เหล่านักการช่างของตระกูลเวินเริ่มถูกรุมทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุบางคนถึงกับถูกลอบสังหารเลยด้วยซ้ำ
เมื่อไหร่ที่นักการช่างเหล่านี้ออกห่างจากโรงงานช่างหรืออาณาเขตของตระกูลเวินแล้วละก็พวกเขาก็จะถูกคนของตระกูลเฉินเข้าโจมตีทันที พร้อมกับทิ้งคำข่มขู่เอาไว้ด้วยว่า “ถ้ายังอยู่กับตระกูลเวิน ก็เตรียมตัวตายได้เลย!!”
ทำอย่างกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป
สุดท้ายเวินติ่งเทียนก็ต้องส่งเหล่านักรบมากฝีมือและผู้าุโเซียนเทียนไปคุ้มกันเหล่านักการช่างเอาไว้แต่พอถูกข่มขู่แบบนี้ไปแล้ว คนของตระกูลก็เสียกำลังใจกันไปหมดไหนเลยจะมีกะจิตกะใจในการทำการค้า
ไอ้เฉินเย่เซิงมันถือโอกาสที่พวกผู้ดูแลภายในของราชสำนักถือหางมันคิดจะทำลายตระกูลเวินทิ้งทั้งตระกูลเลย!!!!
สามเดือนหลังจากนั้น ความเสียหายของตระกูลเวินก็มีแต่จะเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่านักการช่างที่ซื่อสัตย์กับตระกูลเวินนั้นเพราะถูกคุกคามถึงชีวิต ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกกันไปหลายคน
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งปีตระกูลเวินก็อยู่ในจุดที่วิกฤตที่สุดจนพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อแล้ว
พวกเขาไม่ได้แพ้ให้กับแผนการชั่วช้าของเฉินเย่เซิงแต่แพ้ให้กับไอ้พวกผู้ดูแลภายในเลวทรามที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงจนถึงตอนนี้เวินติ่งเทียนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้หวังิชงนั่นถึงได้ช่วยเหลือพวกตระกูลเฉินโดยไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้
หรือว่า ตระกูลเฉินจะกุมจุดอ่อนอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันสามารถควบคุมหัวหน้าของฝ่ายดูแลภายในของราชสำนักได้
มันจะเป็แบบนั้นไปได้เสียที่ไหนกันเล่า!!!!
์ไม่เป็ธรรม
โลกนี้ช่างโหดร้าย
เวินติ่งเทียนเข้าตาจนแล้ว ตอนนี้เขากำลังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ที่ทำได้ตอนนี้มีแค่รอรับชะตากรรมสุดท้ายที่จะตัดสินความเป็ไปของตระกูลเวินที่งานเทศกาลครั้งใหญ่นั่น- เทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญา
..................................
เวลาก็ล่วงเลยมาถึงคืนก่อนวันจัดเทศกาลหนึ่งวัน
ณ ใจกลางเทือกเขาเมฆมรกตอันห่างไกล ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดจนทำให้มองเห็นแสงไฟอันโชติ่ชัชวาลได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ภายในโพรงถ้ำที่อยู่บนส่วนยอดของต้นเมเปิลไฟนั้น พลังเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งราวกับลมพายุภายในใจกลางของพลังงานอันมหาศาลนั่นมีเงาร่างของคนๆ หนึ่งอยู่
ข้างๆ กันนั้นก็มีเ้าปี้ฟังตัวน้อยที่มีขนาดเท่ากำปั้นที่ชื่อว่า หั่วเอ๋อร์กำลังนั่งเอาปีกข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าหัวของตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางจ้องมองไปที่เงาร่างนั่น
“ก็แค่ก้าวข้ามขีดจำกัดระดับเซียนเทียนขั้นกลางแค่นั้นเองจะทำให้มันดูอลังการใหญ่โตขนาดนั้นทำไมนี่ คิดว่าเท่มากเลยหรือไง...แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามันสามารถขึ้นไปอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางได้แล้วพลังของข้าก็น่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ถึงสามส่วน กรุกกรู๊พอพูดถึงเื่นี้แล้วก็น้ำตาจะไหล ข้าที่เคยเป็ถึงวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปี้ฟังแท้ๆแต่ตอนนี้กลับเป็ได้แค่นกกระจอกพูดได้ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง... ฮือแต่นกกระจอกนี่ถ้าเอาไปทอดก็ดูน่าอร่อยดีนะ...”
เ้าปี้ฟังตัวน้อยที่พูดเก่งตัวนี้กำลังนินทาผู้เป็นายของมันอย่างสนุกปากทันใดนั้นก็มีคลื่นความร้อนอันรุนแรงะเิออกมาเสร็จแล้วก็พุ่งเข้าใส่เ้านกกระจอกตัวน้อยนี่จนปลิวว่อนไปในอากาศ อานุภาพของมันรุนแรงเกินจะหยั่งถึง
“โอ้โห สุดยอดขนาดนั้นเลย!!!!”
เ้าปี้ฟังตัวน้อยสะบัดปีกเพื่อทรงตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างสบายๆแต่สีหน้าของมันตอนที่มองไปทางเงาร่างของหลินหยางที่ค่อยๆ ปรากฏออกมานั้นดูตกตะลึงและประหลาดใจ
“หลินหยางน้อย วิชาอะไรร้อยๆ นั่นของเ้านั้นจะโกงอย่างไรก็ให้มีขอบเขตหน่อยเถอะ นี่ขนาดเพิ่งจะขึ้นมาระดับเซียนเทียนขั้นกลางก็สามารถะเิพลังรุนแรงขนาดนี้ออกมาได้แล้วต่อให้ต้องไปปะทะกับพวกขั้นท้ายตอนนี้ก็คงไม่เป็ปัญหาอะไรแล้วกระมัง”
ฮูมฮูม
พลังธาตุไฟที่กระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าค่อยๆ กระจายหายไปหลินหยางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“วิชาร้อยชีพจรผนึกเทพ...แกนี่นอกจากเื่กินแล้ว ไม่เคยจำอะไรได้สักอย่าง”
หลินหยางโพล่งคำสบถใส่เ้าสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ความของเขาไปประโยคหนึ่งขณะเดียวกันก็ตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเองซึ่งตอนนี้มีสภาพที่ยอดเยี่ยมจนเป็ที่น่าพอใจสุดๆ
ภายในร่างกายของหลินหยางในตอนนี้ได้มีพลังสุดมหัศจรรย์สายหนึ่งไหลเวียนอยู่ซึ่งก็คือพลังที่คนในขอบเขตระดับเซียนเทียนขึ้นไปเท่านั้นถึงจะใช้ได้ พลังฟ้าดินนั่นเอง
พลังฟ้าดินที่อยู่ในร่างกายของหลินหยางนั้น จะมีสีแดงสดราวกับเปลวเพลิงซึ่งไม่เหมือนกับพลังฟ้าดินของคนทั่วไปที่เป็สีขาว
นี่คือพลังอัคคี ซึ่งเป็พลังเฉพาะของร่างสถิตภูตอัคคีเมื่อเทียบกับพลังฟ้าดินสีขาวแบบทั่วไปแล้ว พลังที่ปะทุออกมานั้นจะรุนแรงมากยิ่งกว่าหลายเท่าแต่ข้อเสียของมันก็คือตอนฝึกฝนจะมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากกว่าเพราะมันจำเป็ต้องดูดกลืนพลังอัคคีแบบเดียวกันเท่านั้น
พลังอัคคีเหล่านี้กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลินหยางอย่างต่อเนื่องพร้อมกับไปเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้หลินหยางอยู่ตลอดเวลาและสุดท้ายมันก็จะไปรวมกันอยู่ที่ช่องว่างขนาดเท่ากำปั้นตรงบริเวณท้องน้อยของเขา
ตรงจุดนี้คือจุดที่สำคัญที่สุดที่คอยเก็บพลังฟ้าดินของเหล่าจอมยุทธ์ระดับเซียนเทียนเอาไว้- จุดชี่ไห่
โดยทั่วไปแล้ว เหล่าจอมยุทธ์ระดับเซียนเทียนที่สามารถขึ้นมาถึงขั้นกลางแล้วจุดชี่ไห่มักจะมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของกำปั้นเท่านั้นแต่ของหลินหยางในตอนนี้กลับมีขนาดที่ใหญ่กว่าของคนทั่วไปถึงหนึ่งเท่า
นอกจากนี้ ตรงจุดชี่ไห่ของหลิหยางนั้นมีท่อลำเลียงที่โปร่งใสยื่นออกมาทั้งหมดสิบสองสาย โดยท่อเหล่านี้ได้ยืดขยายไปยังทุกส่วนของร่างกายซึ่งเราเรียกท่อลำเลียงเหล่านี้ว่า ชี่ม่าย มันคือท่อที่พลังฟ้าดินเอาไว้ไหลผ่านนั่นเอง
เหล่าจอมยุทธ์นั้นจะมีจำนวนชี่ม่ายเพิ่มขึ้นตามการฝึกฝนยิ่งฝึกเยอะเท่าไรก็จะยิ่งมีชี่ม่ายจำนวนเยอะขึ้นเท่านั้น ทำให้อัตราการไหลเวียนของพลังก็จะยิ่งสูงมากขึ้นความรุนแรงของพลังก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เหล่าจอมยุทธ์ระดับเซียนเทียนโดยทั่วไปมักจะมีชี่ม่ายเพียงแปดเส้นเท่านั้นแต่หลินหยางกลับมีมากถึงสิบสองเส้น
การที่เขามีจุดชี่ไห่ใหญ่กว่าชาวบ้านถึงหนึ่งเท่าและมีชี่ม่ายเยอะกว่าคนทั่วไปถึงสี่เส้นนั้นทั้งหมดล้วนเป็ผลมาจากสุดยอดวิชาอันร้ายกาจของหลินหยาง วิชาร้อยชีพจรผนึกเทพนั่นเอง
สุดยอดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วนั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงสามารถทำให้หลินนหยางที่เพิ่งขึ้นมาถึงระดับเซียนเทียนขั้นกลางหมาดๆมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับพวกระดับเซียนเทียนขั้นท้ายได้แต่ทั้งหมดนี่ยังไม่ใช่พลังรบทั้งหมดของหลินหยาง
ภายในแหวนพระสุเมรุของเขานั้นมีผลลัพธ์ที่เกิดจากวิชาการช่างของเขาใน่ครึ่งปีมานี้หลับใหลอยู่และมันจะเป็สิ่งที่ทำให้ทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงต้องสั่นะเือย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนแน่
“หยุดวางท่าได้แล้ว หลินหยางน้อยก่อนหน้านี้เ้าบอกให้ข้าเตือนเ้าเื่เวลาด้วยใช่ไหม... พอดีเลยพรุ่งนี้ก็จะเป็วันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบแล้วนะ”
อะไรนะ?
หลินหยางเปลี่ยนสีหน้าทันที
“ข้าบอกให้เ้าเตือนข้าล่วงหน้าสามวันไม่ใช่รึไงระยะทางจากตรงนี้ไปถึงเมืองอวิ๋นเฉิงต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าหนึ่งวันนะ”
“ฮิฮิ...” เ้านกน้อยเหมือนกับว่ากำลังรอให้หลินหยางพูดประโยคนี้ออกมาอยู่แล้ว“ก็ข้าเห็นเ้าอยู่ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อของการฝึกนี่ข้าเลยไม่อยากไปรบกวนไง... แต่ว่าไม่ต้องห่วงหรอก เ้าอย่าลืมสิว่าข้ามีปีกนะถ้าเ้าขอร้องข้าดีๆ ละก็ ข้าอาจจะพาเ้าบินไปถึงเมืองอวิ๋นเฉิงอะไรนั่นให้ก็ได้”
ปี้ฟังตัวน้อยตัวนี้รู้สึกไม่สบอารมณ์มาโดยตลอดใน่ครึ่งปีนี้
ไม่มีใครชอบที่จะต้องเป็เตาไฟิญญาอยู่ตั้งครึ่งปีหรอกนะ
มันเลยอยากจะแกล้งผู้เป็นายของมันคืนบ้างนิดหน่อยจากนั้นก็ขู่ให้เอาซากศพของเหล่าปีศาจระดับสูงที่อยู่ในแหวนของหลินหยางออกมาให้มันกิน
หลังจากที่โดนผนึกพลังไปแล้วใน่ครึ่งปีมานี้มันก็ไม่เคยได้กินเนื้อของเหล่าสัตว์อสูรสุดแข็งแกร่งอีกเลยมันโหยจนแทบบ้าอยู่แล้ว
แต่สีหน้าของหลินหยางนั้นทำให้เ้าปี้ฟังตัวน้อยผิดหวังอย่างมาก
“ไอ้ตัวเล็กนี่ ไร้ประโยชน์จริงๆ” หลินหยางมองมันด้วยสายตาเ็าไปที มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่
เพียงแต่เขาไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับมันแล้ว
ขึ้นแปดค่ำเดือนสิบ เทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญา
วันพรุ่งนี้ก็จะเป็วันสำคัญที่จะตัดสินชะตากรรมของตระกูลเวินแล้วและเป็วันที่เขาวางแผนไว้ว่าจะชำระหนี้แค้นกับไอ้ชาติหมาเฉินเย่เซิงนั้นอย่างเด็ดขาดด้วยเื่สำคัญแบบนี้จะปล่อยให้เกิดเื่ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้น แหวนพระสุเมรุบนมือของเขาก็เปล่งแสงออกมาเงาร่างรูปทรงมนุษย์สีดำทมิฬก็ปรากฏขึ้น
หลินหยางะโเบาๆ ก็ขึ้นไปเหยียบอยู่บนหลังของบางสิ่งที่มีรูปทรงเหมือนมนุษย์นี้แล้วหลังจากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นไปอยู่เหนือเมฆอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็เพียงประกายแสงสายหนึ่งเท่านั้น
ทิ้งเ้านกกระจอกสีแดงตัวน้อยให้ยืนทำหน้างงอยู่ตัวเดียว
“ไอ้บ้าเอ๊ย เ้าหลินหยางไม่เห็นเ้าเคยบอกเลยว่าไอ้นั่นมันใช้บินได้ด้วย!! รอข้าด้วย...”
จากนั้นหนึ่งคนกับหนึ่งตัวก็พากันบินไปทางเมืองอวิ๋นเฉิงด้วยความเร็วสูงสุดจนดูคล้ายกับดาวหางสองดวงกำลังพุ่งไปข้างหน้าอยู่กลางอากาศ
..................................
ในเมืองอวิ๋นเฉิงยามค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบเชียบที่ไม่ต่างจากวันอื่นๆนี้ ภายในคฤหาสน์ตระกูลเวินกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศอันมืดมนและหม่นหมอง
คฤหาสน์อันกว้างใหญ่ของตระกูลเวินบัดนี้กลับดูเงียบเหงาและว่างเปล่าภายในสวนก็ดูเปลี่ยวเหงาแม้แต่เหล่าคนใช้ที่เดินกันอยู่ในคฤหาสน์แต่ละคนตอนนี้ต่างก็มีสีหน้าเศร้าๆ ปราศจากรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาต่างก็รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็วันเปิดงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาแล้ว
พรุ่งนี้อาจจะเป็วันที่ตระกูลเวินอาจจะถูกตระกูลเฉินบดขยี้จนล่มสลายก็เป็ได้
บริเวณสวนด้านหลังของคฤหาสน์ ณ ห้องว่างที่หลินหยางเคยอยู่นั้นมีเงาร่างของสาวน้อยรูปงามคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้าไป
เวินชิงชิง
เวลาผ่านไปครึ่งปีสาวน้อยจอมแก่นที่ครั้งหนึ่งชอบใส่เสื้อสีแดงแล้ววิ่งเล่นไปมาคนนั้นตอนนี้ดูโตเป็ผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
นางสวมใส่กี่เพ้ารัดรูปสีดำจนเผยให้เห็นทรวดทรงอันงดงามของนางท่ามกลางค่ำคืนยามรัตติกาลผิวกายของนางยังคงเปียกไปด้วยหยาดเหงื่อที่ยังไม่แห้งสนิทดี แสดงให้เห็นว่านางเพิ่งเสร็จจากการฝึกฝนด้านวรยุทธ์อันแสนเข้มงวด
ดวงตากลมโตคู่นั้นของนางที่เคยดูสดใสนั้น บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของนางนั้นชวนให้ผู้พบเห็นนั้นรู้สึกเ็ปราวกับมีแผลบาดลึกไปถึงหัวใจ
ครึ่งปีแล้ว
หลังจากวันที่หลินหยางหายสาบสูญไปในเทือกเขาเมฆมรกตโดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็ตายร้ายดีอย่างไรนั้นเวินชิงชิงก็เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน นางเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์อย่างบ้าคลั่ง
ทั้งไม่กินข้าว ไม่นอนพักเวลาทั้งหมดในแต่ละวันนั้นหมดไปกับการฝึกวรยุทธ์ จนในเวลาสั้นๆแค่ครึ่งปี นางก็มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนเวินติ่งเทียนยังรู้สึกแปลกใจ
เวลาที่นางพักผ่อน นางก็จะเข้าไปนั่งเหม่ออยู่ในห้องที่หลินหยางเคยใช้อาศัยอยู่คนเดียวในยามค่ำคืนพอเข้าไปนั่งแล้วก็นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า
คนส่วนใหญ่ก็มักจะเข้ามาปลอบนางว่า คนตายมิอาจคืนชีพแต่เวินชิงชิงก็จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเ็าทุกครั้งว่า “ไม่!! หลินอี้ยังไม่ตาย!!”
ค่ำคืนนี้มีลมพัดเข้ามาจากภายนอกจนหนาวเหน็บเวินชิงชิงก็มาที่บ้านพักของหลินหยางอีกครั้ง มองไปยังวิวทิวทัศน์ที่คุ้นเคยคอยคิดคำหนึ่งถึงเงาร่างของชายหนุ่มที่เคยอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
นางนั่งลงไปบนม้านั่งหินภายในสวนนั้นแม้ลมหนาวที่พัดผ่านยามค่ำคืนจะหนาวเหน็บแต่มันก็มิอาจเทียบได้กับความเย็นเยือกในใจนาง สักพักก็มีหยดน้ำตาค่อยๆ ร่วงหล่นลงจากั์ตาของนางลงสู่พื้นจนแตกกระจาย
“ฮือฮือ...”
เวินชิงชิงฟุบลงไปบนโต๊ะ ในที่สุดนางก็ฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวเสียงคร่ำครวญของนางนั้นช่างน่าสงสารจนชวนให้ผู้ที่ได้ยินต้องรู้สึกเ็ปจนใจสลาย
“เ้าบ้าหลินอี้...ไหนเ้าสัญญากับข้าแล้วไงว่าจะกลับมา? ทำไมเ้ายังไม่รีบกลับมาอีกเล่า...ทำไมกัน...”
ทำไม...
เวินชิงชิงเสียใจจนน้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ความทรงจำที่มีร่วมกันระหว่างนางกับหลินหยางก็ค่อยๆ พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำในมหาสมุทรและภาพสุดท้ายที่เป็เงาร่างด้านหลังของหลินหยางที่เดินจากไปยังที่แสนไกลอย่างโดดเดี่ยวเพื่อจะช่วยชีวิตของนางเอาไว้นั้นก็ยิ่งทำให้นางคร่ำครวญโศกเศร้าจนแทบจะเป็บ้า
ตอนนั้นเอง
ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาแตะๆ ที่ไหล่ของนางจากนั้นก็มีผ้าเช็ดหน้าขาดๆ ที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไรถูกยื่นออกไปให้ด้วย
“ฮือฮือ...”
เวินชิงชิงยื่นมือออกไปรับโดยไม่รู้ตัว แต่สักพักก็รู้สึกตัวว่ามีคนๆ หนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ นางั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้