ในฐานะที่เป็บุตรชายคนโตหลี่เจี้ยนอันจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านพ่อ หากท่านอารองแก่แล้วข้าจะเป็คนดูแลเองขอรับ”
หลี่ฝูคังกล่าวขึ้นบ้าง “พี่ใหญ่ ท่านต้องดูแลท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะเป็คนดูแลท่านอารองเอง”
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ข้าก็ดูแลท่านอารองได้ขอรับ”
“ท่านพ่อดูเถิด พี่ชายของข้าทุกคนยินดีดูแลท่านอารองนะเ้าคะ” หลี่หรูอี้หันไปพูดกับหลี่สือที่กำลังร้องห่มร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอารองเ้าคะ พี่ชายข้าล้วนแย่งกันเลี้ยงดูท่าน ท่านอย่าร้องไห้ไปเลย”
เด็กชายทั้งสี่พากันล้อมเข้ามาเพื่อปลอบใจหลี่สือ
หลี่สือกล่าวขอร้องหลานทั้งสี่ทั้งน้ำตา “ข้าไม่อยากแต่งงาน ข้าไม่อยากไปจากท่านพี่ ข้าอยากอยู่กับท่านพี่”
จ้าวซื่อใจอ่อนไปนานแล้ว นางมองไปยังสามีของตนพลางกล่าวขอ “พี่ซาน ข้าว่าพวกเราทำตามความปรารถนาของน้องรองเถิด อย่าให้เขาแต่งงานมีภรรยาเลย”
หลี่หรูอี้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ท่านอารองอยู่กับพวกเราก็มีความสุขทั้งวัน เช่นนี้ไม่ดีหรือ หากให้เขาไปจากพวกเราแล้วไปอยู่กับคนแปลกหน้า เขาจะมีความสุขอีกหรือเ้าคะ?”
จ้าวซื่อกล่าวเสริม “น้องรองเป็คนใจกว้าง ปกติไม่มีเื่อะไรทำให้เขาร้องไห้ได้ คราวที่แล้วก็ร้องไห้เพราะหรูอี้ป่วย”
หลี่ซานหน้าเจื่อน กล่าวอย่างเนิบๆ ว่า “หากข้าไม่จัดแจงเื่แต่งงานให้น้องรอง เกรงว่าพอข้าตายไปแล้วจะไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษตระกูลหลี่”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านพ่อเ้าคะ หากไม่มีท่านพ่อ ท่านอารองจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือ บรรพบุรุษตระกูลหลี่ควรขอบคุณท่านถึงจะถูก”
จ้าวซื่อกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเราดูแลน้องรองจนเติบโตเป็ผู้ใหญ่ ยังไม่เคยปฏิบัติย่ำแย่กับเขามาก่อน ถามใจแล้วย่อมไร้เื่ให้ละอาย”
พวกเขาสองสามีภรรยาดูแลลูกพี่ลูกน้องที่สติปัญญาไม่ดีมาั้แ่อายุห้าขวบจนกระทั่งเติบใหญ่ ให้เขามีกินมีเสื้อผ้าสวมใส่ ทั้งยังคอยสอนเขาเื่การปฏิบัติตัวให้เป็ผู้เป็คน
มิใช่ว่านาง้าโอ้อวด ที่อำเภอฉางผิงแห่งนี้มีหลายพันครอบครัว ทว่าคงไม่อาจหาคนที่มีจิตใจดีงามทั้งมีเมตตาและกตัญญูเฉกเช่นพวกนางได้แล้ว
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไปว่า “ท่านพ่อ หวังว่าท่านจะเห็นแก่ความ้าของท่านอารองนะเ้าคะ”
“ให้ข้าคิดดูก่อนแล้วกัน” หลี่ซานเดินออกไปจากห้องโถงด้วยใจอันหม่นหมอง เมื่อเห็นว่าฝนยังคงตกหนักจึงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปยังแปลงผักที่ลานหลังบ้าน
หลี่สือที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำถูกหลานชายทั้งสี่พาไปเล่นกับลาที่ลานหลังบ้าน
ในห้องโถงเหลือเพียงมารดาและบุตรีที่กำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่
“ท่านแม่เ้าคะ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดง่ายเกินไป นึกว่าท่านอารองจะเห็นด้วยกับการแต่งงานและแยกออกไปอยู่ลำพัง”
“หากเขาแต่งงานแล้วไม่ยอมแยกออกไปอยู่ลำพัง ต่อไปพวกเราก็ต้องดูแลเขาทั้งครอบครัว” ต่อให้จ้าวซื่อจะเห็นใจหลี่สือเพียงใดก็ไม่อาจกระทำเื่นี้โดยพลการ
ตอนนี้หลี่ซานและจ้าวซื่อต้องส่งบุตรชายทั้งสี่เรียนหนังสือเพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ สามารถมอบเงินสิบห้าตำลึงให้หลี่สือเพื่อเอาไว้แต่งภรรยาได้ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว
หลังจากหลี่สือแต่งงานแล้ว ย่อมไม่อาจให้หลี่ซานและจ้าวซื่อดูแลได้อีก
ไม่ต้องกล่าวถึงลูกพี่ลูกน้องเช่นพวกเขาเลย ต่อให้เป็พี่น้องกันแท้ๆ ก็ไม่มีพี่ชายคนใดเลี้ยงดูครอบครัวของน้องชายได้ทั้งครอบครัว
“ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เมื่อท่านอารองแต่งงานก็ต้องแยกออกไปอยู่ลำพัง แต่ตอนนี้ท่านอารองไม่อยากแยกไปอยู่ลำพัง”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้อารองของเ้าแต่งงาน” ดวงตาของจ้าวซื่อเปล่งประกายแวววาว กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “สภาพอารองของเ้าเป็เช่นนี้ ต่อให้แต่งงานไปก็ไม่อาจเป็สามีที่ดี ไม่อาจเป็บิดาที่ดีได้”
“ท่านแม่ท่านคิดเหมือนข้าเลยเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้กล่าวเสียงแ่ “ทว่าตอนนี้ครอบครัวพวกเรามีชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากท่านอารองไม่แต่งงานเกรงว่าภายภาคหน้าจะถูกผู้อื่นนินทาเอาได้”
จ้าวซื่อเลิกคิ้วขึ้น “นินทาก็นินทาไปเถิด พวกเรายังต้องกลัวอีกหรือ” คนที่เอาชีวิตรอดจากภัยโรคระบาดมาได้ยังต้องกลัวผู้อื่นนินทาอีกหรือ
เพื่อปลอบใจหลี่สือหลี่หรูอี้จึงทำอาหารกลางวันเป็พิเศษ โดยมีอาหารจานเนื้อสองอย่าง ได้แก่ กุนเชียงผัดต้นหอมและตับหมูนึ่ง อาหารจานหลักคือ แป้งย่างที่ทำจากแป้งขาว
อาหารดีเพียงนี้ แต่หลี่สือกลับกินเพียงแป้งย่างขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือและกับข้าวอีกเล็กน้อย ก่อนจะวางชามและตะเกียบลง
หลี่หรูอี้เอ่ยถามอย่างใส่ใจว่า “เหตุใดท่านอารองกินน้อยเช่นนี้เ้าคะ?”
หลี่สือก้มหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา “กินอิ่มแล้ว” จากนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวเช่นไรก็ไม่ยอมกินอีก
หลี่อิงฮว๋าเห็นหลี่สือกลับไปที่ห้องนอนแล้ว เขารออยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินไปผลักประตู พบว่าประตูถูกปิดสนิทไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไป เมื่อเดินไปเปิดหน้าต่างก็เห็นหลี่สือนั่งอยู่ที่ข้างเตียงเตา สองมือยกขึ้นปาดน้ำตาคล้ายกำลังร้องไห้ เห็นดังนั้นเขาจึงรีบเดินกลับมาที่ห้องโถง กล่าวกับทุกคนด้วยความกังวลว่า “ท่านอารองของข้าปิดประตูแน่น แต่ไม่ได้นอนหลับ เขานั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงอีกแล้วขอรับ”
หลี่ฝูคังดวงตาแดงก่ำด้วยความสงสารหลี่สือ จึงกล่าวว่า “ท่านอารองกินไม่อิ่ม เขากลัวว่าพวกเราจะรังเกียจเลยไม่กล้ากินจนอิ่ม”
หลี่ิ่หานกล่าวเสริม “ก่อนหน้านี้บ้านเรายากจน มีอาหารให้กินกันไม่อิ่ม ท่านอารองก็ไม่กล้ากินมาก ตอนนี้บ้านเรามีให้ทุกคนกินอิ่มได้แล้ว ท่านอารองก็ยังไม่กล้ากินมาก”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างกังวลว่า “ท่านอารองอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ แต่ก็เป็คนจิตใจดีมาก หากอยู่กับพวกเราย่อมดีที่สุด เพราะพวกเราจะไม่รังแกเขา หากเขาแต่งภรรยาแล้วภรรยาไม่ดีต่อเขา ชีวิตของเขาคงต้องลำบากยากเข็ญนัก”
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นบ้าง “ท่านอารองร้องไห้พวกเรายังใส่ใจเขา ต่อไปหากเขาแต่งงานแล้วร้องไห้อีก ภรรยาจะใส่ใจเขาหรือ”
จ้าวซื่อเห็นสามีของตนมีสีหน้าหม่นหมอง จึงกล่าวไปว่า “พี่ซาน ท่านคิดเห็นอย่างไร”
หลี่ซานพูดไม่ออกจริงๆ ว่า จะให้น้องรองเลี้ยงดูภรรยาและบุตรธิดาอย่างไร จึงทำได้เพียงเงียบงัน
จ้าวซื่อมองไปยังสามีด้วยความเป็ห่วง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วกลับไปนอนพักที่ห้อง
่อาหารเย็น หลี่หรูอี้ทำไข่ตุ๋นและผัดมะเขือ อาหารหลักคือขนมแป้งทอดกรอบสองชามใหญ่ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว แต่คราวนี้หลี่สือกลับไม่ยอมออกมาจากห้องนอน แน่นอนว่าไม่ได้กินข้าว
หลี่สือแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ มาครึ่งวันแล้ว ในที่สุดเมื่อได้ยินเสียงหลี่ซานพูดถึงตนก็ยิ่งร้องไห้เสียงดังขึ้นอีก และกล่าวออกมาด้วยใจที่หวั่นวิตกว่า “ท่านพี่ ข้าไม่อยากแต่งงานมีภรรยา ข้าไม่อยากไปจากท่าน ข้าไม่อยากไปจากครอบครัว!”
ในตอนที่เขาเผชิญความยากลำบากกับหลี่ซานอยู่ภายนอก มีหลายคนบอกเขาว่า หลี่สือเป็ตัวโง่งม หากไปจากพี่ชายจะต้องถูกผู้อื่นรังแกหรืออาจถูกขายไปเป็ทาสก็ยังไม่รู้ตัว ต้องอยู่ใกล้กับพี่ชายไว้ให้ดี
คนเ่าั้พูดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ก็กล่าวเพื่อตัวของหลี่สือนั่นเอง
แม้เขาจะโง่เขลา แต่สัญชาตญาณค่อนข้างดี รู้ว่าผู้ใดดีกับเขาอย่างจริงใจ รู้ว่าผู้ใดพึ่งพาได้
ดวงตาของหลี่ซานคลอไปด้วยน้ำตา “หากเ้าไม่แต่งงานมีภรรยาจะมีบุตรชายบุตรสาวได้อย่างไร จะทำผิดต่อท่านอาที่ตายไปแล้วของข้าหรือ”
“ข้าไม่อยากแต่งงาน!” หลี่สือลืมบิดามารดาของตนไปนานแล้ว จำได้เพียงหลี่ซานและจ้าวซื่อที่คอยดูแลเขาจนเติบใหญ่ ส่วนเื่บุตรธิดา เขารู้ดีว่าหากจะมีเด็กก็ต้องอาศัยผู้อื่นคลอดให้ เช่นนั้นแล้วจะอยากมีลูกได้อย่างไร
หลี่ซานไม่ยอมใจอ่อน หลี่สือก็ไม่ยอมกินข้าว หลี่ซานที่ว่าเป็คนดื้อรั้นมากแล้ว แต่หลี่สือกลับหัวแข็งและดื้อรั้นยิ่งกว่า
หลี่หรูอี้กลัวว่าหลี่สือจะหิวตาย จึงแอบเอาหมั่นโถวไปส่งให้ทางหน้าต่างในตอนกลางคืน
หลี่สือผละหนีไม่ยอมรับหมั่นโถว เขาเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน “หรูอี้ ข้าไม่กิน พี่ชายไม่้าข้าแล้ว เ้าช่วยข้าด้วยเถิด”
หลี่หรูอี้เอ่ยถาม “ท่านปิดประตูทำไมเ้าคะ”
หลี่สือร้องไห้ “ปิดประตูแล้วท่านพี่ก็จะพาข้าออกไปทิ้งให้สตรีใจร้ายไม่ได้”
“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนี้” หลี่หรูอี้ทอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อคิดดูแล้วสตรีปกติจะรักหลี่สือที่มีสติปัญญาอ่อนด้อยได้อย่างไร ดูคล้ายจะเป็ไปไม่ได้เลย
ในห้องนอนมีเสียงจ้าวซื่อที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองดังแว่วออกมา “ท่านจะปล่อยให้น้องรองหิวจนตาย ปล่อยให้น้องรองร้องไห้จนตายหรือ”
หลี่ซานอยากจะโกรธแต่กลับไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่อยากให้น้องรองหิวตาย แต่ก็ไม่อยากให้เขาไร้ทายาทสืบสกุล พวกเรามีบุตรชายสี่คนแล้ว และยังมีบุตรชายอีกสองคนที่ยังไม่เกิด หรือจะมอบบุตรคนหนึ่งให้เป็ลูกบุญธรรมของน้องรอง เ้าว่าอย่างไร”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้