“นี่คือหอคัมภีร์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองหอคอยที่มีความสูงหลายสิบเมตร หอคอยแห่งนี้มีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณปกคลุมอยู่โดยรอบ ราวกับว่ามันดำรงอยู่มาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว
“แต่ละเดือนหอคัมภีร์จะเปิดเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น สำหรับบัณฑิตที่มีคะแนนมากพอ พวกเขาจะอาศัย่เวลานั้นเข้าไปยังหอคัมภีร์เพื่อนำคะแนนไปแลกทักษะวิชา ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึง่เวลาเปิดตามปกติของหอคัมภีร์”
ผู้าุโอู๋อี้อธิบายขณะนำป้ายประกาศิตสีดำซึ่งมีลายเส้นสลักเอาไว้้าออกมา ฉับพลันนั้นลายเส้นบนแผ่นป้ายก็พลันส่องสว่างขึ้น
เมื่อเห็นดังนั้นมู่เฟิงก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือป้ายใช้ในการผ่านม่านมนตราของค่ายกล
อู๋อี้ส่งพลังชีวิตเข้าไปยังป้ายประกาศิต แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งไปยังม่านมนตราที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้าทันที และเพียงอีดใจเดียวก็มีช่องว่างของประตูปรากฏขึ้น
“อีกเดี๋ยวพวกเ้าต้องเดินตามข้ามาอย่างใกลเชิดด้วยเล่า ภายในค่ายกลแห่งนี้ไม่อาจเดินเถลไถลได้ ไม่อย่างนั้นหากค่ายกลเกิดโจมตีขึ้นมา ต่อให้เป็ข้าก็ไม่อาจช่วยพวกเ้าได้แล้ว”
ผู้าุโอู๋อี้กำชับอย่างจริงจัง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสามก็พยักหน้ารับอย่างเคร่งครัด
จากนั้นอู๋อี้ก็เดินนำพวกเขาเข้าไปในม่านกั้น โดยมีเด็กหนุ่มทั้งสามรีบติดตามอีกฝ่ายเข้าไปอย่างใกล้ชิด
เมื่อก้าวเข้ามาในอาณาเขตของค่ายกลก็พบว่ามีลายเส้นที่ดูลึกลับซับซ้อนกำลังซ้อนทับกันและเปล่งแสงสว่างของออร่าพลังอยู่บนพื้น ส่วนใจกลางของค่ายกลนั้นก็คือหอคัมภีร์
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินตามอู๋อี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์ ประตูบานใหญ่ของหอคอยกำลังเปิดกว้าง ด้านหน้ามีอสูรร้ายตนหนึ่งนอนหมอบและงีบหลับอยู่หน้าประตู
อสูรร้ายตรงหน้ามีรูปลักษณ์คล้ายกับราชสีห์ บนตัวของมันกำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้ม กระทั่งลมหายใจที่พรั่งพรูออกมาก็ยังเป็เปลวไฟ ส่วนกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของมันก็ทรงพลังจนน่าตื่นตะลึง
“นี่คืออสูรร้ายระดับหยวนตาน ราชสีห์เพลิงกัลป์!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น มู่เฟิงก็รู้สึกใขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็อสูรผู้พิทักษ์หอคัมภีร์”
อู๋อี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ราชสีห์เพลิงกัลป์เปิดดวงตาสีแดงเข้มของมันขึ้นมา จากนั้นมันก็เหลือบตามองมาทางพวกเขาทั้งสี่คน และทันใดนั้นคลื่นพลังอันดุดันก็ถาโถมเข้ามาปะทะร่างของพวกเขา ภายในใจของเด็กหนุ่มทั้งสามต่างก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย นี่คืออสูรร้ายระดับหยานตาน มันเป็อสูรร้ายที่ทรงพลังเป็อย่างยิ่ง
อู๋อี้ประสานมือกำหมัดคำนับไปทางราชสีห์เพลิงกัลป์ ก่อนจะเดินนำพวกมู่เฟิงเข้าไปในหอคอย
หลังจากเข้ามาแล้วก็พบว่าภายในโถงทางเดินอันกว้างขวางของชั้นหนึ่งถูกตกแต่งเอาไว้อย่างเรียบง่าย นอกจากนี้ยังมีชายชราผมขาวในชุดคลุมสีเทา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและกำลังนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ คนเดียว
ชายชราผู้นี้เก็บซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้จนดูราวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่มู่เฟิงเชื่อว่าเขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ท่านนั้นคือผู้าุโประจำหอคอย พวกเ้าเรียกเขาว่าผู้าุโเหมียวก็พอ”
อู๋อี้กล่าวกระซิบกับเด็กหนุ่มทั้งสาม ก่อนจะเดินนำพวกเขาเข้าไปคารวะอีกฝ่าย
“ผู้าุโเหมียว ข้าได้รับคำสั่งจากผู้าุโเจิ้งให้พาเด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้มาที่นี่เพื่อเลือกรับทักษะวิชาระดับนิลกาฬ”
อู๋อี้ประสานมือกำหมัดไปทางชายชราผู้นั้น จากนั้นเขาก็แสดงป้ายประกาศิตออกมา
“ผู้าุโเหมียว”
เด็กหนุ่มทั้งสามประสานมือกำหมัดคารวะอีกฝ่าย
ผู้าุโเหมียวเหลือบมองพวกมู่เฟิงก่อนจะพยักหน้า และกล่าวกับอู๋อี้ว่า “ท่านบอกเื่กฎแก่พวกเขาแล้วหรือยัง?”
อู๋อี้จึงพลันกล่าวอธิบายออกมาว่า “การรับทักษะวิชาระดับนิลกาฬมีกฎอยู่หนึ่งข้อคือ ทางสำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับทักษะวิชาเ่าั้ส่งต่อมันให้แก่ผู้อื่น และจำเป็ต้องให้คำสาบาน โดยพวกเ้าสามคนจะต้องใช้เืเขียนชื่อลงนาม นั่นถือเป็สัญญาเื”
อู๋อี้ชี้นิ้วไปยังแท่นหินสีดำที่อยู่ด้านข้างของเขา
พื้นผิว้าของแท่นหินพลันส่องสว่างขึ้น โดยเฉพาะลายเส้นที่สลักอยู่บนนั้นยิ่งเปล่งประกายเป็พิเศษ
มู่เฟิงตระหนักได้ทันทีว่ามันคือสิ่งใด นั่นคือหินพันธสัญญา เมื่อลงนามบนแท่นหินนั้นแล้ว ผู้ที่ละเมิดคำสัญญาจะถูกลงทัณฑ์ พลังแห่งลายเส้นจะส่งผลสะท้อนกลับต่อผู้ทำสัญญาทันที โดยโทษสถานเบาก็คือโดนธาตุไฟเข้าแทรก และโทษสถานหนักคือความตาย
เด็กหนุ่มทั้งสามกัดนิ้วตัวเองจนมีเืไหลซึมออกมา จากนั้นพวกเขาก็ใช้เืของตนลงนามลงบนแท่นหิน เืสีแดงสดซึมลงไปในหินพันธสัญญาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ปล่อยพลังที่มองไม่เห็นเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มทั้งสาม โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
“เอาละ พวกเ้าตามข้ามา”
ผู้าุโอู๋อี้ประสานมือกำหมัดไปทางชายชราอีกครั้ง จากนั้นก็เดินนำกลุ่มเด็กหนุ่มขึ้นไป้าของหอคอย
“ผู้าุโอู๋ ไม่ทราบว่าวรยุทธ์ของผู้าุโเหมียวอยู่ในระดับใดหรือขอรับ?”
ไป๋จื่อเยว่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
สีหน้าของผู้าุโอู๋อี้พลันชะงักค้าง ก่อนจะตอบว่า “ล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึงได้!”
“ไม่อาจหยั่งถึง?”
เหล่าเด็กหนุ่มต่างก็ตื่นตะลึงกับคำตอบนี้ กระทั่งมู่เฟิงยังรู้สึกใขึ้นมาเล็กน้อย อู๋อี้คือผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน ดังนั้นการที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่สามารถหยั่งถึงวรยุทธ์ของผู้าุโเหมียวได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้าุโเหมียวมีวรยุทธ์สูงกว่าเขามากหรอกหรือ?
หรือว่าวรยุทธ์ของผู้าุโเหมียวจะอยู่เหนือระดับหยวนตาน?
มู่เฟิงลอบคาดเดากับตัวเอง
ในอาณาจักรหนานหลิง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานถือเป็ผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงสุด และเขาก็ไม่เคยได้ยินเื่วรยุทธ์ที่เหนือกว่าระดับหยวนตานมาก่อน แต่แน่นอนว่าการดำรงอยู่ของผู้ที่อยู่คนระดับนั้น ลำพังพลังของเขาคนนั้นผู้เดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ได้ด้วยซ้ำ
มู่เฟิงเลิกคิดมาก เขาเดินตามผู้าุโอู๋ขึ้นไปยังชั้นบนของหอคอยต่อ
“จริงสิ พวกเ้าสามคน้าเลือกจะทักษะพลังภายในหรือว่าทักษะพลังปราณ?”
ผู้าุโอู๋เอ่ยถามขึ้น
“ทักษะพลังปราณขอรับ”
เด็กหนุ่มทั้งสามกล่าวขึ้นพร้อมกัน
ผู้าุโอู๋ประหลาดใจเล็กน้อย โดยปกติแล้วสำหรับครั้งแรกแบบนี้เหล่าบัณฑิตล้วนจะเลือกฝึกทักษะพลังภายในระดับนิลกาฬก่อน
หรือว่าเด็กหนุ่มทั้งสามนี้เคยฝึกทักษะพลังภายในมาแล้ว?
แต่เมื่อครุ่นคิดได้ว่าพวกเขามาจากตระกูลมู่ซึ่งเป็ตระกูลใหญ่ ฉะนั้นคงไม่ใช่เื่น่าแปลกที่พวกเขาจะเคยฝึกทักษะพลังภายในระดับนิลกาฬมาก่อน
ทว่าในความเป็จริงตระกูลมู่ไม่ได้มีทักษะพลังภายในระดับนิลกาฬอยู่ เพราะทักษะวิชาระดับสูงสุดที่พวกเขามีคือเคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซิน ซึ่งเป็ทักษะวิชาระดับธาตุทองขั้นสูงเท่านั้น แต่ต่อมาหลังจากมู่เฟิงได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬมาจากซีเยว่ เขาก็ส่งมอบมันให้แก่ตระกูลมู่
พวกเขาใช้เวลาพักใหญ่ในการขึ้นไป้าของหอคอย จนในที่สุดก็มาถึงห้องคัมภีร์
ภายในห้องคัมภีร์แห่งนี้มีกลุ่มแสงสีขาวมากมายกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ โดยพื้นผิวของกลุ่มแสงเหล่านี้จะมีตราของลายเส้นผนึกเอาไว้ กลุ่มแสงทั้งหมดนั้นมีจำนวนมากกว่าสามสิบกลุ่ม และมันกำลังล่องลอยพร้อมเปล่งรัศมีส่องสว่างออกมา
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ทักษะพลังปราณระดับนิลกาฬขั้นต่ำและขั้นกลาง มีทั้งทักษะร่างกาย และทักษะการต่อสู้ พวกเ้าเข้าไปเลือกเอาเถิด”
ผู้าุโอู๋อี้กล่าวด้วยยิ้ม
ทักษะวิชาระดับนิลกาฬถือเป็สมบัติล้ำค่าของสำนักศึกษา หากไม่ใช่ผู้มีคุณูปการใหญ่หลวง ทางสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางมอบให้บัณฑิตนำไปฝึกฝน
เด็กหนุ่มทั้งสามเดินเข้าไปเลือกทักษะพลังปราณของตัวเอง
“พี่เฟิง ท่านคิดจะเลือกทักษะพลังปราณแบบใดหรือขอรับ?”
มู่ขวงมองเข้ากลุ่มแสงที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยความรู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตนควรจะเลือกทักษะพลังปราณแบบใดดี
มู่เฟิงขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้ขาดแคลนทักษะการโจมตี แต่ทักษะร่างกายของข้ายังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ หากว่าวรยุทธ์บรรลุถึงระดับหนิงกังแล้วกลัวว่าการเคลื่อนไหวของข้าจะเชื่องช้ามากเกินไป ดังนั้นข้าจะเลือกทักษะวิชาเกี่ยวกับร่างกาย”
“หึๆ ส่วนข้าจะเลือกทักษะกระบี่”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขา้าฝึกฝนวิชากระบี่ที่ทรงพลังทุกแขนง
“ถ้าเช่นนั้นข้าเลือกทักษะฝ่ามือแล้วกัน”
มู่ขวงเกาหัวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เขายังคงขาดแคลนทักษะการโจมตีอยู่
มู่เฟิงยกมือขึ้นััเข้ากับกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งดูจากอักขระที่สลักอยู่บนนั้นบ่งบอกได้ว่ามันคือทักษะวิชาหมัดวิชาหนึ่ง จากนั้นมู่เฟิงก็เหลือบมองไปทางกลุ่มแสงกลุ่มอื่นๆ
หลังจากทำการเลือกสรรอยู่สักพัก เขาก็ค้นพบทักษะวิชาร่างกายสามวิชา
“วิชายักย้าย!”
“ก้าวแสงศร”
“ก้าวปทุมเพลิง”
ในบรรดาทักษะร่างกายทั้งสามวิชานี้ วิชาก้าวปทุมเพลิงอยู่ในระดับสูงสุด เป็ทักษะวิชาระดับนิลกาฬขั้นกลาง หากว่าสามารถฝึกฝนจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้ จะสามารถเคลื่อนไหวกลางอากาศได้ชั่วขณะหนึ่ง หนึ่งก้าวหนึ่งปทุมเพลิง สามารถะเิความเร็วได้มากกว่าสี่เท่าจากยามปกติ
ในที่สุดเฟิงก็ตัดสินใจเลือกได้เสียที นั่นก็คือวิชาก้าวปทุมเพลิง!
ถึงอย่างไรก้าวปทุมเพลิงก็จำเป็ต้องใช้พลังฟ้าดินธาตุไฟเป็พื้นฐานของการฝึกฝน ดังนั้นพลังปราณเพลิงภายในร่างของเขาจะเป็ตัวช่วยให้สามารถดูดซับพลังฟ้าดินธาตุไฟได้เร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาอาจจะสามารถฝึกฝนจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้ในระยะเวลาไม่นาน
แม้ว่าร่างชูร่าของมู่เฟิงจะมีปีกสีโลหิตและสามารถบินได้ แต่เขาไม่อาจเปิดเผยรูปลักษณ์เช่นนั้นให้ผู้คนภายนอกเห็นได้
“ข้าเลือกเ้าแล้วกัน”
มู่เฟิงเอื้อมมือออกไปคว้าวิชาก้าวปทุมเพลิงที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับไปหาผู้าุโอู๋อี้
ในเวลาเดียวกันนั้นมู่ขวงกับไป๋จื่อเยว่ก็เลือกทักษะพลังปราณได้พอดีเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งสามต่างก็เลือกได้แล้ว อู๋อี้ก็ใช้ปลายนิ้วเคาะตราผลึกทั้งสาม ตราผลึกพลันปริแตกอย่างง่ายดาย ทันใดนั้นตำราสามเล่มก็ตกลงไปอยู่ในมือของเด็กหนุ่มทั้งสามคน
“เอาละ ข้าจะให้เวลาพวกเ้าได้ทำความคุ้นเคยกับเคล็ดวิชานี้เป็เวลาหนึ่งวัน หลังจากนั้นข้าจะพาพวกเ้ากลับ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้