“ฮัลโหล แม่คะ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป หนูจะปฏิบัติภารกิจลับแล้วนะคะ หนูคงไม่ได้กลับบ้านสักระยะหนึ่ง” ภายในห้องน้ำที่ปิดสนิท เซี่ยวอี๋ถอดกางเกงยีนเดนิมออกแขวนในขณะที่คุยกับแม่อยู่ “หนูรู้ค่ะ หนูจะระวังตัวนะ แม่น่าจะเป็ห่วงไอ้พวกคนชั่วที่ทำให้หนูขุ่นเคืองใจมากกว่า หนูได้วิชาเตะต่อยมาจากพ่อเชียวนะ! ว่าแต่ แม่อย่าบอกพ่อกับพี่เื่ภารกิจลับของหนูนะคะ พวกเขาทำงานหนักกันพอแล้ว หนูไม่อยากให้พวกเขาเป็กังวล
แม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าเล่นไพ่นกกระจอกนานเกินไปล่ะ เดี๋ยวเอวจะเคล็ด เอาล่ะค่ะ หนูไปอาบน้ำก่อนนะ”
หลังจากวางสายไปเซี่ยวอี๋ก็น้ำตาคลอเบ้า จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว เพื่อที่จะหนีงานผู้ตรวจสอบสื่ออนาจาร เธอจึงอาสามาเป็ผู้สังเกตการณ์ ซ้ำยังหลอกแม่อีก พ่อและพี่ชายของเธอถูกย้ายไปประจำที่หน่วยตำรวจพิเศษในเมืองหลวง ตอนนี้เธอเองก็จะไม่กลับบ้านอีก แม่ซึ่งอายุห้าสิบกว่าๆ แล้วกลับต้องมาอยู่ตามลำพัง
เธอสลัดความฟุ้งซ่านออกจากหัว เธอหวังว่าในสองปีนี้จะเป็ปีที่นิรวานของเธอเช่นกัน มันจะเป็การดีที่สุดหากจบสิ้นภารกิจนี้แล้วเธอได้ย้ายไปประจำการที่เมืองหลวง เธอจะได้พาแม่ย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน ครอบครัวก็จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
เซี่ยวอี๋ฮัมเพลงในขณะที่ถอดเสื้อรัดรูป บนร่างกายของเธอเหลือเพียงเสื้อชั้นในและกางเกงในลูกไม้สีดำ และในขณะที่เธอกำลังชื่นชมความเปล่งประกายของตัวเองอยู่ตรงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งอยู่นั้นจู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
“อะไร ฉันอาบน้ำอยู่ นายลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่างสิ” เซี่ยวอี๋ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครเป็คนเคาะประตูที่นอกห้องน้ำนั่น
“จากนี้อีก 30 วินาที ผมจะหนี” เสิ่นิที่อยู่ข้างนอกพูดเสียงเนิบ
“นายว่ายังไงนะ” เซี่ยวอี๋ใเธอเกือบลืมไปแล้วว่าคนที่เธอเฝ้าอยู่เป็อดีตนักโทษแดนปะา
“ตอนนี้เหลืออีก 25 วินาที” เสิ่นิว่าจบก็มุ่งหน้าไปยังประตูทางออกชั้นล่าง
“ไอ้บ้าเอ๊ย! กล้าหนีเรอะ?!” เซี่ยวอี๋ตื่นตระหนก เธอรีบสวมกางเกงยีนที่เพิ่งจะถอดออกกลับเข้าไปใหม่ ไม่มีเวลาแม้แต่จะสวมเสื้อยืด เธอรีบพุ่งตัวออกจากห้องน้ำ และในขณะนั้นเองเสิ่นิก็กำลังเปิดประตูบ้าน
เมื่อเซี่ยวอี๋รู้ว่านี่ไม่ใช่เื่ล้อเล่นเธอก็หน้าซีดเผือด หญิงสาวคว้าปืนพกและวิ่งตามไป โชคดีที่ยังพอมีเวลาสวมรองเท้าผ้าใบ
ในยามค่ำคืนที่ย่านพาณิชย์นั้นแทบจะไร้ผู้คน ภายใต้แสงไฟถนนสีส้ม ร่างของเสิ่นิขนานราบไปกับแนวพื้นราวกับพุ่งชาร์จไปข้างหน้า
“หยุด! อย่าหนีนะ!” เซี่ยวอี๋ะโออกมาด้วยความคุ้นชินในการเป็ตำรวจ เรียวขา 105 เิเสับเท้าไล่ตามไป
ทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียง 100 เมตรแต่ด้วยความเคลื่อนที่อันเร็วสูง ทำให้มันเกินวิถีะุของเซี่ยวอี๋ เธอจึงได้แต่ไล่จับเขาให้ทันเท่านั้น
เซี่ยวอี๋วิ่งไล่เสิ่นิหน้าตั้ง ประมาณ 3 นาทีรวม 1.2 กิโลเมตร พวกเขาแหวกกายเข้าสู่ถนนคนเดินซึ่งแออัดไปด้วยผู้คน
ถนนคนเดินยามค่ำคืนนั้นคึกคักเป็พิเศษ ผู้คนพากันจับจ้องมาที่เซี่ยวอี๋ที่อยู่ชุดชั้นในตาเป็มัน พวกนิสัยเสียหลายคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายหน้าอกไซส์ 32C ขณะกำลังเด้งดึ๋งในขณะที่เซี่ยวอี๋กำลังวิ่งอยู่ แต่พอพวกเขาเห็นปืนในมือของเธอก็พากันเตลิดหนีไป
เสิ่นิซึ่งวิ่งอย่างดุดันอยู่ด้านหน้า เขาได้ลอดฝ่าฝูงชนไปราวกับสัตว์ป่า เขาไม่มีวี่แววที่จะชะลอลงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนที่เขาแทรกตัวผ่านไป รู้สึกคล้ายกับมีลมวูบหนึ่งหอบพัดมาอย่างกะทันหัน และด้วยทักษะการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วของเขาเมื่อเขาเห็นกระถางดอกไม้ เขาก็พลิกร่างตีลังกาด้วยมือเดียว ก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นและตั้งตัวตรงราวกับนักยิมนาสติกแล้วก็วิ่งต่อไป
มีเพียงผู้ที่เคยวิ่งกวดเสิ่นิเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องมีผู้สังเกตการณ์ การเข้าร่วมโครงการนิรวานมาสิบปีทำให้เขามีศักยภาพร่างกายที่เหนืุ์ เซี่ยวอี๋คิดกับตัวเองว่าขนาดเธอวิ่งแข่งกับลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็ตำรวจพิเศษแถวหน้าก็ยังไม่ถูกทิ้งห่างมากขนาดนี้ ว่าแต่ว่าระยะร้อยเมตรนี่ทำไมไม่ว่าเซี่ยวอี๋จะเร่งเครื่องแค่ไหนก็ไม่สามารถย่นระยะห่างได้เลย
การวิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องทำให้ปอดของเซี่ยวอี๋ขยายตัว เธอเจ็บประหนึ่งกล้ามเนื้อเส้นเอ็นจะฉีกขาดได้ทุกเมื่อ แต่เซี่ยวอี๋ก็ยังกัดไม่ปล่อย เธอซอยเท้าวิ่งตามต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต
กระทั่งเสิ่นิตรงเข้าไปในอาคารสูงซึ่งเป็ที่พักอาศัยเก่า เซี่ยวอี๋ก็ตามเข้าไปติดๆ เธอเห็นเสิ่นิยืนโบกมือให้จากในลิฟต์ซึ่งกำลังเลื่อนปิด
“ไอ้บ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เซี่ยวอี๋ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะยิง พอเธอยกมือขึ้นเล็ง ะุจึงปะทะเข้ากับประตูลิฟต์ซึ่งเคลื่อนปิดเข้าหากัน มันไม่เข้าเป้า
ลิฟต์ไต่ขึ้นไปที่ชั้นบนสุด เซี่ยวอี๋สูดหายใจลึกก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันไดเวียนไป
“ฝีมือยิงปืนของยิงคุณน้านี่...ไม่เบาเหมือนกันนะ” ภายในลิฟต์ เสิ่นิซึ่งวิ่งอย่างทรหดมา 20 กว่านาทีไม่มีอาการหอบเหนื่อยเลยสักนิด เขายกมือขึ้นลูบแก้มก่อนจะพบว่ามีเืไหลซิบออกมา
หลังจากวิ่งระยะไกล ระดับการเต้นของหัวใจก็พุ่งสูงขึ้น หญิงสาวหอบหายใจเหนื่อยส่งผลต่อความแม่นยำในการยิง แม้ว่าเมื่อครู่จะห่างแค่ 10 เมตร แต่เซี่ยวอี๋ก็ยังยิงถูกประตูลิฟต์ นับว่าเป็ระดับหัวกะทิของกรมตำรวจ หนำซ้ำยังยิงลอดช่องว่างระหว่างประตูลิฟต์เข้าไปได้ ทำเอาเสิ่นิเป็แผล…นับว่าฝีมือของเธอนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับหน่วยรบพิเศษ
เสิ่นิยอดมนุษย์คนนี้พอออกจากลิฟต์ได้ เขาก็ไปนั่งยองๆ อยู่บนดาดฟ้าชั้น 23 เซี่ยวอี๋ผู้น่าสงสารไล่ตาม มาจนน่องขวาเป็ตะคริว สุดท้ายก็ต้องวิ่งะโเหยงด้วยขาข้างเดียว
เม็ดเหงื่อไหลย้อยไปตามผิวอันกระจ่างใส หากคั้นบีบชุดชั้นในลูกไม้สีดำคงมีแต่น้ำออกมา
ตึกนี้เป็อะพาร์ตเมนต์เก่า นอกจากประตูที่เซี่ยวอี๋ยืนอยู่แล้วก็ไม่มีทางออกอื่น เธอใช้เทคนิคการหายใจที่พ่อสอนเพื่อปรับระดับการเต้นของหัวใจ เธออดทนต่อความเ็ปจากการตะคริวฝืนก้าวขากะเผลกปีนขึ้นไปยังประตูปลายทาง มือข้างหนึ่งของเธอผลักประตูเปิดจน 90 องศา เซี่ยวอี๋กวาดสายตาซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาเป้าหมาย
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงกำปั้นก็กระแทกเข้ากับประตูไม้ อะไรบางอย่างคว้าจับปืนพกของเธอไว้ใน 0.1 วินาทีถัดมาและหลังจากนั้น ปืนรุ่น.77 แบบของตำรวจก็พินาศกลายเป็เศษเหล็กกองอยู่ที่พื้นเหมือนตัวต่อเลโก้
เซี่ยวอี๋เขย่งเท้าข้างเดียว เตะสวนไปทางด้านข้าง ลูกเตะของเธอทะยานใส่ประตูไม้อันผุพังจนแตกเป็กองขี้เลื่อย พร้อมกันนั้นเธอก็ใช้อีกมือคว้าจับเสิ่นิซึ่งไถลห่างออกไป 1 เมตร
“ฟิตดีนี่ ท่อนขาก็แข็งแรง สมรรถนะร่างกายของคุณนี่เยี่ยมกว่าตอนก่อนที่ผมจะเข้าร่วมโครงการนิรวานเสียอีก” เสิ่นิปัดขี้เลื่อยบนร่างกายพลางยืดตัวขึ้น เขาจ้องมองเซี่ยวอี๋ซึ่งอยู่ห่างออกไปสองเมตรและไม่ได้ตระหนี่ในคำชม
“หมัดของฉันก็ไม่เลวนะ นายอยากลองดูไหมล่ะ” เซี่ยวอี๋กำหมัดแน่นและอยู่ในท่าเตรียมพร้อม กล้ามเนื้อท่อนแขนโค้งมนเป็มัด กล้ามท้องชัดเจน ช่างเป็ความงดงามที่มาพร้อมความอันตรายซึ่งหาดูได้ยากจากผู้หญิง เธอเป็ดั่งดุจกุหลาบที่ประดับไปด้วยหนามอันแหลมคม
“ผมแนะนำให้คุณใจเย็นลงหน่อย เท้าขวาของคุณเป็ตะคริว อย่าหักโหมเกินสภาพร่างกายนักเลย ดูสภาพตอนนี้คงทำอะไรผมไม่ได้หรอก ถ้าคุณมีสมองฉุกคิดสักนิด ก็น่าจะโทรแจ้งตำรวจ มอบหน้าที่ให้คนอื่นมาจัดการผมซะ” เสิ่นิแนะนำ
“ฉันรู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือเรียกกำลังเสริม แต่ถ้าฉันไม่ได้ชกนายสักสองหมัด ฉันคงอารมณ์เสีย!” เซี่ยวอี๋เดินกะเผลกไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อประชิดตัวเสิ่นิ เธอออกหมัดไวกว่านักมวยมือฉกาจ ชุดหมัดฉวัดเฉวียนเสียจนเกิดเป็เสียงลม
เสิ่นิถอยพลางหลบพลาง เหมือนเต้นระบำอยู่กับเซี่ยวอี๋เขาล่าถอยไปตลอดทางจนเกือบ 5 เมตรได้ ก่อนจะรวบกอดเอวเซี่ยวอี๋ไว้
“พอแล้ว คุณมีคุณสมบัติพอ” เสิ่นิกระซิบข้างหูเซี่ยวอี๋
“อย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยวอี๋ยิ้มด้วยใบหน้าซีดเผือดและเหนื่อยล้า ทันใดนั้นเธอก็กัดเข้าที่ไหล่เสิ่นิ เธอกัดเขาแรงเสียจนทะลุเนื้อผ้า รอยฟันจมลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อ
“เอาล่ะๆ คุณไม่ใช่แค่มีคุณสมบัติ แต่คุณน่ะสุดยอดไปเลย” เสิ่นิใช้สองนิ้วกดลงไปบริเวณหลังต้นคอของเซี่ยวอี๋ ครู่หนึ่งความบ้าคลั่งของเธอก็แ่ลง จนกระทั่งอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง
5 นาทีต่อมา ดาดฟ้าของอะพาร์ตเมนต์เก่าก็กระจัดกระจายไปด้วยกองเศษไม้เซี่ยวอี๋นั่งอยู่บนพื้นปูนด้วยท่ามือไพล่หลัง เสิ่นินั่งอยู่ตรงหน้าเธอ เขาคว้าน่องขวาของเธอซึ่งเป็ตะคริวขึ้นมากดลงบนส่วนเท้าซึ่งสั่นเทาเนื่องจากอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ชายหนุ่มถอดรองเท้าของเธอออก ก่อนจะนวดให้อย่างขะมักเขม้น เทคนิคนั้นยอดเยี่ยมกว่าผู้เชี่ยวชาญในกองตำรวจมาก ทั้งยังอ่อนโยนกว่าอีกด้วย
“ผมจะเปิดสำนักงานรักษาความปลอดภัย อีกหน่อยจะต้องมีอันตรายรอบตัวแน่ เป็ไปไม่ได้เลยที่ผมจะให้ความคุ้มครองลูกค้าในขณะที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณไปด้วย ดังนั้นผมจึงต้องทดสอบสมรรถนะร่างกายของคุณซะหน่อย คุณสุดยอดกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ถ้าไม่พูดถึงสภาพร่างกาย ฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของคุณก็หาได้ยากในหมู่ผู้หญิง” น้ำเสียงของเสิ่นินั้นสงบนิ่งราวกับกำลังบรรยายว่าทานอะไรเป็มื้อเย็น
“มามามา แก้เชือกให้ฉันสิ ฉันจะให้นายได้ลองลิ้มรสลูกเตะจากเท้าสาวผู้ดี! โอ๊ย! เจ็บนะ! เบาๆ หน่อยสินาย!” เซี่ยวอี๋ร้องลั่น เสิ่นิออกแรงรีดเส้นเอ็น หญิงสาวหน้าแดงร้องเสียงหลง
“ผมเห็นมามากพอแล้ว และแน่นอนว่านอกจากปัจจัยพื้นฐาน ผมเองก็ชอบความตั้งใจในการทำงานของคุณ แม้จะถึงที่สุดแล้วคุณก็ยังไม่หมดกำลังใจ คุณมีคุณสมบัติในการเป็ผู้ช่วยผม” เสิ่นิยืนขึ้นพร้อมอมยิ้ม
“ฉันเป็ผู้สังเกตการณ์ของนาย ใครบอกว่าจะเป็ผู้ช่วยนาย” เซี่ยวอี๋กล่าวพลางขยับข้อเท้า ตะคริวหายไปแล้ว
“ผมตัดสินใจเป็บอดี้การ์ด คุณอยากสังเกตการณ์ผม ถ้าไม่เป็ผู้ช่วยผมแล้วจะสังเกตการณ์ผมได้ยังไง” ตรรกะของเสิ่นิไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้เลย
“โลกทัศน์นายมันบิดเบี้ยว ฉันไม่เถียงเื่ตรรกะกับนายหรอก ไม่ใช่ว่าฉันจะดับฝันนาย แต่คู่แข่งคนสำคัญของนายก็คือ 110 (เบอร์โทร 191 ของจีน) คนอื่นเขารับสายตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลั้แ่เื่ทำกุญแจบ้านหายยันคดีลักพาตัว ดูแลครอบจักรวาลสากกะเบือยันเรือรบ ฟรีอีกต่างหาก งานบอดี้การ์ดไม่เหมาะกับโลกปัจจุบันนี้หรอก” เซี่ยวอี๋ว่าแล้วพลางลุกขึ้นเช่นกัน
“ไม่เป็ไร ในโลกนี้มีบางเื่ที่ตำรวจทำไม่ได้ แต่บอดี้การ์ดทำได้” เสิ่นิแก้มัดให้เซี่ยวอี๋และนำปืนพกซึ่งประกอบคืนเสร็จแล้วส่งคืนให้กับเธอ
เซี่ยวอี๋สกัดกลั้นความอยากที่จะะเิหัวเสิ่นิ แล้วยัดปืนลงในซองด้านหลังเอว
“มานี่สิ ผมจะพาคุณไปดูงานแรกที่ผมเลือก” เสิ่นิทำตัวลึกลับ เขาลากเซี่ยวอี๋ไปยังขอบดาดฟ้า ฝั่งตรงข้ามเป็ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังออกอากาศข่าวที่ว่านักร้องดังเมิ่งฉีได้รับจดหมายข่มขู่
“ไม่มีทางหรอก! ่นี้เมิ่งฉีออกจะปัง เขาจะจ้างนายเป็บอดี้การ์ดได้ยังไง” เซี่ยวอี๋พูดพลางขมวดคิ้ว
“แค่ผมอยากได้ หล่อนก็กลายเป็ลูกค้าผมแล้ว” เสิ่นิหัวเราะอย่างหน้าไม่อาย ก่อนจะมองไปทางเสื้อชั้นในสีดำบนร่างกายท่อนบนของเซี่ยวอี๋ “จะว่าไป คุณไม่หนาวเหรอ”
พอเสิ่นิพูดเช่นนั้น เซี่ยวอี๋ก็ลดศีรษะลง หน้าแดงก่ำ เธอใส่แค่เสื้อชั้นในมาตลอดทาง กระต่ายน้อยตัวขาวโผล่ออกมาเกือบครึ่ง เธอกอดอกและจ้องชายหนุ่มด้วยความโมโห “ก็เพราะนายนั่นแหละไอ้โรคจิต!”
“อากาศเย็นแล้ว กลับกันเถอะ” เสิ่นิเอาเสื้อโค้ตคลุมไหล่ให้เซี่ยวอี๋ สองมือล้วงกางเกงแล้วเดินไปยังทางออกของดาดฟ้า
“เสิ่นิ” เซี่ยวอี๋ะโเรียก ขณะมองไปยังแผ่นหลังอันมั่นคงของชายหนุ่ม
“ว่าไง?”
“ถ้าคราวหน้านายยังกล้าล้อเล่นกับฉันแบบนี้อีก รับรองว่าฉันะเิสมองนายแน่” เซี่ยวอี๋คว้าคอเสื้อเขาไว้แน่น เธอพยายามพูดและแสดงออกให้ดูดุดันที่สุด
“ไว้ฆ่าผมให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดกันนะ ‘แม่กุหลาบมีหนาม’ ของผม” เสิ่นิทำท่าหวาดกลัวพร้อมกับฉีกยิ้ม