สวี่เกาหมกตัวอยู่ในจวนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วพูดคุยกันอยู่นาน ตอนที่ออกมาฮูหยินผู้เฒ่าได้ให้ถุงเงินใบเก่าหนึ่งใบกับสวี่เกา ให้นางกลับไปแล้วค่อยดู รอจนสวี่เกาถือถุงเงินกลับมาที่เรือนของตนเอง แล้วเก็บตัวอยู่ในเรือนแล้ว เปิดถุงเงินออกก็หยิบตั๋วเงินหนักๆ ออกมา นับแล้วก็มีหนึ่งหมื่นตำลึงเต็มๆ ในใจก็รู้สึกพูดยากจริงๆ
หนิงซื่อซื้อสินเดิมให้กับสวี่เกายังไม่ถึงสองหมื่นตำลึง ทั้งยังให้เรือนเล็กๆ ด้านนอกเขตสองหลัง ร้านค้าอีกหลายร้านในเมือง เงินก้นหีบก็แปดพันตำลึง ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับให้อีกหนึ่งหมื่นตำลึง สวี่เกาอยากจะไปขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็คิดได้ว่ามันดูจงใจเกินไป จึงไม่ได้ไปอีก
หลังจากที่สวี่เกาเอาเื่ตั๋วเงินไปพูดกับหนิงซื่อ คนเป็แม่ก็ไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าโดยเฉพาะ แล้วขอโทษฮูหยินผู้เฒ่าอย่างจริงใจ วันเวลาก่อนที่สวี่เกาแต่งงาน แม้แต่จางจ้าวฉือก็ยังรู้สึกว่าหนิงซื่อสดใสมากเป็พิเศษ เดิมยังคิดเพราะว่าลูกสาวในจวนจะแต่งงาน จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าแอบบอกกับนางเื่ตั๋วเงินของสวี่เกา จางจ้าวฉือถึงได้เข้าใจ
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ มีข้าอยู่นะเ้าคะ ท่านอยากจะให้ตั๋วเงินใครเท่าไหร่ท่านก็ให้ตามใจเลยเ้าค่ะ สวนหลายที่ของท่านพวกนั้น สวี่ตี้ได้วางแผนให้ท่านใหม่แล้ว หนึ่งถึงสองปีนี้ยังไม่เห็นรายได้ ผ่านไปอีกปีสองปี ท่านรอเถิด รับรองว่าทั้งเมืองหลวงนี้คนที่หาเงินได้เยอะที่สุดก็คือฮูหยินผู้เฒ่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วเอ่ย “ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว มีปีนี้ไม่มีปีหน้า หาเงินมามากมายมีความหมายอะไร? ทั้งยังไม่สามารถเอาไปได้ ข้าน่ะก็แค่อยากจะให้เหล่าลูกหลานสามารถฮึดสู้ ต่อไปจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น”
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสวนอยู่สองที่ที่ชานเมือง ปกติแล้วจะปลูกธัญพืช คนในสวนเดิมทีก็ต่างออกมาจากจวนหย่งอี้โหว การจัดการเื่ราวก็เป็คนฝีมือดี ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่เลว พอถึงเื่การปลูกธัญพืชในดิน ก็มักจะแย่กว่าคนของสวนอื่นๆ นิดหน่อย
ตอนที่สวี่ตี้ให้แผนการจัดการสวนกับเว่ยเจวียนพี่สาวคนโตของเว่ยหลาง ก็เอาสวนหนึ่งในนั้นของฮูหยินผู้เฒ่าออกมาใช้ สวนนั้นมีบ่อน้ำอุ่น ตอนที่สวี่ตี้เพิ่งจะมาถึงในฤดูใบไม้ร่วงตอนนั้นก็ได้ไปดูมาแล้วรอบหนึ่ง วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะปลูกข้าวกล้องเอาไว้โดยเฉพาะ ข้าวชนิดนี้มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาไม่แพง หลายครอบครัวใหญ่ชอบซื้อมากิน
ข้าวกล้องที่ปลูกก็เป็จางจ้าวจื่อช่วยหามา เพิ่งจะปลูกต้นกล้าออกมา สวี่ตี้ก็จ้างเหล่าอาจารย์ที่ปลูกข้าวชนิดนี้โดยเฉพาะมาจากทางใต้ให้ช่วยปลูกต้นกล้า แล้วค่อยอบรมคนในสวนให้ดี คาดว่ารอผ่านไปสักพักก็สามารถเก็บเกี่ยวข้าวกล้องได้ ถึงตอนนั้นก็สามารถขายของเอาเงินได้
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ดูท่านพูดสิ ในมือของท่านมีเงินแล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะให้ใครก็ให้ สบายจะตายเ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ข้าจะพูดกับท่าน คนเราน่ะ มีชีวิตอยู่นั้นคือความสุข ท่านมองในจวนของพวกเรา ตอนนี้ดีขึ้นทุกวันๆ ข้าได้ยินมาว่าพวกฮวาเกอก็ตั้งใจเรียนมาก ต่อไปจะกลายเป็คนเก่งกาจที่รับหน้าที่สำคัญในแคว้น”
สกุลสวี่ไม่เพียงแต่จะสอนงานบ้านงานเรือนให้กับเหล่าสตรี ยังสอนหนังสือให้คนในสกุลสวี่ด้วย หย่งหนิงโหวเย่รู้ถึงข้อดีของการอ่านหนังสือ เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกชายหลายคนก็มีแค่สวี่เหราที่เรียนหนังสือได้ เด็กคนอื่นๆ ไม่มีใครได้ ลูกชายสองคนของสวี่ฉีน้องชายตนเองก็ไม่ได้เอาดีในด้านนี้ หลายคนนี้นอกจากสวี่เวยซื่อจื่อ คนอื่นๆ ก็ต่างล้วนบริจาคเงินเข้าไปแทน
รุ่นลูกชายไม่ได้แล้วรุ่นหลานล่ะ? หย่งหนิงโหวเย่จ้างอาจารย์ที่เก่งกาจมาสอนคนในสกุล ในสกุลมีคนสอบติดซิ่วไฉแล้ว ปีนี้อยากจะไปสอบระดับเซียงซื่อ ดูว่าจะติดตำแหน่งจวี่เหรินหรือไม่
หลังจากสวี่ตี้กลับไปแล้วก็ไม่ได้ไปเรียนหนังสือกับคนในสกุล แต่กลับมาอ่านหนังสือด้วยตนเองในเรือน ยังไม่พูดถึงเขาที่มีบิดาเป็จิ้นซื่อ พวกนี้คือประเด็นหลัก ปกติแล้วเรียนอย่างไร ในใจของสวี่ตี้รู้ดีอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ สวี่ตี้ไม่อยากจะไปเรียนกับเด็กในสกุล เขามีจังหวะการทบทวนหนังสือเป็ของตนเอง เขาอยากจะทำตามจังหวะของตนเองต่อไป
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “ข้าอายุมากแล้ว รอเหล่าหลานๆ ประสบความสำเร็จมีเกียรติยศ ข้าคาดว่าก็คงจะไม่ได้เห็นแล้ว”
จางจ้าวฉือขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ วันนี้ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ ข้าอยากจะพูดเื่น่าดีใจกับท่าน เหตุใดท่านถึงได้ขัดข้าตลอดเลยเ้าคะ เอาล่ะๆ ข้าเป็หมอ ทั้งยังเป็หมอที่มีความสามารถสูงมาก ร่างกายของท่านเป็อย่างไรเหตุใดข้าจะมองไม่ออก? บำรุงร่างกายดีๆ เวลาปกติอย่าไปคิดมาก รับรองว่าสามารถมีอายุที่ยืนยาวได้เ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็พยักหน้า “ตอนนี้ข้าโชคดีมากเลยนะ ที่ตอนนั้นได้กำหนดเื่แต่งงานของเ้ากับเหราเอ๋อร์กับปู่ของเ้า”
จางจ้าวฉือครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ท่านย่าเ้าคะ ตอนนั้นเหตุใดท่านถึงได้คิดเื่การแต่งงานของข้ากับคุณชายสามหรือเ้าคะ? ในจวนของพวกเราไม่ได้มีแค่คุณชายสามของพวกเราเพียงคนเดียวเสียหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็หัวเราะเหอะๆ ออกมา “พวกเ้าสองคนอายุเท่ากัน อีกอย่างนะ เหราเอ๋อร์เป็บุตรอนุ พ่อแม่ไม่รัก เ้าก็เป็คนดื้ออยู่นิดหน่อย เ้าดูลูกสะใภ้ทั้งสองคนของข้า มีคนไหนบ้างที่ไม่มีเื่ให้ปวดหัว? แต่งกับเหราเอ๋อร์ แม้ชื่อตำแหน่งนั้นจะไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ ความจริงแล้วพวกเ้าสองคนคบหากันก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็พยักหน้า “ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ใช่ข้าจะพูดไม่ดีนะเ้าคะ ลูกสะใภ้ของท่านสองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ”
อู่ซื่อสะใภ้ใหญ่ ไม่ต้องพูดมากเลย ลูกสะใภ้คนที่สองของอู่ซื่อ เป็คนที่มีอำนาจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับลูกสะใภ้ของตนเอง ที่จะค่อนข้างเคร่งครัด ตอนที่เพิ่งจะแต่งงานมาก็ให้ลูกสะใภ้ของตนเองสร้างกฎ จางจ้าวฉือรู้สึกว่าถ้าหากตนเองไปเป็ลูกสะใภ้ของฮูหยินสอง คาดว่าคงจะทะเลาะกัน นางไม่ใช่คนที่จะสามารถอดทนได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วเอ่ย “เอาล่ะๆ เ้าที่เป็หลานสะใภ้ มาคุยกับข้าเื่ลูกสะใภ้ของข้า หากคนอื่นเขารู้เข้าจะไม่หัวเราะเยาะพวกเราหรือ? เ้ามานี่แล้วไป่เกอล่ะ?”
จางจ้าวฉือเอายามาให้กับฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็วัดชีพจร นางคิดจะเปลี่ยนสูตรยาสักหน่อย พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าถามถึงไป่เกอก็ยิ้มแล้วเอ่ย “เขาอยากจะตามจือเอ๋อร์ไปดูห้องเรียนเ้าค่ะ ตอนที่จือเอ๋อร์จะไปเขาก็กอดขาของพี่สาวตนเองแน่น จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมลงมา แม่นมลู่เห็นว่าช่วยไม่ได้ก็เลยพาคนอุ้มเขาตามเหล่าแม่นางน้อยไปที่ห้องเรียนเ้าค่ะ”
ในจวนได้เตรียมห้องเรียนเอาไว้อยู่ด้านข้างสวนดอกไม้ในจวน ไม่ว่าจะเรียนดีดฉินวาดภาพ หรือชงชาจัด ดอกไม้ ก็ล้วนเรียนที่นี่
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วเอ่ย “ตอนนี้ข้าไม่ได้เจอไป่เกอวันหนึ่งก็คิดถึงแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพอพวกเ้ากลับไปที่เหอซีแล้ว ข้าคิดถึงเขาจะทำอย่างไร”
จางจ้าวฉือเอ่ย “คุณชายสามของพวกเราจะยังสามารถอยู่ที่เหอซีได้ตลอดหรือ? ตอนนี้คะแนนสอบของเขาทุกปีล้วนยอดเยี่ยม บวกกับครั้งนี้ร่วมมือกับเว่ยซื่อจื่อได้ดีมาก คาดว่าต่อไปจะสามารถเพิ่มระดับขึ้นไปอีก ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถกลับมาได้แล้วเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือกลับมาพูดกับแม่นมลู่ “ฮูหยินผู้เฒ่าน่ะ เป็คนที่ต่อหน้าทำแข็งแต่แท้จริงแล้วใจอ่อน ตัวเองทำเื่ดีก็ยังไม่ให้คนอื่นรับรู้”
แม่นมลู่ถอนหายใจ “ลูกหลานตั้งมากมาย จะสามารถดูแลครบได้อย่างไรกัน ก็เป็ครอบครัวพวกเ้าที่สามารถอยู่ในสายตาของนางได้เลยไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ พวกคุณชายในจวนไม่กี่คน ปกติแล้วก็พึ่งเงินที่แบ่งให้ออกมาใช้ชีวิต เ้ารู้สึกว่าไม่มีเงินพวกนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แต่คนอื่นก็คงไม่ได้คิดเช่นนี้นะ?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งก้านสาขา คนโตไปแล้วก็แยกครอบครัว ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดครอบครัวชนชั้นสูงถึงได้ชอบใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็สกุลใหญ่ เมื่อแยกครอบครัวออกไป ครอบครัวต่างๆ ก็แบ่งสมบัติมาเป็ของตนเองแล้วดูแลจัดการดีๆ จะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดีก็ต้องพึ่งความสามารถของตนเอง เหตุใดจะต้องให้ทุกคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเช่นนี้ด้วย?”
แม่นมลู่เอ่ย “จวนของพวกเรายังถือว่าดี ฮูหยินผู้เฒ่าออกความคิดแยกลูกอนุของรุ่นที่แล้วออกไป รุ่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าก็แยกออกไป ตอนนี้หากเป็ครอบครัวอื่น หลายชั่วรุ่นก็ยังคงอาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน”
จางจ้าวฉือเอ่ย “มากคนก็มากความ เื่เยอะแล้วความขัดแย้งก็เยอะตามไปด้วย เช่นนั้นต่อให้มีความผูกพันเพียงใด เมื่อถึงเวลามีปัญหากันจะสามารถไม่คิดเล็กคิดน้อยได้หรือ”
แม่นมลู่ฟังแล้วก็หัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เพราะว่าคุณท่านใหญ่กับคุณท่านสองในจวนเป็พี่น้องกัน รอจนฮูหยินผู้เฒ่าอายุถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว คุณท่านสองก็คงจะแยกครอบครัวออกไป”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ถึงตอนนั้น พวกเราเองก็จะแยกออกมา อยู่เช่นนี้จะช้าจะเร็วเรือนนี้ก็ไม่ใช่ของครอบครัวพวกเรา ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกไล่ออกไปเมื่อไหร่ อีกทั้งอยากจะทำของที่ตนเองชอบก็ต้องคิดให้ดีๆ ที่นี่ไม่เป็อิสระเลยสักนิด”
แม่นมลู่เอ่ย “ถึงแม้จะไม่เป็อิสระ แต่ว่าคนมากมายก็ยังชอบที่จะพึ่งพิงคนในสกุล อย่างน้อยคนมากมายอาศัยอยู่ด้วยกัน คนด้านนอกก็จะรู้ถึงชาติกำเนิด และไม่ถูกรังแก”
จางจ้าวฉือพยักหน้า “เป็เช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้ข้าหวังว่าคุณชายสามของพวกเราจะตั้งใจทำงาน ต่อไปเลื่อนขั้นได้แล้ว คุณชายใหญ่ของพวกเราสามารถสอบได้อย่างราบรื่น ต่อไปเขาก็จะมีอนาคตเหมือนกับพ่อของเขา”
ตอนเที่ยงสวี่จือกลับมาจากห้องเรียน สวี่ไป่ที่ทำนู่นทำนี่อยู่ที่เรือนหลังก็รีบออกมารับพี่สาวของตนเอง
หลังหลังจากมาที่จวนโหว เพราะว่ายังเด็ก สวี่ไป่จึงอาศัยอยู่ในเรือนหลังกับจางจ้าวฉือ อยากจะออกไปเที่ยวเล่นนั้นเป็ไปไม่ได้ เรี่ยวแรงทั่วทั้งตัวจึงไม่มีที่ระบาย สวี่ไป่จึงเล่นซนอยู่ในเรือน ดอกไม้ต้นหญ้าในสวนดอกไม้เละเทะ หลังจากถูกจางจ้าวฉือดุหนักๆ ไป สวี่ไป่ก็หาจอบเล็กๆ ไปขุดดินหลังเรือนจนเป็รูไปหมดกับชิงเหมี่ยว จางจ้าวฉือรู้ว่าเด็กคนนี้อยากจะปลดปล่อยจึงปล่อยให้เขาทำ อย่างไรก็เป็เรือนของตนเอง จะถูกทำลายก็ทำไป
สวี่ไป่เห็นสวี่จือกลับมาแล้วก็ร้องเรียกมาแต่ไกลว่า “ท่างปี้” จากนั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับจรวดน้อย สวี่จือรีบคุกเข่าลงไป เคลื่อนไหวไปด้านล่าง เมื่อไม่ได้ถูกน้องชายตนเองชนจนล้มไปกับพื้น
สวี่ไป่ชนเข้าไปในอ้อมกอดของพี่สาว แล้วพูดเสียงหวาน “ท่างปี้ ข้าคิกถึงท่างมาก”
สวี่จือฟังแล้วก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้สวี่ไป่ “พี่เองก็คิดถึงเ้าตลอดสายเลย พูดกับพี่มาว่าตอนสายทำอะไรมาบ้าง?”
สวี่ไป่ชี้ไปที่จอบเล็กๆ ที่ถูกตนเองทิ้งไปบนพื้น “ปลูกพืช เหมืองปี้จาย”
สวี่จือฟังแล้วก็ยิ้มแล้วเอ่ย “น้องชายเก่งจริงๆ ตัวแค่นี้ก็จะปลูกพืชแล้ว มา พวกเราไปล้างมือกันก่อน ตอนเที่ยงจะได้พักผ่อนกัน ตอนบ่ายค่อยมาทำต่อดีหรือไม่?”
ดวงตากลมโตของสวี่ไป่ยิ้มจนโค้งเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว ก่อนจะพยักหน้า “ขอยับ ข้าเจื้อท่าง”
สวี่จือจูงสวี่ไป่เข้ามาในเรือน ส่วนจางจ้าวฉือกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารอยู่ในโรงครัวเล็ก
หลังจากจางจ้าวฉือกลับมา ก็จัดการโรงครัวเล็กที่มีอยู่ในเรือน ของที่ต้องใช้ในโรงครัวนางซื้อเองทั้งหมด ต่อมาหนิงซื่อเห็นว่าเช่นนี้ไม่ดี จึงปรึกษากับจางจ้าวฉือ ว่าทางด้านเรือนสามจะทำอาหารเองทั้งสามมื้อ โดยทุกวันทางโรงครัวใหญ่จะส่งวัตถุดิบอาหารมาให้ ทุกสิบวันจะส่งฟืนมาให้หนึ่งครั้ง ส่วนน้ำมันเกลือ น้ำจิ้มน้ำส้มสายชู จางจ้าวฉือยินทีที่จะซื้อเอง ไม่ยอมซื้อเองก็ไปเอาที่โรงครัวใหญ่ เอาตามที่จางจ้าวฉือ้า
หนิงซื่อรู้ว่าจางจ้าวฉือไม่ขาดแคลนเงิน เดิมทีหนิงซื่อดูถูกชาติกำเนิดของจางจ้าวฉือ รู้ว่าสกุลจางหนีไปทางใต้ จนกระทั่งครอบครัวสวี่เหราย้ายไปอยู่ที่เหอซี หนิงซื่อถึงได้พบว่า ที่แท้น้องสะใภ้ที่ปกติไม่ค่อยจะโดดเด่นเท่าไหร่คนนี้เป็คนมีเงิน อีกทั้งหนิงซื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าแอบส่งเงินไปให้ แต่ว่านั่นคือเงินของฮูหยินผู้เฒ่าเอง ตอนแรกที่มอบเรือนให้กับหนิงซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าได้พูดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าที่มอบให้หนิงซื่อนั้นก็คือของในจวนโหว ของที่นางเก็บเอาไว้ก็คือของของนาง นางอยากจะใช้ทำอันใด คนอื่นๆ ในเรือนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ใช่คนที่จัดการเื่เงินได้ดี แต่นางรู้จักใช้คน ร้านค้าของจวนโหวที่อยู่ในมือของนาง หาเงินมาให้จวนไม่น้อย ถึงแม้ต่อมาตอนที่โหวฮูหยินมาดูแลจะทำขาดทุนไปไม่น้อย แต่ว่าหลังจากฮูหยินผู้เฒ่ารับมาก็ทำให้กลายเป็กำไร พูดกันตามความจริง หนิงซื่อยังรู้สึกนับถือฮูหยินผู้เฒ่ามาก
จางจ้าวฉือความจริงแล้วก็มีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ ทุกวันนอกจากทำอาหารให้ลูก ก็อ่านหนังสือทางการแพทย์ที่ตนเองสนใจ หนังสือทางการแพทย์พวกนั้นล้วนเป็เหล่าไท่เย่ของสกุลจางเก็บเอาไว้ในตอนนั้น นอกจากหนังสือทางการแพทย์โดยเฉพาะแล้ว ก็เป็ประวัติการแพทย์ของคนรุ่นก่อนๆ ในสกุล จางจ้าวฉือสนใจกับบันทึกประวัติการรักษาพวกนั้นมาก นางมีความคิดหนึ่ง โดยอยากจะเอาหนังสือพวกนี้มาเรียบเรียงใหม่ จากนั้นก็ตีพิมพ์ออกมา
ความคิดของจางจ้าวฉือแค่คิดกับตนเองเท่านั้น นี่ล้วนเป็ของสกุลจาง นางอยากจะเอาออกมาตีพิมพ์ก็ต้องให้คนในสกุลจางเห็นชอบด้วย อีกทั้งสกุลจางก็ยังมีหลานชายของตนเอง ถ้าหากพวกเขามีพร์ในการเรียนแพทย์
สวี่จือพาสวี่ไป่ไปล้างมือ ก่อนจะไปที่หน้าประตูห้องครัวรอช่วยจางจ้าวฉือยกสำรับข้าว นี่คือนิสัยที่จางจ้าวฉือสอนมาั้แ่เด็กๆ ตอนที่จะกินข้าวจะต้องช่วยถือตะเกียบ กินข้าวแล้วก็จะช่วยเก็บถ้วยชามตะเกียบ ตอนนี้อยู่ในจวนโหวมีคนคอยดูแลมากมาย ไม่ต้องล้างถ้วยชามตะเกียบด้วยตนเอง ที่เหอซี ทุกคนต่างทำงาน สวี่จือยังช่วยล้างจานด้วย
สวี่จือหยิบตะเกียบออกมา ให้สวี่ไป่ช่วยถือตะเกียบ จางจ้าวฉือกับแม่นมลู่ก็พาสวี่จือกับสวี่ไป่ไปนั่งกินข้าวกันที่ตั่ง
อาหารของชิงเหมี่ยวชิงซุยล้วนเป็สกุลจางหาแม่ครัวมาทำให้ เรือนของจางจ้าวฉือห่างจากเรือนหน้ามาก ส่วนโรงครัวใหญ่อยู่ที่เรือนหน้า กว่าจะส่งข้าวมาจากทางนั้นข้าวก็เย็นแล้ว เื่นี้จึงเป็เหตุผลที่จางจ้าวฉืออยากจะทำอาหารที่เรือนของตนเอง ผู้ใดจะยอมกินข้าวที่เย็นชืดทั้งสามมื้อ กินไปแล้วจะไม่ป่วยหรือ?
จางจ้าวฉือเองก็ไม่ได้ทำอาหารทุกวัน เพียงแต่วันนี้มีเวลา ทั้งคิดได้ว่าสกุลจางได้ส่งหน่อไม้มาให้หนึ่งตะกร้า หน่อไม้นิ่มๆ มาผัดกับหมูสามชั้น แล้วกินกับข้าวหนึ่งจาน ดื่มน้ำแกงไข่หนึ่งถ้วยร้อนๆ ทำให้ทั้งร่างกายอุ่นสบาย
ตอนนี้สวี่ไป่สามารถกินข้าวเองได้แล้ว อีกทั้งตอนกินข้าวก็ไม่ทำให้ข้าวหกเลอะเทอะออกมาด้านนอก จางจ้าวฉือทำข้าวให้เขาหนึ่งถ้วย ก่อนจะเรียกทุกคนมารับประทานอาหาร
ตอนที่พวกจางจ้าวฉือทานอยู่นั้นจะไม่มีกฎห้ามพูดคุยตอนกินข้าว สวี่จือทานไปก็พูดไป “ท่านแม่เ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าพี่จิ่นจะเตรียมตัวหมั้นแล้วเ้าค่ะ”
พี่จิ่นที่สวี่จือกล่าวถึงคือลูกสาวคนโตของสวี่ผู ซึ่งเป็ลูกชายคนโตของสวี่ฉี ตอนนี้นางอายุสิบสามปีแล้ว
จางจ้าวฉือเอ่ย “นางอายุสิบสามปีแล้วใช่หรือไม่? อายุเท่านี้พูดเื่หมั้นก็พอจะพูดกันได้”
สวี่จือเอ่ย “พี่กุ้ยแอบบอกกับข้า นางบอกว่าท่านป้าสะใภ้สองกับมารดาของฝ่ายชาย ซึ่งเป็ญาติทางฝั่งมารดาตกลงปลงใจกัน แต่ว่าลุงรองไม่เห็นด้วย พี่จิ่นเองก็ไม่ขัดอันใด ท่านแม่ของฝ่ายชายที่ตอนนี้อยู่ต่างเมืองส่งคนมาพบป้าสะใภ้สอง อยากจะปรึกษากับครอบครัวทางฝ่ายมารดาของพี่จิ่นสักหน่อย แล้วค่อยกำหนดเื่การแต่งงานเ้าค่ะ”
สวี่กุ้ยเป็ลูกสาวคนที่สองของสวี่ผู เฉินซื่อภรรยาของสวี่ผูกำเนิดจากชาติตระกูลที่ไม่ได้สูงมาก ปู่ของเฉินซื่อคือขุนนางที่มีอำนาจสูงมาก น่าเสียดายที่ไม่มีผู้สืบทอด หลังจากปู่ของเฉินซื่อออกจากราชการไป สกุลเฉินก็ตกต่ำอย่างรวดเร็ว เื่นี้คงเป็เหตุผลที่สวี่ผูไม่ยินยอมให้แต่งงานกับสกุลเฉิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้