นอกเมืองต้วนเริ่นมีทหารม้าโลหิตจ้องมองเปลวเพลิงที่รายล้อมเมือง หลังจากที่ท่านแม่ทัพสั่ง พวกเขาก็ควบม้าและวิ่งตรงเข้าไปในเมืองต้วนเริ่นอย่างไม่ลังเล
ชั่วพริบตาเดียวทหารม้าโลหิตก็มาถึงหน้าเมืองต้วนเริ่มพร้อมคันธนูในมือ เปลวเพลิงยังคงเผาไหม้ แต่ทหารม้าโลหิตก็เตรียมรับมือกับเปลวไฟมาแล้ว
ทันใดนั้นหัวลูกศรที่เผาไหม้ก็เล็งไป้า หลังจากปล่อยลูกธนูออกไป พวกมันก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ลูกศรที่ปกคลุมด้วยเปลวไฟล่องลอยอยู่บนท้องฟ้านับไม่ถ้วน จากรัตติกาลสีดำพลันสว่างจ้า เป็ภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเหล่าทหารโม่เยว่ที่อยู่ภายในเมืองต้วนเริ่นต่างมองลูกศรเปลวไฟที่ตกจากท้องฟ้าอย่างตกตะลึง ราวกับ์กำลังลงทัณฑ์พวกเขา
ทหารม้าโลหิตที่อยู่นอกเมืองหลังจากยิงลูกศรเปลวไฟแล้ว ก็ควบม้าไปอีกจุดหนึ่งและยิงลูกศรออกไปพร้อมกันอีกครั้ง ลูกศรเปลวไฟที่ยิงซ้ำออกไปทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนยิ่งสว่างจ้าราวกับเป็เวลาเที่ยงวัน
เพียงระยะเวลาสั้นๆ เมืองต้วนเริ่นก็กลายเป็ทะเลเพลิง ซึ่งเปลวไฟได้ลุกโชนไปทั่ว ทหารภายในเมืองต่างชุลมุนวุ่นวาย สิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาทำให้พวกเขาต้องวิ่งพล่านด้วยความโกลาหล
ภายในเมืองในเวลาเดียวกัน หลินเฟิงและคนอื่นๆ ก็ลอบเข้าเมืองเพื่อลอบสังหาร
หากมีการเตรียมพร้อมที่ดีแล้ว ห่าลูกศรเปลวไฟที่ตกจากท้องฟ้าย่อมไม่อาจทำอันตรายพวกที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 หรือสูงกว่าได้ แน่นอนว่ามันเป็เื่ยากที่จะทำลายอาณาจักรโม่เยว่ อย่างไรก็ตามพวกเขากลับสังหารทหารยศธรรมดาของโม่เยว่ไปจำนวนไม่น้อย แต่นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับการก่อความวุ่นวายให้กับกองทัพโม่เยว่
เปลวเพลิงเหล่านี้ทำให้กองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ไม่สามารถจัดรูปขบวนได้ ม้าศึกของพวกเขาก็บ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน
ในตอนนี้โม่เจี๋ยกำลังอยู่บนหลังคาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ลูกศรเปลวไฟที่พุ่งผ่านเบื้องหน้า ได้สะท้อนใบหน้าที่เคร่งขรึมและนิ่งเงียบให้สว่างขึ้น
“เปลวไฟเผาเมือง สมแล้วที่หลิ่วชั่งหลันได้ชื่อว่า ‘เทพลูกศร’”
โม่เจี๋ยพูดอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า “ข้าขอสั่งให้ทหารทั้งหมดไปยังประตูทิศเหนือ ไม่ต้องดับไฟและไม่ต้องไล่ฆ่าทหารเสวี่ยเยว่ที่เข้ามาในเมือง ทหารทุกนายจงไปรวมตัวกันที่ประตูทิศเหนือ เตรียมเผชิญหน้ากับศัตรู”
เมื่อโม่เจี๋ยกล่าวจบ คำสั่งของเขาก็ถูกส่งออกไปในทันที
ทันใดนั้นทหารโม่เยว่ได้ยินคำสั่งก็หยุดการกระทำทั้งหมดลง แล้วมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทางทิศเหนือ
สักแห่งในเมืองต้วนเริ่นตอนนี้มีคนจำนวนหนึ่งได้ถูกฆ่าไป ขณะเดียวกันคำสั่งของโม่เจี๋ยก็ได้กระจายไปทั่ว ทหารคนอื่นๆ ก็วางมือและหยุดสังหารหลินเฟิง ส่วนหลินเฟิงนั้นไม่ได้สนใจและมุ่งหน้าไปทิศเหนืออย่างรวดเร็ว
ไม่ได้มีเพียงทหารเท่านี้ แต่เมื่อทหารโม่เยว่ได้ยินคำสั่ง พวกเขาทั้งหมดต่างปฏิบัติตามทันทีอย่างไม่สงสัยและไม่ลังเล
“โม่เจี๋ยมีอิทธิพลอย่างมากในกองทัพของเขา”
หลินเฟิงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ อาณาจักรโม่เยว่สร้างให้โม่เจี๋ยกลายเป็สัญลักษณ์ของโม่เยว่ และวันนี้โม่เจี๋ยก็ถูกเทิดทูนราวกับเป็พระเ้า
แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยในความสามารถของโม่เจี๋ยสักนิด
หากทหารโม่เยว่ยังคงโกลาหลต่อไปและโกรธเกรี้ยวมากขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากมารวมตัวกันจะส่งผลให้พละกำลังมากขึ้นตามไปด้วย หากโจมตีพร้อมกันล่ะก็ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็คงไมต้องเอ่ยถึง ซึ่งนี่เป็การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว
“ตอนนี้เราต้องเชื่อมั่นในตัวลุงหลิ่ว”
หลินเฟิงคิดในใจ แล้วเขาก็กระชับดาบในมือวิ่งฝ่ากองเพลิงไป เขากำลังไล่ล่าทหารคนอื่นๆ ที่มุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือ
ในตอนนี้แม้กองทัพโม่เยว่พยายามรวมตัวกัน แต่ก็ยังคงวุ่นวายอยู่หลายส่วน แม้หลินเฟิงจะสวมเสื้อเกราะของทหารโม่เยว่อยู่ ก็ไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาเป็ศัตรู
ทหารมีนับแสนนาย หากจะรู้จักกันทั้งหมด มันย่อมไม่มีทางเป็ไปได้
ประตูทางทิศเหนือมีลูกศรตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยอดฝีมือที่แข็งแกร่งของโม่เยว่ก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่จิติญญานักรบธาตุน้ำแข็ง หิมะและน้ำ พวกเขาสามารถควบคุมน้ำเพื่อดับไฟที่ลุกโชนอยู่ตามรายทางเมืองต้วนเริ่นจนไปถึงสถานที่รวมผลอย่างปลอดภัย ในขณะนี้แม้ประตูเมืองทางทิศเหนือจะเป็ที่ปลอดภัยที่สุด แต่เป็ที่ที่สิ้นหวังที่สุดเช่นกัน
อย่างไรก็ตามกลับมีผู้คนมุ่งหน้ามายังทางนี้อย่างต่อเนื่อง เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็มีทหารนับแสนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ นอกจากนี้จำนวนคนก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนล้วนตกอยู่ในความเงียบสงัด จึงสามารถได้ยินเสียงความวุ่นวายที่ดังอื้ออึงรวมไปถึงเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาได้ชัดเจน
ขณะนี้โม่เจี๋ยยืนอยู่ด้านหน้าและมองประตูเมือง พร้อมกับกล่าวอย่างไม่แยแส “เปิดประตู”
“เปิดประตู!”
ทหารนายหนึ่งะโส่งคำสั่งอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องดังไปทั่ว จากนั้นประตูทิศเหนือก็เปิดออก
“ทหารม้ากองหน้าห้าพันนาย เปิดทางและรออยู่ด้านนอก”
โม่เจี๋ยกล่าวจบ กองทหารม้าจำนวนหนึ่งรวมตัวกันแล้วมุ่งหน้าออกนอกประตูเมือง
ในเวลากลางคืนไม่อาจเห็นที่ไกลๆ ได้ว่ามีการซุ่มโจมตีหรือไม่ อย่างไรก็ตามถึงจะเป็การซุ่มโจมตี แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่กองทัพของพวกเขาทั้งหมดจะถูกสังหาร
ท่ามกลางฝูงชน หลินเฟิงเพียงมองอย่างนิ่งเงียบ โม่เจี๋ยนั้นช่างเป็คนที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
แม้ในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับคำสั่งของเขา โม่เจี๋ยคือผู้นำที่แท้จริง แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น เขาก็ยังคงสงบนิ่งและปราศจากความหวาดกลัว
หากแม่ทัพไม่เยือกเย็นแล้วเหล่าทหารจะสงบได้อย่างไร? ด้วยจำนวนทหารที่มีมากเช่นนี้ ทำให้การสร้างระเบียบภายในกองทัพยิ่งยากตามไปด้วย
ประตูเมืองทางทิศเหนือที่อยู่ห่างจากชายแดนต้วนเริ่น โม่เจี๋ยคิดว่าหากเขาเป็หลิ่วชั่งหลัน เขาจะดักซุ่มอยู่ระหว่างชายแดนต้วนเริ่นกับเมืองต้วนเริ่น หรือก็คือประตูทางทิศตะวันตก ที่นั่นพวกเขาจะถูกขัดขวางการหลบหนีและบางคนก็จะติดอยู่ในเมืองต้วนเริ่น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เลือกไปประตูเมืองทางทิศตะวันตก แต่เลือกประตูทางทิศเหนือแทน
ทหารกองหน้าห้าพันนายฝ่าเข้าไปในความมืด ทุกอย่างเบื้องหน้าช่างเงียบสงัด ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ มีเพียงเสียงกีบเท้าของม้าเท่านั้นที่ดังต่อเนื่อง
ในขณะนั้นเสียงม้าร้องจำนวนหนึ่งก็ดังขึ้น พื้นดินใต้เท้าของมันไม่คงที่ ทำให้ทั้งม้าและทหารต่างตกลงไปในหลุมลึก
เมื่อเหล่าทหารม้าได้ยินเสียงดังกล่าว พวกเขาก็รีบวิ่งไปเพราะคิดว่าเป็การซุ่มโจมตีของศัตรู แต่ก็ต้องตกลงไปในหลุมเช่นกัน สถานการณ์จึงกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
“มีการซุ่มโจมตี”
มีทหารนายหนึ่งะโออกมา ทหารกองหน้าของโม่เยว่ไม่สามารถปีนกลับขึ้นไปได้ และมีม้าศึกหลายตัวถูกฝังอยู่ในดิน ส่วนสถานการณ์้านั้นมีม้าศึกออกวิ่งอย่างตื่นตระหนกไปมา ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นดูชุลมุนวุ่ยวายมาก
ส่วนทหารกองหน้าของโม่เยว่ที่เหลือต่างเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อล่าถอยไปเพียงไม่กี่ก้าวก็มีคนซุ่มโจมตีพวกเขาอยู่
เสียงกรีดร้องโหยหวนกังวานไปทั่วบริเวณ
ทหารโม่เยว่ที่อยู่ในเมืองต่างได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจากที่ไกลๆ ใบหน้าพวกเขาจึงซีดขาวราวกับกระดาษ ด้วยการซุ่มโจมตีนี้ทหารกองหน้าจะต้องตายอย่างแน่นอน
“เคลื่อนย้ายไปยังประตูทิศตะวันตก” สีหน้าของโม่เจี๋ยยังคงสงบนิ่งขณะกล่าวเสียงเรียบ จากนั้นกองทัพของเขาก็เคลื่อนไปยังประตูทิศตะวันตก
แม้จะมียอดฝีมือที่มีจิติญญานักรบธาตุน้ำแข็งคอยเปิดทาง แต่ระหว่างทางไปยังประตูทางทิศตะวันตกก็มีทหารหลายนายต้องตกตายไปในกองไฟ โดยเฉพาะลูกศรเปลวไฟที่ตกมาจากฟากฟ้ายังสังหารคนได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามทหารที่มารวมตัวที่ประตูทิศตะวันตกกลับดูไม่ลดลงแต่อย่างใด แต่มันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะระหว่างทางที่พวกเขาผ่านเมืองต้วนเริ่นก็ได้มีทหารโม่เยว่จำนวนมากกลับมารวมตัว
ในตอนนี้มีทหารกว่าสองแสนนายรวมตัวกันที่ประตูทิศตะวันตก แต่ในใจของโม่เจี๋ยกลับหนาวเหน็บอยู่เล็กน้อย การเผาเมืองช่างเป็กลยุทธ์ที่เหี้ยมโหดมาก แต่ก็ไม่อาจตำหนิได้ว่ากลยุทธ์นี้มีมาแต่โบราณ ซึ่งให้ผลลัพธ์อย่างอัศจรรย์ ทำให้ทหารนับแสนนายราวกับกลายเป็หมาจนตรอกและถูกติดอยู่ในเมืองต้วนเริ่น
“เปิดประตู ส่งทหารม้ากองหน้าสามพันนายออกไปเปิดเส้นทางมุ่งไปยังชายแดนต้วนเริ่น”
โม่เจี๋ยกล่าวอย่างไม่แยแส คราวนี้เขาไม่ได้ส่งทหารออกไปห้าพันนาย แต่เป็สามพันนาย
ประตูเมืองได้เปิดออก มีทหารม้ากลุ่มหนึ่งได้รวมตัวอยู่ด้านหน้าเพื่อเตรียมเปิดทาง
อย่างไรก็ตามตอนที่ประตูได้เปิดออก แววตาของทหารโม่เยว่ก็ดูประหลาดใจ ด้านหน้าของพวกเขาในตอนนี้มีทหารเสวี่ยเยว่จำนวนมากอยู่ท่ามกลางกองไฟ สายตาของพวกเขาทั้งหมดต่างเยือกเย็นและเคร่งขรึมราวกับิญญาที่มาจากนรก
ผู้ที่ยืนนำอยู่ในตอนนี้สวมเครื่องแบบทหาร ที่แท้ก็คือแม่ทัพเสวี่ยเยว่ หลิ่วชั่งหลัน
มันเป็กับดัก!
เพียงพริบตาเหล่าทหารโม่เยว่ต่างเข้าใจได้ทันที เมื่อครู่สิ่งที่โม่เจี๋ยได้เลือกไว้มันถูกต้องแล้ว ประตูทางทิศตะวันตกเต็มไปด้วยทหารของเสวี่ยเยว่ที่ซุ่มโจมตีอยู่ และเมื่อครู่ที่ด้านนอกประตูทิศเหนืออาจไม่ใช่การดักซุ่มแต่เป็กับดัก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็กลลวงที่สมบูรณ์แบบนัก
“แม่ทัพหลิ่ววางแผนได้ยอดเยี่ยมนัก ศึกครานี้โม่เจี๋ยต้องยอมรับด้วยวาจาและใจ”
โม่เจี๋ยกล่าวเสียงเย็นขณะมองหลิ่วชั่งหลันด้วยสายตาเ็า
ในขณะนั้นทหารเสวี่ยเยว่ก็ยังคงยิงธนูออกไป ฝนลูกศรจำนวนมากร่วงลงมาจากท้องฟ้า
เนื่องจากมีหอคอยบดบังการมองเห็นไว้ ทหารโม่เยว่จึงไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีศัตรูจำนวนเท่าใดที่รออยู่ข้างนอก ในสายตาพวกเขามีเพียงเปลวเพลิงที่อยู่บนเส้นขอบฟ้าเท่านั้น
“ศึกนี้มิใช่กลยุทธ์ของข้า”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวอย่างเฉยชา ขณะค่อยๆ ยกมือขึ้นช้าๆ
“มิใช่กลยุทธ์ของท่านแม่ทัพ แล้วเป็ใคร?”
โม่เจี๋ยถามอย่างสงสัย
“หลินเฟิง”
หลิ่วชั่งหลันโบกมือ ทันใดนั้นห่าฝนลูกศรจำนวนมากกลายเป็พายุและเข้าทำลายทหารของกองทัพโม่เยว่ทั้งสองแสนนาย
ภายใต้พายุลูกศรเพลิง ทหารจำนวนมากต่างตกตายไปโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ ในขณะเดียวกันลูกศรเพลิงที่ปักลงบนศพ ก็ได้ลุกลามจนกลายเป็กองเพลิงและเผาผลาญทหารเป็วงกว้าง
เมื่อโม่เจี๋ยเห็นว่ากองทัพเสวี่ยเยว่กำลังจะยิงลูกศรอีกชุดหนึ่ง ก็รู้แน่แล้วว่าเขาต้องไม่รอด
“ตาย!”
มีเสียงหนึ่งะโขึ้นมานั่นคือเสียงของโม่เจี๋ย ทันใดนั้นเหล่าทหารโม่เยว่ต่างพุ่งไปยังประตูเมืองอย่างกล้าหาญ พร้อมกับเข้าปะทะกับลูกศร
ในตอนนี้ทุกคนต่างกำลังจดจำชื่อของคนหนึ่งอยู่ ซึ่งก็คือหลินเฟิง!
หลังจากสิ้นศึกครั้งนี้ ชื่อของหลินเฟิงต้องโด่งดังไปทั้งอาณาจักรเสวี่ยเยว่และอาณาจักรโม่เยว่เป็แน่