เธอไม่เคยรู้เลยว่า การรอคอยการเติบโตนั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ หมี่หลันเยว่พยายามอย่างยิ่งที่จะรับข้อมูลต่างๆ จากภายนอก แม้ว่าเธอจะยังพูดไม่ได้ แต่เธอก็เข้าใจทุกอย่าง ั้แ่ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตให้แตกต่าง ก็ต้องเริ่มต้นพยายามั้แ่วินาทีนี้ คว้าทุกโอกาสเอาไว้ แต่เส้นทางที่ไม่เหมือนเดิม ก็ย่อมหมายถึงการบอกลาเื่ราวในอดีตชาติ
"น้องสาว ยิ้มหน่อยสิ"
นั่นคือพี่ชายของเธอ อายุมากกว่าเธอสามปี แต่จริงๆ แล้วแค่สองขวบกว่าๆ หมี่หลันเยว่รู้ว่าพี่ชายของเธอฉลาดมาั้แ่เด็ก
เพียงแต่ว่าพ่อแม่ในชาติที่แล้วนั้นยุ่งมาก พวกเขาทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการสอนนักเรียนจนละเลยการดูแลลูก ทำให้พี่ชายกลายเป็คนที่มีมันสมองธรรมดา แม้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นพี่ชายจะทำงานในหน่วยงานราชการ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก
ดังนั้นมันยังไม่พอ เธอจะต้องผลักดันเขาให้ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม
หมี่หลันเยว่กำหมัดน้อยๆ ที่ยังไม่ค่อยมีแรงของตัวเอง พร้อมตั้งปณิธานว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพี่ชายในชาตินี้เช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วเธอก็กลับมาเกิดใหม่พร้อมความทรงจำ ความสามารถในการมองเห็นอนาคต หลายๆ เื่จึงสามารถควบคุมและฉกฉวยความได้เปรียบได้ และเมื่อมีข้อได้เปรียบเช่นนี้แล้ว หากยังคงใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ประโยชน์เหมือนเดิม ก็คงเป็การทรยศต่อความหวังดีของ์แล้ว
"แม่ครับๆ น้องสาวยิ้มแล้ว"
เสียงของพี่ชายดังอยู่ข้างหู จนเธอรู้สึกไม่สบายหู แต่ในใจของหมี่หลันเยว่รู้สึกอบอุ่นยิ่ง ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การมีความสุข
"โอ๋ ดูน้องดีๆ นะลูก แม่ใกล้จะทำอาหารเสร็จแล้ว พ่อก็ใกล้จะเลิกงานกลับมาแล้ว กินข้าวเสร็จแล้ว ค่อยให้พ่อพาไปเดินเล่นหลังเขานะ"
แน่นอนว่าพี่ชายตอบรับด้วยความยินดี เขาเฝ้าอยู่ข้างเตียงอย่างเชื่อฟัง คอยหยอกล้อน้องสาวตัวน้อย
หมี่หลันเยว่นอนอยู่บนเตียง นึกถึงสภาพบ้านของเธอในตอนนี้ แม้ว่าบ้านของเธอจะอยู่ในเมือง แต่ในยุค 70 กว่าๆ เมืองนี้ก็ยังไม่เจริญมากนัก เดิมทีก็เป็เมืองเล็กๆ ที่ไม่มีตึกสูงๆ เลยสักหลัง เหมือนกับบ้านของเธอที่บอกว่าสร้างอยู่ริมเชิงเขา ก็เป็บ้านชั้นเดียวที่เกาะอยู่บนเนินเขานั่นเอง
เมื่อเปิดประตูรั้วบ้านออกไป ก็จะเป็บันไดหินสิบกว่าขั้นที่ทอดขึ้นไปยังลานบ้าน้า และด้วยเหตุนี้เอง สองข้างของบันไดหินจึงถูกก่อเป็ห้องหินสองห้องตามความสูงของลานบ้าน
ห้องทางด้านซ้ายใช้เป็ห้องเก็บของ ส่วนห้องทางด้านขวาใช้เก็บฟืนและถ่านหินดิบ เป็การใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด
ส่วนลานบ้านบนบันไดหินนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ตัวบ้านมีความยาวประมาณสิบเมตร และลานบ้านก็มีความยาวเท่ากัน จากบันไดหินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน มีระยะประมาณแปดเก้าเมตร พ่อใช้ผนังอิฐแดงเรียงกันเป็ลวดลาย
สองข้างทางเดินอิฐแดงกว้างเมตรกว่าๆ เป็พื้นที่ว่างสองฝั่งที่พ่อปลูกดอกไม้และต้นไม้ประดับเล็กๆ น้อยๆ ตกแต่งลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้ และในพื้นที่ด้านในที่ติดกับดอกไม้และต้นไม้ พ่อก็ปลูกผักที่สามารถเก็บกินเล่นได้ง่ายๆ เช่น มะเขือเทศ แตงกวา ซึ่งสะดวกสบายมาก
ส่วนในแปลงดอกไม้และต้นไม้ทางด้านขวา พ่อก็เว้นที่ว่างไว้ให้พวกเราเล่นกัน พื้นที่ตรงนั้นแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอให้พวกเราวิ่งเล่นกันได้ หรือจะปล่อยลูกไก่ลูกเป็ดออกมาเดินเล่น ให้พวกมันได้เดินเล่นบ้าง ในยุคสมัยนี้ไข่ไก่ยังถือเป็ของฟุ่มเฟือย ทุกบ้านจึงต้องเลี้ยงไก่ไว้สองสามตัว เพื่อเก็บไข่ไว้บำรุงร่างกายให้ลูกๆ
ตรงรอยต่อระหว่างพื้นดินกับทางเดินอิฐ พ่อใช้ก้อนอิฐแดงเฉียงลงในดิน โดยให้เห็นแต่ขอบสามเหลี่ยมของอิฐแดง เพื่อใช้ประดับทางเดิน และใช้เป็เส้นแบ่งระหว่างทางเดินกับพื้นดินด้วย จะเห็นได้ว่าพ่อเป็คนที่มีฝีมือมาก สามารถจัดบ้านให้สวยงามได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเดินผ่านทางเดินอิฐแดงนี้ไป ก็จะถึงประตูบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ยังคงเป็ทางเดินแคบๆ สองข้างทางเป็ห้องสองห้อง ห้องทางด้านซ้ายเป็ห้องใหญ่ เป็ห้องนอนของพ่อแม่ ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงเตาอุ่นๆ ในห้องนี้ ส่วนห้องทางด้านขวาเป็ห้องเล็ก ด้านหลังห้องเล็กเป็ห้องครัว เมื่อเดินผ่านทางเดินที่มาจากประตูหน้าไป ก็จะถึงห้องครัว
ด้านหน้าห้องครัวมีหน้าต่างบานหนึ่ง ใต้หน้าต่างมีม้านั่งเตี้ยๆ ที่ทำจากไม้กระดานแผ่นเดียว มีขาสี่ข้างที่บานออกด้านนอก โดยมีไม้เล็กๆ สี่ท่อนเชื่อมต่อกันด้วยเดือย ในยุคนั้นม้านั่งที่ไม่สะดุดตาแบบนี้ ตอนนี้ถือเป็งานฝีมือชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว
บนม้านั่งมีอ่างล้างหน้าวางอยู่ ปกติแล้วในอ่างจะไม่มีน้ำ เมื่อยกอ่างลง ก็สามารถเหยียบม้านั่งปีนออกไปหลังบ้านได้ แม้ว่าในบ้านจะต้องเหยียบม้านั่งปีนขึ้นไปที่ขอบหน้าต่าง แต่พื้นดินนอกหน้าต่างอยู่ห่างจากขอบหน้าต่างเพียงสามสี่สิบเิเเท่านั้น จะเห็นได้ว่าบ้านของเธอตั้งอยู่บนเนินเขาจริงๆ
นอกหน้าต่างเป็พื้นที่ราบที่เปิดออกไปตามไหล่เขา ้าไม่ได้ปลูกอะไร เพราะใต้พื้นที่ราบแห่งนี้มีห้องเก็บผักขนาดเท่ากัน ห้องเก็บผักมีประโยชน์มาก ในฤดูหนาวสามารถเก็บผักฤดูหนาวได้ทุกชนิด ภายในอบอุ่นกว่าข้างนอกมาก ส่วนในฤดูร้อนกลับเย็นสบาย สามารถเก็บอาหารที่เสียง่ายได้
และบนห้องเก็บผัก มีพื้นที่ลาดชันขนาดใหญ่ที่เปิดโล่ง ซึ่งปลูกผักต่างๆ ไว้มากมาย ที่ด้านข้างของห้องเก็บผักมีบันไดสิบกว่าขั้นที่ขุดขึ้นมาตามธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากมุมของเนินเขา มีแผ่นหินฝังอยู่้า เดินง่าย ไม่ลื่น และเมื่อเดินขึ้นไปตามบันได ก็จะถึงพื้นที่ลาดชันขนาดใหญ่ที่ปลูกผักต่างๆ ซึ่งเป็ที่ที่แม่เพิ่งบอกว่าพ่อจะพาพี่ชายไปเล่น
ความทรงจำเก่าๆ ไหลมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พาหมี่หลันเยว่ย้อนกลับไปยัง่เวลาที่หายไป แต่ในตอนนี้เธอพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ทบทวนความทรงจำ่นี้ให้ดี แต่จะควบคุมและวางแผนมันอย่างไร เธอยังต้องคิดให้รอบคอบ หมี่หลันเยว่จมดิ่งสู่ห้วงนิทราอันแสนลึกภายใต้ความคิดที่หนักอึ้ง
…..
การรอคอยวันที่เติบโตนั้นมันยากเย็นกว่าที่คิดไว้ จากการร้องไห้งอแง จนถึงการเตาะแตะหัดเดิน ประสบการณ์ใน่ปีเศษๆ นี้ ทำให้หมี่หลันเยว่แทบจะทนไม่ไหวอยู่หลายครั้ง เธอได้หวนกลับไปัักับการดูดนมแม่อย่างยากลำบาก อาการคันเมื่อฟันขึ้นใหม่ ความเลอะเทอะเมื่อหัดกินข้าว และการหกล้มเมื่อต้องหัดเดิน
โชคดีที่เธอสามารถควบคุมการขับถ่ายของตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงทนไม่ไหวจริงๆ แค่คิดถึงการปัสสาวะรดกางเกง เธอก็รู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัวแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงได้รับการชมเชยจากแม่อย่างไม่รู้จบ ใครๆ ก็ชมว่าลูกสาวของเธอฉลาดและสะอาด ไม่เคยปัสสาวะใส่ตัวเองเลย พอกลั้นไม่ได้ก็จะร้องเรียกคน
เธออายุสี่สิบกว่าแล้ว ถ้ายังปัสสาวะใส่ตัวเองอีก ก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
แต่คำพูดเหล่านี้เธอไม่สามารถบอกใครได้ และเธอก็ยังพูดไม่ได้ด้วย จนถึงตอนนี้เธอก็ยังส่งเสียงได้แค่ ‘อ้อแอ้’ เท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไม์ถึงไม่ยอมให้เธอพูดได้เสียที เธออายุขวบหนึ่งแล้วนะ
ท่ามกลางการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เรียนรู้ที่จะพูด เรียนรู้ที่จะเดิน เรียนรู้ที่จะกินข้าว เรียนรู้ที่จะ... น้องชายของหมี่หลันเยว่ก็คลอดออกมา หมี่หลันเยว่ตัวน้อยอายุสองขวบแล้ว เธอสามารถนั่งเฝ้าอยู่ข้างเปล ช่วยแม่ดูแลน้องชายได้ ซึ่งทำให้แม่ของเธอภูมิใจมากยิ่งขึ้น
"จิ้งเฉิง ดูสิลูกสาวของเราฉลาดแค่ไหน ตัวแค่นี้ก็รู้ว่าต้องดูแลน้องชายแล้ว"
แม่นั่งอยู่ข้างๆ เด็ดผักไปพลาง ถอนหายใจไปด้วย
"แน่นอน ก็ลูกใครล่ะ"
ทุกครั้งที่เป็เช่นนี้ หมี่หลันเยว่ก็จะแอบยิ้ม เธอเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอ้าทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเธอ เธอก็ควรจะเริ่มต้นจากตอนนี้ ให้พวกเขามีความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ตลอดเวลา และเธอเองก็จะต้องเป็คนที่ทำให้พวกเขาสามารถภาคภูมิใจได้
"หลันเยว่ พ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ไม่มีเวลาดูแลลูก ดูสิพี่ชายก็ไปสถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว ลูกอยากไปสถานรับเลี้ยงเด็กด้วยไหม?"
สถานรับเลี้ยงเด็กในสมัยนั้นก็คือโรงเรียนอนุบาลในปัจจุบัน เพียงแต่เป็ของหน่วยงานต่างๆ เพื่อดูแลลูกหลานของพนักงาน
"สถานรับเลี้ยงเด็กของโรงเรียนแม่ มีพี่เลี้ยงใจดีเยอะแยะเลยนะ พวกเขาจะดูแลลูกอย่างดี ที่นั่นยังมีเพื่อนๆ อีกหลายคนด้วย พวกเขาจะเล่นกับลูก ลูกไปอยู่ที่นั่นจะไม่เหงา"
แม่คุยกับลูกสาววัยสองขวบ โดยที่ไม่รู้ว่าลูกสาวฟังเข้าใจ
คำพูดมากมายเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อปลอบใจลูกสาวเท่านั้น การส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กเป็ประสบการณ์ที่ต้องเจอในยุคสมัยนี้ พนักงานสองคนในยุค 70 ต้องส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครดูแล หมี่หลันเยว่รู้ดีถึงแนวโน้มนี้
เมื่อเห็นลูกสาวที่ถูกส่งไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กของโรงเรียน นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ร้องไห้งอแง แม่ก็ตาแดงก่ำ เธอไม่อยากจากลูกสาว แต่ก็รู้ว่าการปล่อยให้ลูกสาวอยู่บ้านคนเดียวก็ไม่สมเหตุสมผล เธอต้องไปทำงาน ต้องสอนนักเรียน ไม่มีเวลาว่างที่จะเลี้ยงดูลูก
จริงๆ แล้วหมี่หลันเยว่อยากตามแม่ไปที่ห้องเรียน แม่เป็ครูสอนภาษาจีนชั้นมัธยมต้น แถมยังเป็ครูประจำชั้นด้วย หมี่หลันเยว่อยากนั่งฟังในห้องเรียนจริงๆ หลักสูตรมัธยมต้นที่เธอจำได้ในตอนนี้ก็ไม่มีมากนัก ท้ายที่สุดแล้วเธอเข้าสู่สังคมมาหลายปี ความรู้ในตำราเรียนเ่าั้ดูเหมือนจะห่างไกลจากเธอเหลือเกิน
หากใน่เวลานี้ สามารถตามไปฟังบรรยายได้ เมื่อถึงเวลาที่เธอเรียนมัธยมต้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก เพียงแต่เด็กสองขวบนั่งอยู่ในห้องเรียนมัธยมต้นก็ดูน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่ว่าการฟังบรรยายจะทำให้คนใ แต่ไม่มีเด็กสองขวบคนไหนที่จะนั่งเงียบๆ ได้ตลอดสี่สิบห้านาทีโดยไม่ร้องไห้งอแงกัน
หมี่หลันเยว่ตัดสินใจว่าจะรออีกหน่อย อย่างน้อยก็ต้องโตขึ้นอีกสักหนึ่งหรือสองขวบ เพื่ออ้อนให้แม่พาไปเข้าเรียนด้วย ในตอนนั้นถ้าเธอนั่งอยู่ด้านหลังห้องเรียน ก็คงไม่มีใครแปลกใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วั้แ่เด็กจนโตเธอก็เรียบร้อยมาโดยตลอด คงไม่มีใครสงสัย และเด็กหญิงตัวเล็กๆ สามสี่ขวบ คงเป็ภาพที่น่าสนใจของห้องเรียน
"แม่ไปทำงานแล้วนะ ลูกอยู่ที่นี่เล่นกับเพื่อนๆ ดีๆ มีอะไรก็บอกพี่เลี้ยง เข้าใจไหม? เลิกเรียนแล้วแม่จะมาหานะลูก"
สถานรับเลี้ยงเด็กของโรงเรียนตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเรียน ในสมัยนั้นอาคารเรียนไม่สูง มีแค่สองชั้นเท่านั้น
"หนูจะเป็เด็กดีค่ะ แม่ไปทำงานเถอะ"
หมี่หลันเยว่โบกมือให้แม่อย่างรู้ความ เธอไม่อยากให้แม่เป็ห่วงเธอ และนั่นทำให้หวังหย่วนฉิงรู้สึกปวดใจมากยิ่งขึ้น แต่ถึงจะเป็ห่วงลูกสาวมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่ทิ้งลูกไว้ที่นี่
"ถ้าอย่างนั้นแม่ไปแล้วนะ ลูกต้องเป็เด็กดีนะ"
เธอรู้ว่าลูกสาวฉลาด ที่นี่คงไม่สร้างปัญหาอะไร แต่เธอก็ยังวางใจไม่ได้ บางทีอาจเป็เพราะลูกสาวของเธอเรียบร้อยเกินไป กลัวว่าลูกสาวจะถูกรังแกที่นี่
"หนูทำได้ค่ะ แม่รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสายเอานะ"
หมี่หลันเยว่มองแม่ที่เดินออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กโดยหันหลังกลับมามองเป็ระยะๆ ในใจรู้สึกเศร้า ไม่ใช่แค่เศร้าแทนแม่ แต่ยังเศร้าแทนตัวเองด้วย ชีวิตก็คือการดิ้นรน แม่ดิ้นรนเพื่อลูกๆ ส่วนเธอดิ้นรนเพื่อให้เติบโตเร็วๆ