อวี๋เคอรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเพราะทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนบังเอิญเห็นเซียวอวิ๋นตัวปลอมไม่อย่างนั้นตอนนี้เซียวอวิ๋นจะโตพอที่จะไปสู้ในระดับเดียวกันกับเฉิงเซียงได้อย่างไร? หรือว่าเมื่อพระเอกมีนิ้วทองคำลูกน้องของเขาก็จะต้องมีนิ้วทองคำด้วยเหมือนกัน? นี่มันเื่ล้อเล่นหรือเปล่า?
แต่ในความเป็จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เดาผิดเพราะเซียวอวิ๋นไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ การแข่งขันจัดอันดับศิษย์ของสำนักฉิงชางถูกคัดสรรมาเป็อย่างดีโดยผู้าุโสิบกว่าคนในสำนักร่วมกับเ้าสำนักไป๋ลี่ เริ่มจากศิษย์ในสังกัดรุ่นที่ยี่สิบเจ็ดจะทำการประลองกับอาจารย์ของตนเองก่อนแล้วจะคัดรายชื่อคนที่ได้อันดับหนึ่งออกมาจากนั้นก็ให้อันดับหนึ่งเหล่านี้มาประลองกันเองลำดับสุดท้ายจึงจะทำการแข่งขันจัดอันดับ “รอบรองชนะเลิศ” และ “รอบชิงชนะเลิศ” แล้วเซียวอวิ๋นก็ดันบังเอิญได้ปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ตนเองเคยเอาชนะมาก่อน
ทั้งสองคนรู้จักกันซึ่งคนหนึ่งก็คือคนที่ชอบติดตามซ่งฉียวนอยู่เสมอส่วนอีกคนก็เกือบจะถูกซ่งฉียวนจับแขวนคอเพราะเื่ของอวี๋เคอดังนั้นแม้ว่านิสัยจะแตกต่างกันมากโข แต่ก็เข้ากันได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
เซียวอวิ๋นมีรูปร่างที่ไม่ได้สูงมากนักกล่าวก็คือตัวเตี้ยอยู่ประมาณหนึ่งร้อยสี่สิบเิเเขาดูมีความสุขมากเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงเซียงที่สูงเกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเิเอวี๋เคอจึงอดหัวเราะออกเสียงไม่ได้ จนเมื่อเป็ที่ดึงดูดสายตาสงสัยจากคนรอบข้างให้มองเข้ามาจึงได้เงียบปากและมองลงไปยังด้านล่างต่อ
ทั้งสองโค้งคำนับต่อกันซึ่งๆ หน้าจากนั้นก็ถอยห่างออกไปสิบก้าว เพื่อเริ่มการต่อสู้เมื่อผู้าุโประกาศเริ่มการประลอง พวกเขาจึงเอาจริงและเก็บรอยยิ้มแห่งไมตรีกลับไปจากนั้นก็กระตุ้นพลังปราณรอบกายเพื่อเริ่มเผชิญหน้ากันบรรยากาศถึงกับมีกลิ่นอายของความตึงเครียดขึ้นมา
เซียวอวิ๋นเป็คนใจร้อนและรักในการต่อสู้ แม้จะรู้ดีว่าพลังยุทธ์ของตนเองเทียบกับเฉิงเซียงไม่ได้เลยด้วยซ้ำแต่เขาก็เป็คนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ดาบยาวในมือยังคงเป็ดาบเล่มนั้นที่อวี๋เคอเคยเห็นเขานำติดตัวมาด้วยเมื่อครึ่งปีก่อนแต่ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้เก่งกาจกว่าตอนนั้นตั้งไม่รู้กี่เท่าเขาใช้พลังปราณขั้นจู้จีระดับพื้นฐานห่อหุ้มดาบเล่มยาวเอาไว้ ทำให้ผิวของมันแวววับทั่วทั้งเล่มจนดูเกรี้ยวกราดและดุร้าย
เขามีทักษะอันก้าวหน้าที่ได้เรียนรู้มาจากสำนักฉิงชางทำให้ทิศทางการโจมตีเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจคาดเดาได้ ดูเหมือนว่าจะมีแสงที่มาจากดาบรอบทิศทางพุ่งเข้าใส่เฉิงเซียงจำนวนนับไม่ถ้วน
แม้ว่าพลังยุทธ์ของเฉิงเซียงใน่นี้จะเพิ่มขึ้นไม่สูงนักแต่พลังขั้นจินตันระดับกลางในตอนนี้นั้นดูโดดเด่นกว่าเมื่อครึ่งปีก่อนมากบวกกับการที่เขาเป็พวกเผ่าพันธุ์อสูรประสาทััทั้งห้าจึงดีกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปพอสมควร การโจมตีของเซียวอวิ๋นในตอนนี้จึงถูกเผยออกมาสู่สายตาของเขาจนหมดเปลือก
เฉิงเซียงรู้สึกภูมิใจมากแต่ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเซียวอวิ๋นเลยแม้แต่น้อยแต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถล้มเหลวต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ได้เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงท่องคาถาในใจ แล้วแส้สีเงินเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาบนมือ บนแส้เส้นนั้นถูกปกคลุมด้วยขนสีขาวมันดูสวยงามและน่าเกรงขามมากแต่หลายวันก่อนผู้คนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ล้วนเคยเห็นความร้ายกาจของแส้เส้นนี้มาแล้วขนสีขาวที่คลุมอยู่้านั้นดูเหมือนจะนุ่มนิ่มพลิ้วไหวแต่ความจริงแล้วกลับแข็งเหมือนกระบี่อันแหลมคม เมื่อฟาดลงบนร่างคนก็จะเฉือนเอาิัหลุดออกมาด้วย
การประลองระดับต้นเมื่อวันก่อนเขาไม่สามารถควบคุมแส้เส้นนี้จนทำให้ผู้อื่นาเ็จากนั้นเขาก็ไม่ได้เอาแส้เส้นนี้ออกมาใช้ในการประลองรอบหลังอีกเลยแล้วคราวนี้ั้แ่เริ่มประลองกับเซียวอวิ๋นเขาก็สาดแส้เส้นยาวออกมาแล้วดูท่าแล้วคงตั้งใจจะประลองฝีมือกันอย่างดุเดือด
ทุกคนในที่นี้กำลังมุงดูความตื่นตาตื่นใจเพราะปกติก็เอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรจนมีนิสัยระแวดระวังตัวไปแล้วตอนนี้จึงได้ถือโอกาสนี้มาผ่อนคลายพอดี เมื่อมีฉากสนุกๆ ให้ดูทุกคนต่างก็เพ่งมองไปตรงกลางสนามประลองอย่างใจจดจ่อ แสงดาบและเงาแส้ของทั้งสองคนปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้บางคนร้องอุทานออกมาศิษย์หญิงบางคนมองจนตาเป็ประกาย จนถึงขั้นหลงใหลเฉิงเซียงไปแล้ว
“นายท่านข้ารู้สึกเหมือนกับว่ารู้จักคนผู้นั้นที่อยู่ในสนามเลยขอรับ” อวี๋เคอที่กำลังดูอย่างเพลิดเพลินและสนุกสนาน เมื่อได้ยินคำพูดของอาจิ่วก็ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณว่า “เ้าหมายถึงเซียวอวิ๋นหรือ? เ้ารู้จักเด็กคนนั้นจริงๆ นั่นแหละ เมื่อครึ่งปีก่อนยังเคยพบกันอยู่เลย”
ใครจะรู้ว่าอาจิ่วไม่ได้พูดถึงเซียวอวิ๋นเ้าเด็กน้อยที่ยังคงมีรูปลักษณ์เป็นกกระจอกิญญา ะโไปบนขาของอวี๋เคอก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วส่ายหัวไปมา “ไม่ใช่เซียวอวิ๋นขอรับ แต่เป็อีกคนหนึ่งข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของเขาเหมือนจิ้งจอกน้อยที่มักจะเล่นกับข้าอยู่หลังเขาตนนั้น”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา อวี๋เคอก็ใในทันทีจากนั้นในหัวก็พลันนึกถึงสิ่งที่เทพหลิงกวงพูดขึ้นมาได้ว่ามีสัตว์อสูรแปลงกายอยู่แถวๆ วังปีศาจ แล้วนำหญ้าแปลงกายอีกต้นไปด้วย ตอนนี้หากให้พูดถึงสัตว์อสูรที่อยู่หลังเขาแล้วนั้นแน่นอนว่าจิ้งจอกน้อยตนนั้นเป็สัตว์จำพวกที่ฉลาดที่สุด และหากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้วครึ่งปีมานี้อาจิ่วได้สำรวจแดนปีศาจไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่พบจิ้งจอกตนนี้เลยแล้วตอนนี้เขาบอกว่ากลิ่นอายของเฉิงเซียงเหมือนจิ้งจอกน้อยตนนั้น...
หรือจะเป็จิ้งจอกน้อยตนนั้นจริงๆ ?
แม้ว่าสัตว์อสูรที่แปลงกายได้จะแข็งแกร่งเท่าอวี๋เคอแต่ก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้เช่นกัน นอกเสียจากสัตว์อสูรประเภทเดียวกันที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าพวกมันถึงจะสามารถมองออกได้ในพริบตาดังนั้นเขาจึงต้องเชื่อคำพูดของอาจิ่ว
ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะตามเื่ดีๆแบบนี้ทันเหมือนกัน ในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” เขาไม่ได้เขียนถึงชาติกำเนิดของเฉิงเซียงเอาไว้ที่แท้โลกนี้กลับเติมเต็มเฉิงเซียงให้กลายเป็สัตว์อสูรนับว่าเป็การตั้งนิยามที่ไม่เลวเลย
อวี๋เคอระงับความตื่นเต้นที่อยู่ในใจลงไปจากนั้นจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น ขยิบตาให้อาจิ่ว แล้วกระซิบว่า “ดูเหมือนว่าข้าผู้นี้จะได้เห็นรูปลักษณ์หลังจากแปลงกายของเ้าในไม่ช้าแล้วเ้าเข้าไปก่อนเถิด รอให้การประลองผ่านไปก่อนข้าจะคิดหาวิธีขวางเ้าเด็กนั่นแล้วนำหญ้าแปลงกายมาให้เ้าเอง! ”
อาจิ่วเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกันใครจะคิดว่าจิ้งจอกน้อยที่ตัวสูงไม่ถึงครึ่งเมตรที่เล่นกับตนอยู่ตอนนั้น ยามนี้กลับแปลงกายเป็มนุษย์นำหน้าไปหนึ่งก้าวแล้วช่างน่าอิจฉาเสียจริง! อีกประเดี๋ยวต้องไปเจรจากับเขาให้ดีๆ เสียหน่อยแล้ว!
เมื่อเห็นว่าอาจิ่วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อแล้วอวี๋เคอก็ขมวดคิ้ว และมองไปยังสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่กลางสนามอีกครั้งสายตาของเขาจับจ้องไปที่เฉิงเซียงเขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเฉิงเซียงถึงเลือกที่จะมายังสำนักฉิงชางและจากความคิดของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างจิ้งจอกน้อยตนนี้กับอาจิ่วก็ดีมากเหมือนกันเพราะไม่น่าจะได้รับาเ็สาหัสจากกองทัพเผ่าปีศาจในาเซียนและปีศาจในอนาคตจนสุดท้ายก็ทำให้แดนปีศาจต้องพ่ายแพ้ และอาจิ่วก็ถูกจับตัวไปอีกอย่างตอนที่เขากับซ่งฉียวนอยู่ที่ตีนเขาในตอนนั้นแววตาที่เฉิงเซียงมองเขานั้นมีนัยที่แตกต่างออกไปมองจนร่างกายเขารู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
ดังนั้นสุดท้ายแล้วคนผู้นี้จะเป็ศัตรูหรือสหายก็ยังไม่แน่ใจอีกประเดี๋ยวตอนเข้าไปเจรจาคงต้องระวังให้มากเป็พิเศษถึงจะััได้
ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นสถานการณ์การต่อสู้ในสนามก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เซียวอวิ๋นเริ่มหมดแรงลงทีละนิดต่อให้จะอายุยังน้อย แต่พลังยุทธ์ก็ยังเทียบเฉิงเซียงไม่ได้ดังนั้นการจะผ่านเพลงดาบนับสิบนี้ไปได้นั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลยในที่สุดแส้เงินในมือของเฉิงเซียงก็สะบัดออกและดึงดาบยาวในมือของเซียวอวิ๋นออกจากฝ่ามือ จากนั้นคมแส้ก็จ่ออยู่ที่ลำคอของเซียวอวิ๋นเป็สัญญาณว่าได้ผลแพ้ชนะแล้ว
เซียวอวิ๋นไม่สนใจเื่พวกนี้อยู่แล้วแพ้ก็คือแพ้ เขาประสานมือคารวะเฉิงเซียง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าแพ้แล้ว ไม่สู้แล้วขอรับไม่สู้แล้ว”
เฉิงเซียงเก็บแส้เงินลง ดวงตายิ้มโค้งขึ้น แล้วประสานมือคารวะ “น้อมรับ น้อมรับ”
การประลองระหว่างเฉิงเซียงและเซียวอวิ๋นหากพูดให้ถูกก็คือเป็การประลองอันดับที่หนึ่งและสองในรอบชิงชนะเลิศของศิษย์รุ่นที่ยี่สิบเจ็ดดังนั้นหลังจากการประลองของทั้งสองคนนี้จบลงการแข่งขันจัดอันดับก็เป็อันสิ้นสุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้าุโบนเวทีเข้าใจหลักการนี้เป็อย่างดีแต่เมื่อเขาเพิ่งจะประกาศว่าเฉิงเซียงชนะออกมาและกำลังจะประกาศสิ้นสุดการประลองกลับถูกขัดจังหวะโดยใครบางคน
“ข้าคิดว่าการแย่งชิงของการจัดอันดับผู้เป็หนึ่งยังไม่จบ!” เสียงนั้นช่างไพเราะเหลือเกิน แม้ว่าจะแฝงไว้ด้วยความอ่อนเยาว์ของสาวน้อยแต่เสียงนั้นกลับไพเราะเป็ที่สุด เมื่ออวี๋เคอเงยหน้าขึ้นไปมองมุมปากก็กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลับมาเป็ปกติ
เขามองเห็นเด็กสาวอายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปีกำลังยืนอยู่ข้างเ้าสำนักไป๋ลี่นางมีรูปร่างผอมเพรียว ทว่ามีส่วนเว้าส่วนโค้ง และมีทุกส่วนที่ควรจะมีเมื่อมองขึ้นไป ก็เห็นใบหน้ารูปไข่ที่ขาวเนียน ดวงตารูปซิ่ง [1] อันสุกสกาวส่องสว่างไปทุกแห่งที่เหลือบมองผมดำขลับยาวสลวยถูกม้วนขึ้นเป็มวยผมสวยงาม และด้วยชุดสีขาวยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นมากขึ้นทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
ขณะที่สาวน้อยะโคำนี้ออกมาสายตากลับจ้องไปยังซ่งฉียวนที่กำลังนั่งข้างหร่วนสือจิ่วอย่างสงบเสงี่ยมเห็นได้ชัดว่าสายตาคู่นั้นกำลังสนใจในตัวของซ่งฉียวน!
อ๊า พระเ้าช่วย นี่... นี่นี่มันไป๋หลิวลี่ตัวเอกในฮาเร็มของซ่งฉียวนชัดๆ !
......
เชิงอรรถ
[1] ซิ่ง หมายถึง ผลแอปริคอต มีลักษณะกลมโตปลายแหลมเล็กน้อย