คนๆ นั้น... คนที่นางคอยเฝ้าถวิลหาทั้งเช้าเย็น แม้ยามฝันยังอยากโอบกอดเอาไว้ ไม่ให้หายไป
คนๆ นั้น... คนที่ทุกคนต่างก็เชื่อว่าเขาได้ตายจากไปแล้ว
หลินหยาง
อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวต่อหน้านางง่ายๆ แบบนี้เลย
“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ”
รอยยิ้มของหลินหยางยังคงให้ความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิมแต่พระจันทร์คืนนี้ส่องสว่างยิ่งกว่าปกติ ทำให้เห็นดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจนซึ่งั์ตาอันสดใสของเขาก็กำลังสั่นไหวอยู่เช่นกัน
ความคิดถึงถวิลหาที่แสดงออกมาอย่างลึกซึ้งถึงปานนี้ มีหรือที่หลินหยางจะไม่รู้สึกหวั่นไหว
“เ้า...เ้า...”
เวินชิงชิงพยายามขยี้ตาอยู่หลายครั้ง นางแทบไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของนางเลย
แต่พอนางมองเห็นรอยยิ้มอันกวนประสาทที่เป็สัญลักษณ์ของหลินหยางได้ชัดเจนเต็มสองตาแล้วความรู้สึกภายในใจทั้งหมดที่นางพยายามกดมันเอาไว้มาโดยตลอดก็ได้ถูกปลดปล่อยพรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น ราวกับเขื่อนกั้นน้ำที่พังทลาย
“เ้าบ้า!!!!”
เวินชิงชิงเข้าไปซบในอกของหลินหยางทันทีปากก็กัดเข้าที่ไหล่ของเขา แต่ก็ไม่กล้าออกแรงกัดลงไปจริงๆ นางหวังให้เวลาหยุดอยู่เพียงแค่เสี้ยววินาทีอยากจะโอบกอดชายหนุ่มจอมกวนคนนี้เอาไว้ตลอดกาล
หลินหยางเองก็กอดร่างกายอันนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยกลิ่นกายอันหอมหวนของนางเอาไว้อย่างอ่อนโยนภายในใจพลันเกิดความรู้สึกอันอบอุ่นขึ้น เขาค่อยๆ ลูบหลังปลอบโยนเวินชิงชิงอย่างเบามือพร้อมกับกระซิบบอกนางว่า“คุณหนูชิงชิงข้าอุตส่าห์มีชีวิตรอดกลับมาหาท่านได้ ข้าไม่อยากโดนท่านกัดตายแทนนะ...”
พรืด
เวินชิงชิงหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาท่ามกลางหยาดน้ำตาที่นองเต็มหน้าหมัดเล็กๆ ของนางทุบเข้าไปตรงไหล่ของหลินหยางรัวๆ ราวกับเม็ดฝนที่สาดเทลงมา นางทุบจนรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด
หลินหยางยืนเงียบๆปล่อยให้เวินชิงชิงระบายความรู้สึกอันร้อนแรงของนางออกมาจนหมดก่อน จากนั้นค่อยถามนางว่า“่ที่ข้าไม่อยู่นี้สถานการณ์ในบ้านเป็อย่างไรบ้าง? พวกท่านประมุขเล่า...”
พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าที่ดูอ่อนโยนของนางพลันมลายหายไปในทันที
“หลินอี้ เื่มันยาวมาก...เอาเป็ว่าสถานการณ์ของตระกูลเราตอนนี้ค่อนข้างย่ำแย่พวกท่านพ่อกำลังประชุมหารือเกี่ยวกับเื่งานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาที่กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ติดต่อกันมานานหลายคืนแล้ว”
“พวกเราไปดูกัน”
หลินหยางไม่พูดพล่ามอะไรอีก แล้วจึงดึงเวินชิงชิงออกเดินไปยังห้องคว้าเมฆในคฤหาสน์ทันที
..................................
ขณะเดียวกันนั้นเอง ภายในห้องคว้าเมฆ
สีหน้าของเวินติ่งเทียนดูจริงจังและเคร่งเครียดนอกจากเวินติ่งเทียนแล้ว ภายในห้องก็ยังมีสองผู้าุโระดับเซียนเทียนอาจารย์นักการช่างทั้งสองท่านอย่างอี้ชังไห่และอี้สิงอวิ๋น พ่อบ้านเวินชงโดยที่คนเหล่านี้ล้วนเป็บุคคลที่สำคัญที่สุดของตระกูลเวินและยังมีสมาชิกใหม่อีกคนที่ไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ในห้องนี้ด้วย นั่นก็คือสวี่เหยานั่นเอง
สวี่เหยา สาวน้อยผู้ฉลาดหลักแหลมที่ถูกหลินหยางเลือกมาช่วยงานแบบไม่ได้ตั้งใจคนนี้ใน่เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีกลับสามารถแสดงความสามารถด้านการค้าและการทำธุรกิจออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็ที่ประหลาดใจของคนในตระกูลจนตอนนี้นางได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็เถ้าแก้แทนที่เ้าอ้วนหวัง ซึ่งตอนนี้นางได้ดำรงตำแหน่งเป็เถ้าแก่ใหญ่ของเลี่ยนเทียนเฮ่าจนถูกเวินติ่งเทียนเชิญให้เข้าร่วมประชุมครั้งสำคัญของตระกูลเวินด้วยแล้ว
บรรยากาศภายในห้องโถงนั้นหนักอึ้งกว่าปกติหลายเท่าเวินติ่งเทียนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เถ้าแก่สวี่จากข้อมูลที่เ้ารายงานมา การประลองที่จะจัดขึ้นในงานเทศกาลวันพรุ่งนี้ถูกตั้งผลแพ้ชนะเอาไว้ั้แ่แรกอยู่แล้วใช่ไหม...”
“ใช่ค่ะ ท่านประมุข!!”
สวี่เหยาลุกขึ้นตอบรับสีหน้าท่าทางที่ดูชาญฉลาดและดูเชี่ยวชาญของนางนั้น ดูไม่เหมือนสาวน้อยอายุยี่สิบกว่าขวบปีเลยแม้แต่น้อย่ครึ่งปีมานี้ นางได้ใช้ความรู้ความฉลาดของนางในการต่อสู้ทางธุรกิจกับศัตรูอยู่ตลอดเวลาจนหางตาของนางเริ่มมีริ้วรอยของตีนกาโผล่ขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่า เพราะสาเหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงพยายามต่อสู้ต่อต้านกับพวกตระกูลเฉินโดยไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้งเดียวนางสู้เพื่อตระกูลเวินจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ
เกรงว่าคนที่รู้ถึงสาเหตุนั้นคงมีแค่ตัวสวี่เหยาเองคนเดียวเท่านั้นภายในส่วนลึกในจิตใจของนางนั้นยังคงเชื่อมาโดยตลอด นางเชื่อมั่นว่าเขาคนนั้นจะต้องกลับมายังที่สถานที่แห่งนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน
สวี่เหยาตอบกลับอย่างมั่นใจว่า “สวี่เหยาได้ทุ่มเงินไปกับการล้วงข้อมูลจากพวกข้าราชการของฝ่ายผู้ดูแลภายในจำนวนมหาศาลข้อมูลที่ได้มาก็คือเ้าหวังิชงนั่นมันกำหนดผู้ชนะเอาไว้ั้แ่แรกแล้วไม่ว่าพรุ่งนี้เราจะเอาสมบัติชั้นดีแค่ไหนไปแสดงก็ไม่อาจจะมีชัยเหนือพวกตระกูลเฉินได้เลยค่ะ”
“ไอ้ชาติหมาหวังิชง แม่มันเถอะมันเป็บ้าไปแล้วรึไง? เื่หน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้ยังกล้าทำหรือมันจะไม่กลัวเราไปฟ้องราชสำนักเลย!!” อี้สิงอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านข้างก็โมโหจนทุบโต๊ะดังปัง
ส่วนอี้ชังไห่นั้นกลับนั่งวิเคราะห์อย่างใจเย็นว่า “ตำแหน่งของเ้าหวังิชงในราชสำนักนั้นค่อนข้างจะสูงเป็รองเพียงแค่สามหัวหน้ารัฐมนตรีเท่านั้น มันไม่มีทางยอมเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เพื่อตระกูลเฉินแน่...ดูจากพฤติกรรมของมันแล้ว มันต้องถูกใครบางคนข่มขู่แน่”
นั่นก็ใช่...
ไม่ว่าใครก็ดูออก แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรเ้าหวังิชงนั่นได้อยู่ดี
ตระกูลเวินถึงจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายก็เป็แค่ตระกูลใหญ่ของประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นไม่มีทางเทียบกับราชสำนักของอาณาจักรชูอวิ๋นได้แน่นอน
และอีกเื่ที่น่าแปลกใจก็คือแม่ทัพตู้ิแห่งกองกำลังพิทักษ์เมือง่นี้ก็ไม่ได้ติดต่อมาหาพวกเขาเลยแม้แต่ฝ่ายผู้ดูแลกองทัพก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็ห่วงสถานการณ์ของตระกูลเวินอีกต่อไปแล้ว
นั่นยิ่งทำให้ตระกูลเวินสิ้นหวังมากกว่าเดิม
ข้อมูลของสวี่เหยาทำให้ทุกคนรู้สึกสิ้นหวังเหมือนกับว่าพวกเขาพอจะเห็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นในงานเทศกาลที่จัดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว- ตระกูลเวินจะถูกตระกูลเฉินบดขยี้จนล่มสลายแล้ว
และในตอนที่ทุกคนกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้นประตูห้องคว้าเมฆก็ถูกเปิดออกกะทันหันดังปัง
เวินชิงชิงที่บนใบหน้าอย่างเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาก็พุ่งเข้ามาภายในห้อง
“เล่นบ้าอะไรของเ้า ชิงชิง!!”
เวินติ่งเทียนแต่เดิมก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้วในการประชุมสำคัญแบบนี้เวินชิงชิงยังกล้าเข้ามาวุ่นวายอีกเขาเลยะเิอารมณ์ใส่ทันที
แต่เพลิงพิโรธในใจเขาพึ่งลุกโชนได้ไม่ถึงวินาทีก็นิ่งไปทันที
และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นทุกคนในห้องต่างก็นิ่งอึ้งอย่างกับก้อนหินก้อนหนึ่งไปชั่วขณะจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองหลายๆ ครั้งขยี้จนลูกตาแทบจะหลุดติดมือออกมาด้วยแล้ว
สวี่เหยาถึงกับน้ำตาไหลพรากออกมาทันทีแล้วจึงะโส่งเสียงขึ้นมาเป็คนแรก
“ผู้าุโหลิน!!!!”
จากนั้นก็บังเกิดรอยยิ้มแห่งความยินดีขึ้นบนใบหน้าของทุกคนในห้อง
อี้สิงอวิ๋นะเิเสียงหัวเราะลั่นฮ่าฮ่า
ส่วนอี้ชังไห่นั่นรีบไปหายารักษาโรคหัวใจของเขาทันทีก่อนที่จะหัวใจวายตายไปเสียก่อน
เวินชงและผู้าุโระดับเซียนเทียนทั้งสองท่านที่เหลืออยู่เองก็กำลังยกมือขึ้นมาเช็ดขอบตาที่เปียกชื้น
ส่วนเวินติ่งเทียนนั้นรีบตรงดิ่งเข้ามาหาหลินหยางจากนั้นก็กอดเขาแน่นๆ เข้าไปทีหนึ่ง
“กลับมาแล้วสินะ!!!!”
ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว แต่ความหมายลึกล้ำเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“ข้ากลับมาแล้ว!!!!”
หลินหยางพยักหน้าตอบรับด้วยแววตาหนักแน่นดุจขุนเขา
บรรยากาศภายในห้องคว้าเมฆแห่งนี้เปลี่ยนไปทันที
ราวกับว่าวินาทีที่หลินหยางปรากฏตัวขึ้น ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็มลายหายไปกับสายลมในทันที
ถึงพวกเขาจะไม่รู้เลยว่า่เวลาครึ่งปีที่หลินหยางหายตัวไปนั้นเขาไปทำอะไรมาบ้างแต่พวกเขาทุกคนกลับรู้สึกเชื่อมั่นในตัวของเด็กหนุ่มที่ตอนนี่ตัวสูงขึ้นมาหลายเิเอย่างสุดหัวใจ
ขอแค่มีหลินหยางอยู่ ตระกูลเวินก็ไม่มีทางล่มสลายแล้ว
ไม่สิ
ต้องบอกว่า
แค่มีหลินหยางอยู่ วันพรุ่งนี้ จะเป็วันคืนที่เลวร้ายที่สุดของพวกตระกูลเฉินและตระกูลโอวหยางแล้ว
แต่ในขณะที่หลินหยางกำลังแย้มยิ้มให้กับการต้อนรับอันอบอุ่นของตระกูลเวินอยู่นั้นในตอนที่เขากำลังััได้ถึงแววตาอันหวานฉ่ำหยาดเยิ้มจากดวงตาทรงเสน่ห์ของสาวน้อยอย่างสวี่เหยานั้นเองก็มีเื่ที่ทำให้หลินหยางถึงกับหัวเสียไม่น้อยเกิดขึ้น....
“ท่านประมุข!!!!”
มีเหล่านักรับของตระกูลเวินหลายคนรีบวิ่งแจ้นมารายงานว่า
“ที่ห้องครัวมีโจรบุกปล้นขอรับ ท่านรีบไปดูเถอะโจรนั่นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ป่วนจนห้องครัวแทบจะแตกอยู่แล้ว!!”
เื่อะไรกันนี่?
โจรหรือ?
ที่ห้องครัวนี่นะ?
ผู้คนต่างรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์แปลกๆ นี้มีเพียงแค่หลินหยางเท่านั้นที่ยืนกุมขมับอยู่คนเดียว แทบอยากจะพุ่งออกไปถอนขนเ้าหั่วเอ๋อร์ออกเสียเดี๋ยวนี้เลย
“เอ่อ... นั่นน่ะ...สัตว์เลี้ยงข้าเอง...”
หลินหยางรู้สึกละอายจนแทบจะมุดลงดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด...
..................................
และแล้ววันใหม่ก็มาถึง
ณ เมืองอวิ๋นเฉิงตอนนี้ก็ได้มีการจัดงานเทศกาลครั้งใหญ่ขึ้น
เทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญา
ในปีก่อนๆ นั้น เทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ สามปีอย่างเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญานี้ไม่ค่อยเป็ที่สนใจของผู้คนเสียเท่าไรเพราะมันเป็เทศกาลสำหรับพวกที่ทำธุรกิจงานช่างเสียมากกว่าชาวเมืองอวิ๋นเฉิงเกือบทั้งหมดพอได้ยินชื่องานนี้แล้วมักจะพูดเป็เสียงเดียวกันว่า“ไม่เกี่ยวกับข้า”
แต่ปีนี้กลับพิเศษออกไป
เพราะผู้คนต่างก็รู้กันั้แ่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้วว่าทั้งสามตระกูลใหญ่ของเมืองอวิ๋นเฉิงกำลังมีเื่ขัดแย้งกันอยู่
ตระกูลเวินนั้นถูกอีกสองตระกูลใหญ่กลุ้มรุมรังแกจนแทบจะเอาตัวไม่รอดและในงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาครั้งนี้ จะเป็จุดตัดสินความขัดแย้งครั้งนี้ว่าจะลงเอยไปในทิศทางไหน
เวินติ่งเทียนจะสามารถนำตระกูลเวินตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่?
หรือว่าเฉินเย่เซิงและโอวหยางกงจะสามารถบดขยี้ตระกูลเวินให้จมลงสู่ขุมนรกไปอย่างสิ้นเชิงกัน?
เหล่าชาวเมืองอวิ๋นเฉิงต่างก็อยากจะรู้ผลลัพธ์ของความขัดแย้งในครั้งนี้จนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ทำให้ชาวเมืองจำนวนมหาศาลต่างก็หลั่งไหลกันเขามายืนรออยู่ข้างเวทีประลองในลานกว้างเมฆาร่วงโรยแห่งนี้ั้แ่ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดี
ณ ่เช้าของวันนี้ชาวเมืองประมาณครึ่งหนึ่งของเมืองอวิ๋นเฉิงนั้นล้วนมารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้แล้วณ ลานกว้างเมฆาร่วงโรยที่แต่เดิมนั้นสามารถจุคนได้มากนับแสนคนตอนนี้กับเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากกำลังยืนเบียดเสียดกันอย่างแ่าจนตอนนี้แทบจะไม่มีที่ให้วางเท้าแล้ว
ผู้ที่ดูแลเื่ราวต่างๆ ในเมืองอย่างฝ่ายผู้ดูแลภายในต้องรีบพาทหารของราชสำนักกว่าสองพันคนออกมาดูแลรักษาความปลอดภัยทันทีแต่ก็พบว่าไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงจึงต้องรีบเรียกทหารของกองกำลังพิทักษ์เมืองอีกกว่าหมื่นคนมาช่วยถึงจะสามารถกระจายกันไปดูแลรักษาความเรียบร้อยภายในลานกว้างแห่งนี้ได้อย่างทั่วถึง
ลานกว้างเมฆาร่วงโรยในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรกับทะเลมนุษย์เสียงพูดคุยอื้ออึงดังเหมือนกับเสียงคลื่นน้ำในมหาสมุทร หัวคนจำนวนมากที่เรียงกันอย่างเบียดเสียดโดยที่แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่ไม่เหมือนกันแต่พวกเขาต่างก็หันหน้าจับจ้องไปยังสถานที่เดียวกันนั่นก็คือบนเวทีสูงสองชั้นที่มีขนาดความกว้างประมาณครึ่งหนึ่งของสนามกีฬาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางลานกว้างแห่งนี้
เวทีนี้จะเป็เวทีหลักของงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาที่กำลังจัดขึ้นอยู่บุญคุณความแค้นทั้งหมดจะถูกตัดสินชี้ขาดกันบนเวทีแห่งนี้
ฝั่งทิศเหนือของเวทีแห่งนี้มียกพื้นสำหรับกล่าวคำปราศรัยขนาดสองชั้นที่สูงเมตรกว่าบนนั้นถูกจัดวางไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม หนึ่งในนั้นคือเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้พยุงชั้นดีซึ่งเป็ที่นั่งของหัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลภายในของอาณาจักรชูอวิ๋น - หวังิชง นั่นเอง
ส่วนบริเวณด้านข้างและด้านหลังของเก้าอี้ของหวังิชงถูกวางไว้ด้วยเก้าอี่ที่มีระดับรองลงมาขั้นหนึ่งอยู่ประมาณสิบกว่าตัวซึ่งเป็ของเหล่าข้าราชการคนหลักๆ ของฝ่ายดูแลภายในต่างก็มารับชมการเทศกาลครั้งนี้ด้วยเช่นกันหนึ่งในนั้นมีสองคนที่เป็บุคคลสำคัญของเมืองนี้
หนึ่งในสี่หัวหน้าองครักษ์ของราชสำนัก - ซูิชุน
และแม่ทัพแห่งกองกำลังพิทักษ์เมือง - ตู้ิ
ทั้งสองคนนี้เป็คนที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยของงานเทศกาลครั้งนี้ดังนั้นจึงเป็เื่ปกติที่ได้นั่งในตำแหน่งสำคัญแบบนี้
ส่วนยกพื้นบริเวณฝั่งทิศตะวันออกและตะวันตกของเวทีนี้เป็ที่นั่งของเหล่าตัวละครหลักที่จะมาปะทะกันในงานวันนี้
ทิศตะวันออกเป็ของตระกูลโอวหยางและตระกูลเฉินส่วนทิศตะวันตกจะเป็ของตระกูลเวิน
โดยที่บริเวณตรงกึ่งกลางระหว่างยกพื้นทั้งสามส่วนนั้นมีแท่นตีอาวุธที่ตอนนี้ยังมีควันลอยละล่องออกมา มันจะเป็อาวุธสำคัญของทั้งสองฝ่ายที่จะใช้ในการประลองยุทธภัณฑ์ในเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญา
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีใครยืนอยู่บนเวทีเลยก็ตามแต่แค่บรรยากาศโดยรอบของงานในตอนนี้ผู้คนก็เหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันและความตึงเครียดของเทศกาลในครั้งนี้
หลังจากที่เวลาผ่านไปราวสามชั่วยาม ภายใต้การนำทางของผู้ดูแลงานครั้งนี้เหล่าตัวละครหลักก็ได้ค่อยๆ เดินเข้ามาภายในลานกว้างแห่งนี้แล้ว