‘ศิษย์พี่ซ่ง’ ผู้นั้นก้าวเดินมาอย่างช้าๆ ขณะที่เดินก็ยื่นมือออกไป ดาบิญญาที่เขาเพิ่งฟาดไปที่ศิษย์น้องของตนเองตกลงที่ด้านข้างพลันบินกลับเข้าไปในมือของเขาพร้อมกับเสียง ‘ชิ้ง’ จากนั้นถูกเขาพลิกมือรอบหนึ่งก่อนรับมันเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ เขาพูดอย่างโกรธเคือง “พวกเ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าอีกหรือ?! แม้แต่กระจกแปดทิศของอาจารย์ยังกล้าขโมย! ช่างอาจหาญยิ่งนัก! หรือว่าปกติข้าปล่อยปละละเลยพวกเ้าเกินไป ปล่อยจนพวกเ้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ? หนึ่งคนหรือสองคน้าที่จะถูกไล่ออกจากสำนักหรือ?”
“ศิษย์พี่ซ่ง! พวกเราสำนึกผิดแล้ว!!!”
“ศิษย์พี่...อย่าบอกอาจารย์นะ! พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว!!!”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นที่หยิ่งผยองอยู่เมื่อครู่ ขณะนี้ทุกคนต่างหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ต่างอ้อนวอนอย่างขมขื่น
ศิษย์พี่ซ่งดุด่าศิษย์ในสำนักของตนเอง หลังจากนั้นหันไปหาเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังที่ยืนอยู่ด้านข้าง ขณะที่กวาดสายตาไปที่ใบหน้าของทั้งสองก็หยุดนิ่ง เป็เวลานานถึงนึกออกว่าต้องประสานมือทำความเคารพพร้อมกล่าว “ไม่ทราบว่าสหายนักพรตทั้งสองคือศิษย์ของวิหารหลิงเซียวใช่หรือไม่? เมื่อครู่...ทำให้ขุ่นเคืองใจแล้ว”
เมื่อครู่นี้เจียงเฉิงเยว่ใเป็อย่างยิ่ง แต่หลี่อวิ๋นหังเพียงยืนอย่างเฉยเมยไม่ตอบ ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะตอบสนอง เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำตาลกลุ่มนั้นกลับฟ้องเสียก่อน “ศิษย์พี่ซ่ง! เห็นได้ชัดว่าพวกวิหารหลิงเซียวก็้าสถานที่แห่งิญญานี้...ครั้งที่แล้วมาคนเดียวจึงไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้ยังพาคนมาอีกเพื่อแย่งสถานที่! พวกเราไม่มีทางเลือกจึงต้อง...”
“หุบปาก!” ก่อนที่พวกเขาจะพูดจบ ศิษย์พี่ซ่งผู้นั้นกลับหยุดศิษย์น้อง “ข้าถามพวกเ้าหรือ?”
“...”
“เอ่อ...นั่น...” เจียงเฉิงเยว่กระแอมในลำคอ กำลังจะพูด หลังถูกดึงดูดด้วยเสียงของการต่อสู้ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของเหล่าศิษย์จากวิหารหลิงเซียวและข้าราชบริพารองครักษ์ที่มาอารักขาเจียงเฉิงเยว่เอะอะโวยวายกันเข้ามา ทันใดนั้นความมืดมัวเข้ามาอย่างแน่นขนัด
“ฝ่าา!!! เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้ารอองครักษ์จึงมาช้า...ข้าน้อยสมควรตายที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ตกพระทัย!!!”
ณ ตอนนี้ ถึงคราวที่ศิษย์ในชุดสีน้ำตาลกลุ่มนั้นทุกคนตกตะลึงจนตาค้าง
ในบรรดาข้าราชบริพารที่เจียงเฉิงเยว่พามา ผู้มีระดับสูงที่สุดคือขันทีในชุดสีม่วงซึ่ง ณ เวลานี้ตกตะลึงจนใบหน้าไร้สีเื หลังจากนั้นดึงเจียงเฉิงเยว่มาสำรวจอยู่เป็เวลานาน ในถ้อยคำมีน้ำเสียงสั่นเครือราวกับร้องไห้อย่างเกินจริงแล้วกล่าว “ฝ่าา! ทรงอย่ากระทำเื่เช่นนี้ตามอำเภอใจอีกเด็ดขาด...แม้ว่าที่นี่จะเทียบไม่ได้กับพระราชวังโซ่วหลิง ฝ่าาทรงมีฐานะเป็องค์รัชทายาท เส้นขนขาดสักเส้นก็สร้างความเ็ปให้บ้านเมืองและประเทศ...ต่อให้ทาสชราตายเป็หมื่นครั้งคงไม่อาจชดใช้ได้!!!” ขณะที่พูดเขาเช็ดที่หางตากับหน้าผาก แล้วหันไปหาศิษย์ในชุดสีน้ำตาล ใบหน้าเศร้าหมองกลายเป็ขมวดคิ้วในทันทีพร้อมดุด่า “เ้ากำลังรอผู้ใด?! ช่างเป็ผู้ที่บังอาจอย่างไร้เหตุผล...ต่อต้านความยิ่งใหญ่ของตระกูล์ เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วหรือ?”
บรรดาศิษย์ของวิหารหลิงเซียวที่เจียงเฉิงเยว่พามาอยู่ที่ด้านหลังมีคนหนึ่งที่จำเครื่องแบบของเด็กหนุ่มเ่าั้ได้ รีบมาทูลอยู่เื้ั “ฝ่าา...ดูเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าจะเป็ศิษย์ของสำนักชิงเฟิงจากเบื้องล่างพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิง นอกจากศิษย์พี่ซ่งของพวกเขาแล้ว ผู้ที่สร้างปัญหาล้วนร่างสั่นเทา เหงื่อไหลท่วม ต่างก้มศีรษะไม่กล้าเงยหน้า
ยกเว้นศิษย์พี่ซ่งผู้นั้นที่ตกตะลึงเป็เวลานานก่อนที่จะยืดอก หากถูกจดจำได้ก็หลบหลีกไม่พ้นเสียแล้ว จึงก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวมาถึงตรงหน้าเจียงเฉิงเยว่ ประสานมือทำความเคารพกล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวทว่าไม่ได้ถ่อมตัว “เดิมทีสหายนักพรตคือองค์รัชทายาท...ข้าน้อยซ่งชิงอวี้แห่งสำนักชิงเฟิง ศิษย์ในสำนักที่ละเลยการอบรม ไม่อาจคิดที่จะล่วงเกินฝ่าา...”
เขายังไม่ทันพูดจบ เจียงเฉิงเยว่กลับมามีสติอีกครั้ง ทว่าเขากลับแสดงอานุภาพขององค์รัชทายาท ยกยิ้มอย่างเ็าก่อนพูดเสียงดัง “ล่วงเกิน?”
ซ่งชิงอวี้ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นจึงตระหนักได้ว่าเื่นี้อาจคลี่คลายไม่ง่ายนัก
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เป็ศิษย์ในสำนักจะเลวทรามได้อย่างไร? การกระทำที่ยกดาบชั่วร้ายนับเป็ ‘ล่วงเกิน’ เท่านั้นหรือ?”
ซ่งชิงอวี้เบิกตากว้างเล็กน้อย ทำความเคารพอีกครั้งอย่างเร่งรีบ “ฝ่าา…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เจียงเฉิงเยว่ยกมือขึ้นหยุดอย่างโหดร้าย “ข้าทราบว่านักพรตซ่งไม่ยินยอม เพราะเห็นว่าเราทั้งคู่ปลอดภัย...เช่นนั้นข้าอยากถามนักพรตซ่ง วันนี้หากข้าไม่ได้มีฐานะเป็องค์รัชทายาท แต่เป็เพียงศิษย์ผู้ฝึกฝนธรรมดาของวิหารหลิงเซียว...หากนักพรตซ่งมาไม่ทันเวลา...จะปล่อยเื่นี้ไปหรือไม่? หากเราสองพี่น้องตายคาที่ก็นับเป็การรนหาที่ด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากซ่งชิงอวี้ได้ยินว่าถ้อยคำนี้ไม่ถูกต้อง จึงรีบแย้งอย่างเร็วไว “ฝ่าา ซ่งไม่มีเจตนาเช่นนั้นอย่างแน่นอน!”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้วกล่าว “นักพรตซ่งไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ก็ต้องถามว่าเหล่าศิษย์พี่น้องของท่านว่าไม่มีเจตนาเช่นนั้นหรือไม่? ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามีความแค้นอะไรกับน้องห้าของข้า ทันทีที่เห็นกลับชักดาบโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หากไม่รู้คงคิดว่าเป็ศัตรูคู่แค้นที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ นอกจากนี้...แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีความขัดแย้งใด ศิษย์ในสำนักของท่านกลับใช้จำนวนคนมารังแกเราสองพี่น้อง จะไม่เป็ที่น่าเหยียดหยามเกินไปหน่อยหรือ? ทุกท่านล้วนเป็ผู้บ่มเพาะเต๋า หรือว่าคำสอนของสำนักท่านสอนให้ศิษย์ในสำนักบ่มเพาะโดยรังแกผู้อ่อนแอหรือ?”
ซ่งชิงอวี้ทำให้เขาไม่พอใจ ใบหน้านั้นซีดขาว แต่กลับมีเหตุผลไม่เพียงพอจนไม่รู้ว่าต้องตอบกลับอย่างไร จึงทำได้เพียงแอบจ้องเหล่าศิษย์น้องที่สร้างปัญหา
ในความเป็จริงแล้ว เจียงเฉิงเยว่ไม่ใช่คนปากคอเราะราย แม้ว่าก่อนหน้านี้คิดจะโวยวายมาก่อน แต่กลับไม่เคยคิดว่าตนเองจะสามารถพูดอย่างน้ำไหลไฟดับได้ในเวลานี้ ภายในใจของคนทั้งหมดหนักอึ้งเพราะเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์สำนักชิงเฟิงที่ถือกระจกแปดทิศผู้นั้นเกือบทำร้ายหลี่อวิ๋นหังจริง อีกฝ่ายตกตะลึง ยามนี้ไฟโทสะที่สั่งสมจากความหวาดผวาที่มากเกินไปนับว่ากำลังเสาะหาที่ระบาย
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ในเมื่อนักพรตซ่งอยู่ที่นี่...เช่นนั้นข้าจะตั้งใจฟัง ท้ายที่สุดแล้วเหตุใดเราสองพี่น้องถึงทำให้ทุกท่านขุ่นเคือง? หากพวกเราผิด ข้าจะขออภัยต่อสำนักของท่านด้วยตนเอง! หากไม่ใช่ ทุกท่าน...” เขาหรี่ตาโดยที่กล่าวไม่จบ
เวลานี้ ซ่งชิงอวี้ห้ามเหงื่อเย็นบนหน้าผากไว้ไม่อยู่ ใบหน้ากลายเป็สีคล้ำ เขาหันกลับไปมองศิษย์น้องร่วมสำนัก เมื่อเห็นพวกเขาทั้งหมดตัวสั่นและสติหลุดจากความตกตะลึงจึงทนไม่ได้ ประสานมืออีกครั้งแล้วกล่าวกับเจียงเฉิงเยว่ซ้ำอีกครา “ฝ่าาโปรดอภัย...ศิษย์ในสำนักช่างไม่รู้ความ จึงรบกวนองค์ชายทั้งสองพระองค์เสียแล้ว เื่นี้ซ่งต้องรายงานกลับไปยังเ้าสำนัก พร้อมสอบสวนอย่างละเอียด...”
“นักพรตซ่ง...นี่หมายความว่าข้ากล่าวอย่างไร้มูลความจริงและสร้างปัญหาโดยไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ? ยังจะต้อง ‘รายงาน’ และ ‘สอบสวน’ อีกหรือ?
ในที่สุดซ่งชิงอวี้ก็ใจนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาประสานมือกล่าว “ฝ่าา เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้น?”
หลังจากคุกเข่าลง เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านหลังจึงทยอยฟื้นคืนสติกลับมาจากอาการตกตะลึง ค่อยๆ คุกเข่าลงทีละคน
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยออกมา “เหล่าศิษย์ในสำนักของท่านหันคมดาบให้ข้าผู้เป็ทายาทแห่งจงซาน เป็สิ่งที่คนทั้งหมดเห็นด้วยตาของตนเอง นักพรตซ่งทำเื่เลอะเลือนเช่นนี้...คิดว่าข้าเป็ลูกพลับอ่อน1 หรือ?”
ขันทีในชุดสีม่วงที่อยู่ด้านหลังเจียงเฉิงเยว่คือผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด เขาพูดแทรกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ “กฎหมายของราชวงศ์ การทำร้ายทายาทของจักรพรรดิถือเป็การสมคบคิดทรยศต่อประเทศ...นักพรตซ่ง ข้าไม่รู้ว่าสำนักชิงเฟิงของเ้าสามารถแบกรับโทษฐานนี้ได้หรือไม่...”
ในที่สุดซ่งชิงอวี้ก็ตระหนักได้ว่าองค์ชายผู้นี้ไม่คิดรามือ เขาพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยทันที “ฝ่า ฝ่าา...”
ศิษย์สำนักชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลังร้องไห้อย่างเศร้าโศกโดยพลัน พวกเขาโขกศีรษะราวกับโขลกกระเทียม “ฝ่าาโปรดอภัย...ฝ่าาโปรดอภัย...ข้ามีตาแต่กลับไม่รู้จักูเาไท่ซาน2 !”
“ฝ่าา...พวกเราไม่กล้าอีกแล้ว! ฝ่าาทั้งสองพระองค์โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
เจียงเฉิงเยว่ยกมุมปากยิ้มอย่างเ็า คิดในใจว่าทำไมไม่เห็นพวกเ้ามีความเคารพเช่นนี้ยามที่เรียกพวกเขาว่า ‘องค์ชายผายลมสุนัข’ ในวันนั้น?
ขันทีในชุดสีม่วงประสานมือพร้อมกล่าวกับเจียงเฉิงเยว่ “ฝ่าา...ทรง้าให้คนไปรายงานพระองค์ในทันทีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? สถานที่นี้อยู่ห่างจากโซ่วหลิงไม่เกินร้อยลี้...หากส่งทหารมาที่นี่คงใช้เวลาเพียงสองสามวันเท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่ายอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง ขันทีในชุดสีม่วงมองเห็นความตั้งใจของเจียงเฉิงเยว่จึงเพิ่มอิฐและกระเบื้อง3 เพื่อช่วยเติมเชื้อไฟ ในความเป็จริงแล้ว เื่นี้ไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะกำจัดสำนักด้วยเหตุผลเช่นนี้ เจียงเฉิงเยว่รู้สึกซาบซึ้งอย่างไม่รู้จบ บางทีการมีบิดาเป็จักรพรรดิช่างน่ารื่นรมย์ดีจริงเชียว
เมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้ว เจียงเฉิงเยว่ถือโอกาสผ่านบันไดขั้นที่หนึ่ง ยักคิ้วและถาม “นักพรตซ่ง...ท่านคิดว่า...ข้า้าปะทะหรือไม่?”
ซ่งชิงอวี้คุกเข่าพร้อมยืดตัวตรง หลังพิจารณาอยู่นานจึงตอบกลับเสียงดัง “ฝ่าา สิ่งที่ซ่งพูดไปเมื่อครู่ มิได้มีหมายความว่าจะหลบเลี่ยงและปัดความรับผิดชอบ ศิษย์สำนักชิงเฟิงปะทะกับองค์ชายทั้งสองพระองค์ย่อมเป็เื่ใหญ่ และซ่งเป็เพียงศิษย์ผู้หนึ่ง ไร้อำนาจชี้เป็ชี้ตายต่อศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก เื่นี้ต้องให้เ้าสำนักหรงปิ่งจัดการ หลังจากนั้นจะมีผู้าุโของสำนักที่ตัดสินใจว่าจะสังหารหรือขับไล่ศิษย์ที่กระทำผิดออกไป ซ่งรับรองกับฝ่าาได้ เื่นี้...สำนักชิงเฟิงจะไม่ปล่อยปละละเลยโดยเด็ดขาด จะให้คำตอบที่น่าพอพระทัยแก่ฝ่าาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “ตกลง นักพรตซ่งดูเหมือนจะเป็ผู้ที่รู้เหตุรู้ผล...ข้าจะให้เวลาท่านสามวัน...เมื่อสำนักชิงเฟิงตัดสินเป็ที่แน่นอนแล้วมาที่วิหารหลิงเซียวของข้า ท่านอาจารย์ของข้าจะเป็ผู้ตัดสินใจ”
ถึงอย่างไรเขาก็บ่มเพาะอยู่ที่นี่จึงต้องไว้หน้าราชครู แม้ว่าเขาจะเป็องค์ชายก็ต้องรู้จักมารยาทและเคารพอาจารย์ หลังจากนั้น เขาแสร้งมองไปยังกลุ่มคนด้านหลังอีกฝ่ายอย่างเ็าแวบหนึ่ง กล่าวเสียงดัง “กลับวิหารหลิงเซียว!” กล่าวจบก็ทิ้งศิษย์สำนักชิงเฟิงที่ยังคงตัวสั่นราวกับแกว่งตะแกรงอยู่ ไม่ลืมที่จะดึงมือเล็กของหลี่อวิ๋นหังก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป
ตลอดทางทุกคนเดินตามมาอยู่ด้านหลังเขาด้วยความเคารพ ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่จึงพอใจมากยิ่งขึ้น ขณะเดินมุมปากกลับยกขึ้นแล้วทอดถอนใจไม่หยุดเมื่อรู้สึกว่าการกลั่นแกล้งผู้อื่นค่อนข้างทำให้รู้สึกเบิกบานทีเดียว ยามอยู่ต่อหน้าทุกคน หลี่อวิ๋นหังไม่สามารถต่อต้านเขามากเกินไป ทำได้เพียงฝืนใจโดนจูง หลังจากที่ทั้งสองคนผละออกจากกลุ่มคนด้านหลังมาระยะหนึ่งอีกฝ่ายจึงกระซิบถาม “ท่านตั้งใจหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขาถามกลับ “อะไร?”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบ
สถานการณ์นี้ทำให้เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีความรู้สึกกังวลอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ
ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบงันพักหนึ่ง จากนั้นเจียงเฉิงเยว่จึงคิดอะไรได้ เขาถามกลับ “อาหัง...แสงรัศมีเมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ทันทีที่เขานึกขึ้นได้ว่าหลี่อวิ๋นหังเองก็ล้มลงไปคุกเข่าบนพื้นอย่างสั่นสะท้านจึงร้อนใจ เขารีบหยุดเท้าแล้วดึงหลี่อวิ๋นหังมานั่งยองลงเพื่อจับไหล่ทั้งสองข้าง ตรวจสอบไปทั่วแล้วถามต่อ “เ้าาเ็ตรงไหนหรือไม่่? มีความรู้สึกแน่นหน้าอกหรือไม่กัน? ถึงแม้จะไม่ได้าเ็ภายนอก หากภายในาเ็ก็ไม่อาจมองข้ามได้...”
หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะทนไม่ได้อยู่เล็กน้อยที่เขาอยู่ใกล้ชิดมากถึงเพียงนี้ แก้มขึ้นสีแดง จากนั้นใช้แรงในการดิ้นรนถอยหลังไปครึ่งก้าว “ไม่เป็ไร”
เจียงเฉิงเยว่ “ชิ” เขาเม้มริมฝีปากแล้วสวมมาดของพี่ชายเพื่ออบรมอย่างจริงจัง “ฮึ่ม ข้าไม่ได้จะว่าเ้าหรอกนะ! เ้าเพิ่งจะอายุเท่าไรกลับใช้อาวุธต่อสู้กับผู้อื่นแล้ว อีกฝ่ายมีคนมากกว่าเ้า หากสู้ไม่ได้ก็ควรวิ่งสิ! ห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด...ไม่มีอะไรที่น่าอาย ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย...นอกจากนี้...เหตุใดเ้าถึงมาขวางด้านหน้าเสด็จพี่เล่า? เ้าเป็เด็กน้อยผู้หนึ่ง เ้าจะเอาชนะใครได้? เสด็จพี่ไม่้าให้เ้าปกป้อง ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้...”
ดูเหมือนว่าหลี่อวิ๋นหังจะถูกถ้อยคำของเขากระทบกับเื่ภายในใจที่ไม่เต็มใจให้เอ่ยถึง ใบหน้าซีดขาว ขมวดคิ้วแน่นแล้วถามอย่างรีบร้อน “เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย?”
เจียงเฉิงเยว่พูดอย่างโกรธเคือง “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าไม่สามารถดูแลเ้าได้แล้วหรือไร?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ไม่ต้องให้ท่านมาดูแล!”
เจียงเฉิงเยว่เคาะหน้าผากของอีกฝ่ายแ่เบา “เ้าเด็กนี่! ข้าคือเสด็จพี่ของเ้า! ข้าไม่ดูแลเ้าแล้วใครจะดูแลกัน?”
หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน จึงนิ่งค้างอย่างคาดไม่ถึงชั่วขณะ จ้องมองเขาอย่างตกตะลึงจนตาค้าง หลังจากที่นิ่งเป็เวลานานกลับกระทืบเท้าอย่างน้อยอกน้อยใจแล้วหมุนตัววิ่งหนีออกไปโดยพลัน
ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่ก็หงุดหงิดเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทิศทางที่อีกฝ่ายวิ่งไปคือวิหารหลิงเซียว จึงไม่เป็ห่วง
ดังนั้นเมื่อถึง่เย็น หลี่อวิ๋นหังจึงไม่สนใจเขา
อารมณ์ของเจียงเฉิงเยว่มาและไปอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะหนึ่งเขาอารมณ์เสีย หลังจากนั้นกลับรู้สึกผิดและอับอายขึ้นมา
แม้ว่าพฤติกรรมของหลี่อวิ๋นหังจะอวดดีและชอบเอาชนะอยู่เล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วก็เป็เพราะ้าปกป้องตนเอง นอกจากนี้หากเขาไม่ได้ให้กำเนิดแมลงเม่า4 ด้วยตนเองเช่นนี้ เหตุใดหลี่อวิ๋นหังถึงขั้นต้องเข้ามาเกี่ยวพันด้วย...เด็กน้อยที่เ็าและดื้อรั้นผู้นั้นแสดงความเมตตาต่อเขาอย่างกล้าหาญเป็ครั้งแรก ทว่าผลลัพธ์คือถูกเขาอบรมอยู่พักหนึ่ง ไม่แปลกที่จะน้อยใจกระทั่งไม่สนใจเขา
ฉะนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงคิดหาโอกาสหลีกเลี่ยงกลุ่มคนอยู่นานเพื่อขอโทษเด็กน้อย...ทว่าหลี่อวิ๋นหังไม่ให้โอกาสเขาอย่างสิ้นเชิง หากไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนก็รวมตัวอยู่กับเหล่าศิษย์ หลังจากผ่านเวลาอาหารเย็นยามที่ศึกษาการเขียนจากความจำ เจียงเฉิงเยว่จึงแสร้งทำเป็ตั้งใจเรียนแล้วอยู่ในโถงฉิวเชวี่ยไม่ยอมออกไปไหน
------------------------
[1] ลูกพลับอ่อน เป็สำนวน หมายถึง คนอ่อนแอที่รังแกง่าย
[2] ไม่รู้จักูเาไท่ซาน เป็สำนวน หมายถึง มีตาหามีแววไม่
[3] เพิ่มอิฐและกระเบื้อง เป็สำนวน หมายถึง ช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ
[4] ให้กำเนิดแมลงเม่า เป็สำนวน หมายถึง จงใจหาเื่
