา จู่ ๆ แขนของเขาขยับอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ก่อนจะใช้สองนิ้วหนีบปลายดาบอย่างแม่นยำโดยไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว และพลังอันแข็งแกร่งก็ทำให้การเคลื่อนไหวของหยางเย่าหยุดนิ่งลงในทันที
“เพล้ง!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ดาบสีทองของหยางเย่าหักครึ่งในทันที หยางเย่ายังรู้สึกแขนชาเพราะแรงะเื จนดาบหลุดออกจากมือ พร้อมกับเผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา นาทีต่อมาหยางเย่ายังไม่ทันตอบสนองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างคว้าจับลำคอของตน ทำให้เขาหายใจลำบากมากขึ้นและหน้าก็แดงก่ำ
“เ้า้าฆ่าข้างั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมือใหญ่ของเขาออกแรงบีบคอของหยางเย่า
หยางเย่ามองเย่เฟิงด้วยท่าทีทุกข์ทรมาน แต่ในดวงตาคู่นั้นนอกจากความตกตะลึงแล้วยังเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น เขาคือบุตรของเ้าเมืองโยวโจว แต่เขาหยางเย่าเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน
“ปล่อยข้า มิเช่นนั้นเ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!” ขณะที่ลำคอของหยางเย่าถูกบีบ เขาก็เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำยาก
“จะตายอยู่รอมร่อก็ยังกล้าปากดีอีกหรือ ข้าละนับถือความกล้าของเ้าจริง ๆ!”
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายเย็นเยือก หยางเย่าผู้นี้ยโสโอหัง อีกฝ่ายจะต้องข่มเหงรังแกคนอื่น ๆ ในเมืองโยวโจวอย่างแน่นอน บัดนี้คิดข่มเหงรังแกเขา ด้วยนิสัยของเขาแล้ว คิดว่าจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น เย่เฟิงออกแรงที่มือมากขึ้น จนสีหน้าของหยางเย่าเริ่มเปลี่ยนเป็สีม่วงคล้ำ ร่างกายก็เริ่มชักกระตุก
“พอได้แล้ว!” แต่ขณะนั้นมีเสียงเ็าดังขึ้นมาจากที่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็น้ำเสียงที่แฝงออกคำสั่ง จากนั้นทุกคนหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะเห็นว่าผู้พูดก็คือบุตรผู้ว่าการไท่โจวเก้าเขต ไท่ฉื่อหลง
ดวงตาของไท่ฉื่อหลงส่องประกายเฉียบคมขณะเดินมาทางด้านเย่เฟิง ก่อนจะหยุดลงโดยรักษาระยะห่างสองจั้ง พร้อมกล่าวกับเย่เฟิงพลางยิ้มเ็า “เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่?”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรก็รีบพูดมา ข้าไม่มีเวลามาพล่ามไร้สาระกับเ้า”
ดวงตาของทุกคนพลันนิ่งอึ้งอีกครั้งราวกับไม่คิดว่าเย่เฟิงจะยังทำตัวก้าวร้าวแม้อยู่ต่อหน้าไท่ฉื่อหลง
“เขาคือบุตรของเ้าเมืองโยวโจว หากเ้าฆ่าเขา นั่นเท่ากับว่ามีความผิดร้ายแรง นับจากนี้ไปจะไม่ได้ผุดได้เกิดอีก ดังนั้นข้าขอเตือนเ้าให้ปล่อยตัวเขาซะ ข้าไท่ฉื่อหลงรับประกันว่าจะร้องขอความเมตตาจากท่านเ้าเมืองให้เ้า เพื่อให้เ้ามีชีวิตรอดอยู่ต่อไป” ไท่ฉื่อหลงกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยท่าทีหยิ่งผยองราวกับว่าคำพูดของเขาเป็บุญคุณอันใหญ่หลวง
“ไม่จำเป็ หากเ้าอยากช่วยชีวิตเขา ตอนนี้ก็ไสหัวออกไปซะ แล้วให้เ้าเมืองมาพบข้าที่นี่ด้วยตัวเอง!” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ แต่เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ต่างก็หน้าแข็งทื่อ กระทั่งไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง
“ชายผู้นี้โอหังมาก ไม่นึกว่าจะให้เ้าเมืองมาหาเขาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาถึงจะยอมปล่อยหยางเย่า หรือเขาไม่กลัวว่าเ้าเมืองจะระดมผู้ฝึกยุทธ์มาจัดการเขา?” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น เขายังไม่เคยพบเจอคนที่อวดดีอย่างเย่เฟิงเช่นนี้มาก่อน
“ให้ข้าไปเชิญเ้าเมือง เ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดของเ้ามันโง่เขลามากเพียงใด เ้าเมืองโยวโจวคือต้าหยวนแห่งราชสำนัก ไฉนคนธรรมดาเยี่ยงเ้าจะสั่งการได้?”
ไท่ฉื่อหลงได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าดูแคลน ในสายตาของเขา เย่เฟิงเป็เพียงคนธรรมดาชั้นต่ำที่ไม่มีตำแหน่งอะไรคนหนึ่งเท่านั้น
“วูบ!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น ไท่ฉื่อหลงก็ระดมพลังขั้นรวมชี่สูงสุดพร้อมเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จากนั้นไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงในพริบตา ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีไปที่หน้าอกของเย่เฟิง!
