อวิ๋นอี้ซ้อมหนักตลอดทั้ง่บ่าย เพลานี้เหนื่อยจนจะเป็สุนัขหอบอยู่แล้ว
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เซียงเหอยื่นให้ เช็ดเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ ในเพลานี้แขนของนางเจ็บและนิ้วชาไปหมด
เซียงเหอเห็นว่านางหน้าซีด จึงรีบยื่นน้ำชาให้พลันพูดด้วยความเป็ห่วงว่า “พระชายาเพคะ กว่าจะถึงการแสดงยังมีเวลาอีกตั้งเดือนกว่าๆ มิต้องรีบร้อนใจนะเพคะ เลือกบทเพลงได้แล้ว ซ้อมเสียหน่อยมิมีปัญหาแน่นอน หากเป็เหมือนเช่นวันนี้ ท่านจะเหนื่อยเกินไปนะเพคะ"
อวิ๋นอี้พยักหน้า เหนื่อยจริงๆ มิควรหุนหันพลันแล่นเช่นนี้เลย
ทว่านางก็พิจารณาตนเองเช่นกัน
แม้ว่าปากจะดุตู้ซือโหรวมิน้อย ทว่าอวิ๋นอี้ก็รู้สึกขอบใจนาง รู้ดีว่านางหวังดี
นางรู้ว่า หากนาง้าอยู่เคียงข้างหรงซิว นางต้องคู่ควรกับเขา
จะฝักใฝ่ความงามอันเป็เลิศกระไรนั่น คงไม่สมเหตุสมผล อย่างไรต้องขยัน มิให้เขาขายหน้า
อวิ๋นอี้มิอยากเป็เื่พูดคุยของผู้อื่นหลังอาหาร ยิ่งมิอยากผลักให้หรงซิวไปอยู่ในกระแสลมปากแหลมคม [1] เพราะตัวนางเอง
เมื่อก่อนที่นางมิได้รักเขา นางไม่สนใจได้อยู่แล้ว ทว่าเพลานี้นางไม่สามารถทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายได้
“พระชายาเพคะ วันนี้ฝึกแค่นี้เถิดเพคะ ฟ้ามืดแล้ว อีกครู่หนึ่งจะทานอาหารแล้ว ค่ำนี้ข้าจะเตรียมน้ำร้อนให้เพคะ ให้ท่านแช่อาบจะบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ดีเชียวล่ะเพคะ!" เซียงเหอพูดไม่หยุดพลางเก็บกู่เจิง นางเห็นว่ามิมีผู้ใดตอบจึงเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นอี้ พลันต้องก้มลงทำความเคารพทันที แล้วพูดด้วยความเคารพ "คา...คารวะองค์ชายเพคะ!"
หรงซิวพยักหน้า สบตาเข้ากับแววตาของอวิ๋นอี้ พลันยิ้มเบาๆ "ลุกขึ้นเถิด!"
เขาเดินไปหาอวิ๋นอี้ หยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือนาง แตะที่ปลายจมูกของนางพลันถามว่า "บทเพลงเมื่อครู่ เ้าเป็ผู้เล่นหรือ?"
อวิ๋นอี้พยักหน้า แกล้งถามว่า "คิดว่าเป็อย่างไรบ้างเพคะ?"
หรงซิวยิ้ม โค้งริมฝีปากด้วยท่าทางเสแสร้ง โยนคำถามให้นาง "แล้วเ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?"
"......" อวิ๋นอี้จ้องเขา กัดฟันด่า "เก่งนักนะเพคะ ตกลงแล้วข้าถามฝ่าาหรือฝ่าาถามข้ากันแน่! พูดมาเร็วเข้า! มิเช่นนั้นข้าจะตีนะ!”
นางยกกำปั้นขึ้น ข่มขู่เขาอย่างดุเดือด
หรงซิวหัวเราะ รีบให้ความร่วมมือขอความเมตตา "ข้าพูด ข้าพูดแล้ว! ท่านหญิงไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! มิทราบว่าท่านหญิงอยากจะฟังเื่จริงหรือโกหกพ่ะย่ะค่ะ?"
อวิ๋นอี้กลอกตาใส่เขา ิญญานักแสดงเข้าสิง แสดงต่ออย่างอดมิได้ "เ้าคิดเองสิ! หากเ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจะข่มขืนแล้วฆ่าเ้าเสีย!"
หรงซิวขยิบตาโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เพลิดเพลินกับร่างของข้าแล้ว ยังฆ่าข้าลงอีกหรือ?”
“ร่างกายมีอีกนับพันนับหมื่น มิแน่อาจจะอ่อนเยาว์กว่า ร่าเริงสดใสกว่าท่านก็เป็ได้” อวิ๋นอี้ยิ้มแสยะ ขยิบตาให้เขา “ฝ่าาอายุมากแล้ว ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งออกแรงมิไหว"
นางยังมิทันจะพูดจบ ก็รู้สึกว่าเอวแน่นขึ้นพลันมีร่างกายอันอบอุ่นแนบเข้ามา
แขนของบุรุษผู้นั้นแข็งแรง เขาค่อยๆ ดึงเข้า รัดนางแน่นจนนางต้องตบอกเขารัวๆ "ปล่อยเพคะ! ปล่อย! ฝ่าา! ปล่อยข้านะ!"
"ไม่ปล่อย!" หรงซิวกัดปลายจมูกนาง "เมื่อครู่เ้าพูดว่าอย่างไร? จะไปหาบุรุษอื่นหรือ? หืม?"
อวิ๋นอี้เม้มปาก มองดูท่าทางของเขาจึงเลือกเปลี่ยนเื่อย่างเฉลียว "ฝ่าารีบบอกสิเพคะ ว่าข้าดีดเป็อย่างไรบ้าง?"
“ไปทานข้าวกันก่อน คืนนี้ดูว่าข้าจะจัดการเ้าอย่างไร"
หรงซิวเมินนาง ยืนอยู่ที่เดิม ยกมือขึ้นแรง อวิ๋นอี้รู้สึกว่าโลกหมุนไปในทันใดจนร้องเสียงหลง
วินาทีถัดมา นางถูกอุ้มขึ้นบนบ่าของเขา เบื้องหน้าเป็พื้นร่างก้มลง
อวิ๋นอี้ได้สติกลับมา โบกมือและเท้าพร้อมกับข่วนหรงซิว “ฝ่าา ไอ้ๆๆๆ ไอ้คนชั่ว! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!"
"ไม่ปล่อย ฮูหยินฝึกกู่เจิงมาทั้งบ่ายแล้ว เหนื่อยมากสินะ ข้าปวดใจแทนเ้าอยู่เลยเชียว” เขาพูดไร้สาระ
อวิ๋นอี้ฮัมเสียง "ข้าฝึกด้วยมือ มิใช่ด้วยเท้า! ฝ่าา! วางลงเร็วเข้า! คนใช้เห็นเข้าจะทำอย่างไร!"
“เห็นก็เห็นไปสิ ข้ามิพูดกระไร มิมีผู้ใดกล้าพูดหรอก เ้าทำตัวดีๆ เพลานี้มิได้รู้สึกเหนื่อยเช่นนั้นแล้วใช่หรือไม่?”
พูดอย่างไรก็มิเป็ผล อวิ๋นอี้มิอยากจะพูดด้วยแล้ว
นางถูกพาเข้าไปในห้องโถง พ่อบ้านและคนใช้พากันจัดสำรับอาหาร เสี่ยวมู่อวี่เข้ามาด้วย เมื่อเห็นนางเขาก็ทักทายอย่างเป็มิตร
มือของอวิ๋นอี้ถูกหรงซิวจับไว้ค่อยๆ นวดเบาๆ นางอยากจะถอนตัวออก ทว่าเขาไม่ยอม ทั้งสองต่อสู้กันไปมาใต้โต๊ะ
ผ่านไปสองสามรอบ หรงซิวหัวเราะอย่างช่วยมิได้ เขากัดหูนาง “เ้าจะหลบกระไร ข้าจะนวดให้ มิได้เมื่อยมือหรือไร? ทำตัวดีๆ หน่อยได้หรือไม่?”
เมื่อก่อนนางว่าง่ายทุกอย่าง จนเหมือนไร้ตัวตน นางในเพลานี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงหลังหลับไปเท่านั้นที่นางจะสงบลงได้
นอกเหนือจากนั้น ทันทีที่ทั้งสองพบกัน พวกเขาประชันฝีปากกันตลอดเวลา
สตรีผู้หนึ่งในเวลาที่ปากคอเราะรายและก้าวร้าว มันทำให้เขาหงุดหงิดเสียจริง
อวิ๋นอี้มิรับน้ำใจพลันถอยห่างออกมาเล็กน้อย “ท่านจะเข้ามาใกล้เช่นนี้ทำไมเพคะ เสี่ยวมู่อวี่เห็นเข้าจะไม่ดีต่อเขา ทั้งยังเพลานี้ข้าจะทานอาหาร ท่านจับมือข้าไว้เช่นนี้ ข้าจะทานได้อย่างไร?"
"ข้าจะป้อนเ้าเอง" หรงซิวพูด
อวิ๋นอี้เม้มปาก "มิต้องเพคะ"
"มิต้องก็ต้องทำ เชื่อฟังข้า"
หรงซิวไม่เปิดโอกาสให้นาง มือของเขาออกแรงยิ่งขึ้น อวิ๋นอี้มิมีทางเลือก อาหารมื้อนี้ผ่านไปเฉกเช่นคนพิการ นอกจากจะอ้าปากเคี้ยว นางมิต้องทำกระไรเลย
เสี่ยวมู่อวี่ที่ทานอิ่มแล้ว พลันจงใจลูบแขนอย่างเกินจริงก่อนจะจากไป เพื่อเป็การบอกว่าเขาสองคนตัวติดกันได้เลี่ยนมาก ทำเอาคนขนลุก
อวิ๋นอี้กุมขมับ มิรู้ว่าในหัวของหรงซิวมีกระไร การกระทำที่มิได้ตั้งใจของเขาบางอย่างช่างยั่วยวนจริงๆ ทว่ามัดใจนางได้จริง
บุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้
หลังอาหารเย็น จากห้องโถงใหญ่ถึงห้องนอน หรงซิวใช้เหตุผลเดียวกัน บอกว่าอวิ๋นอี้เหนื่อยมากแล้วจึงจะอุ้มนางกลับเข้าไปในห้อง
หลังจากที่เซียงเหอปรนนิบัติให้นางอาบน้ำเสร็จก็ดึกแล้ว หลังจากที่วุ่นวายมาทั้งวัน ในที่สุดอวิ๋นอี้ก็มีเวลามาชำระบัญชีกับหรงซิว
นางดึงหรงซิวที่เอนตัวลงข้างเตียงขึ้นมา คว้าม้วนหนังสือในมือเขาแล้วโยนลงบนโต๊ะ
“กระไรกัน?” หรงซิวเลิกคิ้ว สูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า “หอมจัง อวิ๋นเออร์มานี่สิ ขอข้าดมหน่อยว่าเ้าหอมเช่นนี้เลยหรือไม่”
เขาคว้าข้อมือนาง กระตุกเบาๆ อวิ๋นอี้ถูกลากไปบนเตียงแล้วถูกกดอยู่ใต้ตัวเขา
“ลุกขึ้น!” นางกัดไหล่ของเขา “ข้ามีเื่จริงจัง!”
นางเงยหน้าขึ้น มิมีท่าทีเล่น หรงซิวใกับท่าทีที่จริงจังของนางได้เพียงยักไหล่พลันลุกขึ้นจากร่างนาง แล้วนั่งลงข้างๆ
อวิ๋นอี้รีบกลิ้งตัวขึ้นไปนั่งไขว่ห้างตรงข้ามเขา เอามือเท้าสะเอว
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย "วิจารณ์เื่ที่ข้าเล่นดนตรีวันนี้หน่อยเพคะ?"
"ข้าจะกล้าวิจารณ์เ้าได้อย่างไร?" หรงซิวโบกมือปัดอย่างรวดเร็ว เห็นอวิ๋นอี้มองอย่างดุร้าย เขาก็กระแอมเบาๆ "พูดรวมๆ ธรรมดามาก"
อวิ๋นอี้ก้มหน้าลงทันทีพลันถอนหายใจราวกับว่านางรู้อยู่แล้ว "ข้าคิดแล้วว่าต้องเป็เช่นนี้"
"ดูออกว่าเ้ามีพื้นฐาน ทว่าฝีมือยังไม่ดี ขาดอารมณ์ราวกับว่าแค่เล่นแบบผ่านไปทีเท่านั้น เ้าจะใช้สิ่งนี้แสดงหรือ?” หรงซิวลองถาม
อวิ๋นอี้พยักหน้า
หรงซิวใช้มือจิ้มที่มุมปากนางแล้วดึงขึ้นให้ยิ้ม “นอนเถิด เ้ายังคงต้องฝึกกู่เจิงอีกสักระยะ พรุ่งนี้ข้าจะเชิญอาจารย์มาให้ มิต้องเป็กังวลไป”
อวิ๋นอี้พยักหน้าอีกครา
ไฟในห้องดับหมด นางนอนอยู่ในอ้อมแขนของหรงซิว แม้ว่าตาของนางจะปิด ทว่าจิตใจของนางกลับว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ
เป็คราแรกที่นางมีความคาดหวังในตนเอง ทว่ากลับต้องทุกข์เพราะความสามารถไม่เพียงพอ สงสัยในตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตกอยู่ในความสับสน
มันจริงสินะ ที่เป็ปลาเค็ม [2] จะสบายที่สุด ทว่าที่ปวดไข่คือ นางมิได้อยากเป็ปลาเค็ม
เชิงอรรถ
[1] กระแสลมปากแหลมคม 风口浪尖 หมายถึง การโดนวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่โหดร้าย
[2] ปลาเค็ม 咸鱼 หมายถึง คนขี้แพ้ คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ฝักใฝ่ความสำเร็จใดๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้