“เ้านั่นทำร้ายน้องชายข้าจนกลายเป็คนไร้ความสามารถ ในฐานะที่ข้าเป็หัวหน้าทหารรักษาเมือง แน่นอนว่าข้ามิอาจเพิกเฉยได้! แม้ที่นี่จะมิใช่ตัวเมือง แต่ต้นสายปลายเหตุของเื่ราวนั้นเกิดขึ้นที่ตัวเมือง!”
“หากแม่นางเสี่ยวเมิ่งไม่มอบตัวคนผู้นั้น เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าหานจิ้นไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ขณะที่หานจิ้นกำหมัดได้เพียงครึ่ง เสียงตึงตังก็ดังมาจากชั้นบน เขาหรี่ตาจนเป็เส้น แต่เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวเมิ่ง ความคิดมากมายก็เกิดขึ้นในใจเขา
“เหอะเหอะ มาบ้านข้าดึกดื่นเช่นนี้เพียงเพื่อตามหาเด็กหนุ่มที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้เดียว? ไม่คิดเลยว่าทหารรักษาเมืองแห่งเทียนอวิ่นจะทำเื่เช่นนี้ด้วย ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะหรืออย่างไร”
ชายชราเดินออกจากห้องด้วยท่าทางงุ่มง่าม เนื้อตัวมอมแมม ผู้ใดได้เห็นคงคิดว่าเขานั้นไม่ต่างจากขอทาน
เคราะห์ดีที่ชายชราไม่มีการเคลื่อนไหวของปราณดารา แม้เขาจะเข้าไปเดินเตร่ในเมืองบ่อยครั้ง แต่เขามิได้มีความสำคัญ ทหารรักษาเมืองพวกนี้จึงไม่ได้สนใจเขา
“ตาแก่ เ้าอย่านำเื่พวกนี้มากดดันข้า! หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณหนูหลิว ป่านนี้เ้าได้ไปอยู่ในนรกภูมินานแล้ว!”
หานจิ้นขยับปากเอ่ยขึ้น สายตามองไปที่สตรีชุดลายพญาหงส์ด้านหลัง ก่อนจะแสดงสีหน้าท่าทีประจบสอพลอ
“หลิวหรูเยียน นางอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ชายชราขมวดคิ้วโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกว่าเื่นี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้ว
หลิวหรูเยียนบ่มเพาะพลังถึงระดับดาราวงแหวนใหญ่ขั้นห้า ในเมืองเทียนอวิ่นยกย่องนางให้เป็ยอดฝีมือ เป็สตรีอัจฉริยะที่หาได้ยาก ทั้งฐานะของนางยังทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว เพราะนางเป็ลูกสาวของผู้นำอันดับหนึ่งแห่งเมืองเทียนอวิ่น ทายาทสายตรงของตระกูลหลิว ตระกูลที่มีอำนาจ!
ว่าไปแล้ว ทหารรักษาเมืองก็เป็แค่สุนัขรับใช้ตระกูลหลิว
นอกจากตระกูลหลิวจะเป็ที่รู้จักในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของเมืองเทียนอวิ่นแล้ว ยังมีตระกูลใหญ่อีกสองตระกูล แต่กระนั้น พวกทหารรักษาเมืองกลับอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลหลิว รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบทั้งหมดด้วย ดังนั้นตระกูลหลิวจึงมีอำนาจมากที่สุดในเมืองเทียนอวิ่น
หลิวหรูเยียนไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน วันนี้ที่นางมากับหานจิ้น จึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
นางส่งสายตาเป็ประกาย ยิ้มหวานให้ชายชราแล้วกล่าวว่า “ดึกแล้วยังมารบกวนท่าน ขอท่านผู้เฒ่าอภัยให้ด้วย เรามาตามหาผู้ที่อยู่ด้านใน โปรดเชิญเขาออกมาด้วยเถิด”
ก่อนที่ชายชราจะตอบ เสี่ยวเมิ่งได้ยื่นมือเรียวของนางออกมาทำท่าห้าม “เขายังติดหนี้เราอยู่ ขออภัยด้วย เราให้ไปกับเ้ามิได้”
หลิวหรูเยียนพยักหน้า มองเสี่ยวเมิ่งที่แสดงท่าทีไม่ยอมอยู่ด้านหน้า ก่อนจะยิ้มอย่างเป็มิตรแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของแม่นางเสี่ยวเมิ่งมานานแล้ว แต่ด้วยเื่มากมาย ทำให้มิได้เจอเสียที”
“วันนี้ได้เจอแล้ว งามสมคำร่ำลือจริงๆ แม่นางเสี่ยวเมิ่ง ข้าว่าเช่นนี้ดีไหม หากเ้ามอบคนผู้นั้นให้ตระกูลหลิวของเรา ข้ารับปากเ้าเื่หนึ่ง ไม่ว่าเ้า้าสิ่งใด ตระกูลหลิวจะทำให้ ว่าอย่างไรล่ะ?”
เป็เื่ยากที่หลิวหรูเยียนยอมเสนอข้อตกลงที่มีไมตรีเช่นนี้เพื่อหานซู่ แต่หากทำเพื่อหยวนจุน เช่นนั้นยิ่งไม่น่าเป็ไปได้
เขาเป็แค่นักยุทธ์วงแหวนใหญ่ขั้นสอง ไม่อยู่ในสายตาของตระกูลหลิวแม้แต่น้อย เสี่ยวเมิ่งจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลิวหรูเยียนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
หลังจากเงียบไปสักพัก เสี่ยวเมิ่งที่ตั้งสติได้แล้วจึงขยับปากกล่าวว่า
“จริงหรือ ไม่ว่าสิ่งใดเ้าก็รับปาก?”
หลิวหรูเยียนพยักหน้าจริงจัง ตอบกลับว่า “คำพูดที่พูดไป เหมือนดั่งน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว ข้าหลิวหรูเยียนกล่าวไปแล้วไม่คืนคำ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าขอเพียงเื่เดียว คือให้สุนัขรับใช้ตระกูลหลิวของเ้ารีบออกไปจากที่นี่เสีย!”
เสี่ยวเมิ่งน้ำเสียงดุดัน ทำให้หลิวหรูเยียนเบิกตากว้างทันที แม้ใบหน้าที่หยิ่งยโสนั้นไม่ได้แสดงความโกรธออกมา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม่นางเสี่ยวเมิ่งล้อข้าเล่นหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าบอกว่าจะรับปากเ้าเื่หนึ่ง แต่เ้าต้องมอบคนให้ข้าก่อน!”
เมื่อเห็นชายชรากับเสี่ยวเมิ่งเงียบ ไม่สนใจพวกเขาที่อยู่ด้านหน้า ทั้งยังแสดงสีหน้าเฉยเมยต่อพวกเขา หลิวหรูเยียนจึงส่งสายตาให้หานจิ้นแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือ หากข้าชิงคนผู้นั้นมาก็อย่าโทษข้าแล้วกัน!”
หานจิ้นพยักหน้าและหันไปบอกพวกนักยุทธ์ว่า “หยุดพวกมัน อย่าให้พวกมันสองคนขวางทาง!”
เขาเตะประตูไม้ไผ่ที่อยู่ตรงลานบ้าน เดินตรงไปยังบ้านไม้ที่หยวนจุนอาศัยอยู่ หลิวหรูเยียนกับพวกเดินตามอย่างใกล้ชิด
เมื่อเสี่ยวเมิ่งถูกนักยุทธ์สองคนขัดขวางจึงจะลงมือตามสัญชาตญาณ นางกลับถูกชายชราห้ามไว้ด้วยเสียงดังมาแต่ไกลว่า “ดูท่าทีเงียบๆ ก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม เราลูกหลานมีหน้าที่ที่ต้องทำตามคำสั่งของบรรพบุรุษ จะให้เกิดเื่อันใดมิได้”
“การทำให้ตระกูลหลิวขุ่นเคืองนั้นไม่ต่างกับการแหย่รังแตน! แม้ยังไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเ้าหนุ่มนั่นเป็อย่างไร แต่การทำให้หลิวหรูเยียนมาด้วยตนเองได้ น่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา”
เสี่ยวเมิ่งลดมือลง มองนักยุทธ์พวกนั้นด้วยความกังวล ครั้นนึกถึงเื่ที่ปู่ของนางกล่าวอย่างถี่ถ้วน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ตระกูลหลิวเป็ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเทียนอวิ่น หากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถกระตุ้นให้นักยุทธ์ทั้งเมืองลุกฮือได้ ราวกับว่ามีคนมากมายกำลังรอประจบอำนาจนี้อยู่
หากหลิวหรูเยียนถูกบังคับมา นางจะมาอยู่ที่นี่แล้วกล่าวเหตุผลอันไร้ประโยชน์กับพวกเขาได้อย่างไร
“วี้ วี้”
เมื่อหลิวหรูเยียนเข้าใกล้บ้านไม้มากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากภายใน เป็ระเบียบ ค่อยเป็ค่อยไป อ่อนแรงนำแข็งแกร่งตาม
“เขากำลังบรรลุขั้น?”
หานจิ้นที่เห็นว่าหลิวหรูเยียนหยุดเดินแล้วจึงหันไปถาม “คุณหนูใหญ่ ทำอย่างไรดี?”
“ลงมือขัดขวางเขา!”
หลังจากได้รับคำสั่งที่้ามากที่สุด หานจิ้นก็แสดงสีหน้าท่าทางตื่นเต้นแล้วะโบอกทหารที่อยู่รอบตัวเขา “พังบ้านไม้ ทำลายการบรรลุขั้นของเขา!”
“ไป!”
กลุ่มทหารกว่ายี่สิบคนกระจายกำลังเพื่อล้อมบ้านไม้ทั้งหลังไว้ ก่อนจะรวบรวมกายใจจนปราณดารามีพลังเต็มที่ จากนั้นจึงส่งกำลังทั้งหมดไปยังบ้านไม้ที่หยวนจุนอาศัยอยู่
“ปังปัง ครืน โครม”
บ้านไม้ถูกทำลาย เศษไม้เศษฝุ่นกระจายตกลงบนพื้นราวกับฝนตก หลิวหรูเยียนยกมือขึ้น แสงสีแดงส่องประกายช่วยบังฝุ่นตรงหน้านาง
“หากหานซู่มิได้โกหก ปราณดาราของคนผู้นี้มีธาตุไฟที่ทรงพลัง การใช้พลังปราณเช่นนี้ได้น่าจะเกิดจากการเชื่อมประสานปราณธาตุดาว อายุเพียงเท่านี้แต่สามารถทำได้แล้ว หาได้ยากยิ่ง”
“เพียงหนึ่งฝ่ามือก็สามารถเอาชนะหานซู่ได้ เขาไม่ควรตายง่ายๆ ภายใต้การต่อสู้เช่นนี้ ข้าอยากเห็นเสียหน่อยว่า เขามีสิ่งใดที่แตกต่างจากนักยุทธ์ทั่วไปกันแน่!”
ขณะที่หลิวหรูเยียนกำลังครุ่นคิด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าอากาศแห้งและร้อนประหนึ่งอยู่ในเตาหลอม จนเหงื่อไหลลงบนหลัง
จากนั้นร่างสูงสง่าก็เดินออกมา เขายืนนิ่งแล้วส่งพลังจากมือออกไป นักยุทธ์วงแหวนใหญ่ขั้นสองประมาณสี่ห้าคนกระเด็นออกไปโดยที่เขาไม่ต้องออกแรงพยายามเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้