ครั้นเห็นว่าลมเปลี่ยนทิศ เซี่ยอวิ๋นคิดขึ้นมาได้ภายในเวลาอันรวดเร็วว่า หากปล่อยให้คนอื่นเอาบ้านไป พอถึงตอนนั้นเธอจะไปอยู่ที่ไหน
เพียงไม่นานเธอก็เข้าใจ อีกฝ่ายไม่คิดจะเลี้ยงดูเธออีกแล้ว
เซี่ยอวิ๋นรีบเปลี่ยนท่าที ก่อนจะเอ่ยอย่างประจบเอาใจ “พ่อคะ เมื่อกี้หนูเลอะเลือนไปชั่วขณะ อย่างไรเขาก็คือน้องชายแท้ๆ ของหนู จะปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงได้ยังไงคะ”
เธอกัดฟันเอ่ยต่อ “เปิดเทอมเมื่อไรหนูค่อยไปฝากน้ารองให้ช่วยดูแล”
เซี่ยอวิ๋นไม่รู้ว่ามีเื่เกิดขึ้นกับหวางเมิ่งเมิ่ง คิดแค่ว่าแม่ของตัวเองกับน้ารองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน น้ารองจะต้องช่วยเหลือเธอแน่นอน
เซี่ยฟู่กุ้ยมองลูกเลี้ยง เขาดูออกว่าอีกฝ่ายมีแผนอยู่ในใจ ถึงอย่างนั้นก็น่าจะเลี้ยงน้องชายได้ดีกว่าคนนอก
อีกอย่างหวางเมิ่งเมิ่งก็สนิทกับหวางลี่ลี่ ทั้งก่อนหน้านี้ยังเคยแวะเวียนมาที่บ้านบ่อยๆ ดังนั้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ อีกฝ่ายคงช่วยดูแลลูกชายเขาได้เป็อย่างดี
“เซี่ยอวิ๋น ดูแลน้องชายให้ดีนะ พ่อจะขอบคุณเราอย่างมาก ต่อไปพ่อจะดีกับลูกให้มากๆ เป็การตอบแทน” เขาเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ
หัวหน้าตำรวจเห็นว่าจัดการเื่คนดูแลเด็กเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยตัดบท “เซี่ยฟู่กุ้ย อย่ามัวพูดมาก รีบไปได้แล้วไป”
พอเห็นว่าพี่ตำรวจรูปหล่อกำลังจะจากไป เซี่ยอวิ๋นจึงร้องเรียกออกมา “เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันยังมีอีกเื่…”
นายตำรวจทั้งหลายมีสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้จะมาไม้ไหนอีก
ใบหน้าเซี่ยอวิ๋นขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย เธอมองหัวหน้าตำรวจ ก่อนจะพูดด้วยท่าทีเขินอาย “ฉันช่วยพวกคุณแก้ปัญหาด้วยการยอมเลี้ยงเด็กแล้ว หลังจากนี้คุณจะมาหาฉันบ่อยๆ ได้ไหมคะ”
ทุกคนต่างนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
แม้ก่อนนี้ทุกคนจะเห็นท่าทางเด็กสาวคล้ายคนมีแผนอยู่ในใจ แต่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจนัก กระทั่งประโยคเมื่อครู่ทำทุกคนประจักษ์แจ้งถึงความคิดของเธอ
ผู้คนในยุคนี้ล้วนหัวโบราณ เื่การแต่งงานเป็เื่ที่พ่อแม่จะเป็ฝ่ายจัดการให้ น้อยคนมากที่จะแสดงท่าทีว่าคิดอะไรกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผย
ท่าทางเช่นนี้ของเด็กสาวเหมือนกับกำลังสารภาพรักตำรวจหนุ่มไม่มีผิด
เชื่อเขาเลย!
หัวหน้าตำรวจพูดอะไรไม่ออก เด็กสาวตรงหน้าอายุเพียงเท่านี้ก็มีจิตใจที่ดำมืดและเต็มไปด้วยแผนการแล้ว
เขาไม่ได้หูหนวกตาบอดจะได้ไปชอบผู้หญิงประเภทนี้เข้า
ตำรวจหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมดุดัน “การที่เธอยอมเลี้ยงน้องเกี่ยวอะไรกับตำรวจด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”
เดิมทีเซี่ยอวิ๋นคิดว่าหากเธอยอมเลี้ยงน้อง ตำรวจนายนี้จะซาบซึ้งตื้นตันใจ เธอถึงได้พยายามรวบรวมความกล้าถามออกไปเช่นนั้น หากอีกฝ่ายรับปาก เธอก็จะกลายเป็เก๋งใกล้น้ำได้พระจันทร์ก่อน[1]
หากนำเซี่ยวฉางเซิงมาเทียบกับตำรวจนายนี้ บอกเลยว่าเซี่ยวฉางเซิงเทียบไม่ติดเลย เมื่อก่อนเป็เธอที่สายตาแย่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะเก็บอีกฝ่ายเอาไว้เป็ตัวสำรองก่อน
แต่ไม่คาดคิดว่าตำรวจนายนี้จะปฏิเสธ เธอรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามของผู้คนที่มองมา เพิ่งรู้ตัวในนาทีนั้นว่าเธอตัดสินใจผิดไป
เด็กสาวตีหน้าเศร้า น้ำตาพลันคลอเบ้า พยายามทำตัวให้ดูน่าสงสารที่สุด “พี่ตำรวจ ฉันไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่ฉันไม่เคยดูแลเด็ก เลยอยากให้คุณช่วย…”
ทุกคนมองเซี่ยอวิ๋นที่พยายามทำตัวให้ดูน่าสงสารพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน
“ฉันเป็ผู้ชาย จะไปเคยเลี้ยงเด็กที่ไหน เธอขอให้ช่วยผิดคนแล้วละ พวกเรากลับ” หัวหน้าตำรวจเอ่ยตัดรอนด้วยน้ำเสียงเ็า
เซี่ยอวิ๋นเหมือนถูกตบหน้าก็ไม่ปาน ตอนนี้เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว อ้างอะไรไม่อ้าง ดันอ้างเหตุผลนี้ออกไป ตอนนั้นเธอหน้ามืดตามัวอะไรอยู่นะ
เธอพยายามเค้นสมองคิดหาเหตุผลใหม่ แต่ก็หาเหตุผลเหมาะควรไม่ได้สักที ได้สติอีกทีบรรดาเ้าหน้าที่ตำรวจก็พาตัวเซี่ยฟู่กุ้ยจากไปแล้ว ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างแยกย้ายแล้วเช่นกัน
ต่อมาไม่นาน ไม่เพียงประเด็นเซี่ยฟู่กุ้ยก่อคดีและถูกจับกุมเป็ที่รู้กันไปทั่ว เื่หน้าไม่อายของเซี่ยอวิ๋นก็เป็ที่โจษจัน
ที่ตั้งของหมู่บ้านเชาหยางกับหมู่บ้านเซิ่งลี่อยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเพียงไม่นานเื่นี้ก็รู้มาถึงหูคนในหมู่บ้านเซิ่งลี่ สองสามีภรรยาอู๋ย่อมได้ยินเื่นี้เช่นกัน
ระหว่างที่รับประทานอาหาร ทั้งสองคนหยิบยกเื่นี้มาเป็หัวข้อสนทนา
เหล่าจ้าวทราบเื่ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยอย่างดูแคลน “เซี่ยอวิ๋นเป็เด็กโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาด ที่ยอมเลี้ยงน้องก็เพราะอยากได้บ้าน คนแบบนี้จะดูแลเลี้ยงเด็กให้อย่างดีก็แปลกแล้ว”
เซี่ยโม่ที่มีชีวิตอยู่มาสองชาติย่อมรู้นิสัยเซี่ยอวิ๋นดีที่สุด
“อาจารย์มองคนเก่งมากเลยค่ะ” เธอกล่าวชมจากใจ
คุณยายผู้ใจอ่อนถอนหายใจพลางออกความเห็น “น่าสงสารเด็กคนนั้นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะชีวิตจะเป็ยังไงบ้าง”
“เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเสียหน่อย พวกเรามาคิดหาวิธีปล่อยเสี่ยวเฮยดีกว่า” คุณตาเปลี่ยนเื่พูด
เดิมทีเซี่ยโม่วางแผนว่าหลายวันต่อจากนี้จะอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน แต่ดูท่าแล้วคงต้องขึ้นเขาสักเที่ยวเพื่อนำเสี่ยวเฮยไปปล่อย
“ทุกคนไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พรุ่งนี้เช้าหนูจะเอามันไปปล่อยเอง”
ถึงกระนั้นเหล่าจ้าวก็ยังอดเป็ห่วงไม่ได้อยู่ดี “โม่โม่ อย่าเข้าไปในป่าลึกล่ะ”
เธอพยักหน้า “หนูจะปล่อยใกล้ๆ กับป่าลึก ไม่เข้าไปข้างในแน่นอนค่ะ ตอนนี้ที่บ้านพอมีเงินแล้ว หนูไม่มีความจำเป็ต้องเข้าไปเสี่ยงอีก”
ตอนแรกอู๋กวงเต๋อคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอได้ยินหลานสาวพูดเช่นนี้ เขาจึงเปลี่ยนเป็แย้มยิ้มและเอ่ยชื่นชมแทน “ดีแล้ว หลานคิดได้ก็ดีแล้ว”
เช้าวันต่อมาเซี่ยโม่ตื่นนอนั้แ่เช้าเพราะต้องนำเสี่ยวเฮยไปปล่อย แต่เมื่อเดินออกมาจากในบ้าน ประตูด้านหน้ากลับเปิดคาเอาไว้ ส่วนเสี่ยวเฮยนั้นไม่อยู่แล้ว
พอเธอเพ่งมอง พบว่าตรงลานหน้าบ้านมีตัวโง่งมที่ถูกกัดจนตายอยู่หนึ่งตัว
ตัวโง่งมเป็กวางชนิดหนึ่ง เนื่องจากมันมีหน้าตาดูไม่รู้เื่รู้ราว ทุกคนจึงเรียกมันว่าตัวโง่งม
กวางตัวที่นอนตายอยู่หน้าบ้านตัวไม่ใหญ่ไม่เล็ก ขนาดปานกลาง น้ำหนักน่าจะประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้ากิโล เนื้อของมันมีประโยชน์มาก เธอจะได้เอามาทำอาหารบำรุงร่างกายให้คนในครอบครัว
เซี่ยโม่เดาว่าแม่หมาป่าน่าจะมาที่นี่่กลางดึกเพื่อพาเสี่ยวเฮยกลับไป และให้กวางตัวนี้เป็การตอบแทนที่ช่วยเลี้ยงดูลูกของมัน
เป็แบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงไปปล่อยเอง
ส่วนกวางตัวนี้เธอรีบเอามันไปจัดการดีกว่า ่นี้อากาศร้อนเก็บเอาไว้นานไม่ได้
วันนี้คือวันอาทิตย์ ทำเนื้อกวางตุ๋นให้มากหน่อยก็น่าจะดี พรุ่งนี้จะได้นำไปฝากพี่ซ่งด้วย เสื้อคลุมที่จ้างตัดไว้ก็ทำเสร็จแล้ว เธอจะได้เอาให้ชายหนุ่มพร้อมกันไปเลย
พรุ่งนี้วันจันทร์ เธอนัดกับชายหนุ่มว่าจะไปเจอกันที่หน้าโรงเรียนมัธยม หากไม่เจอก็จะไม่กลับ
เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน โชคดีที่ชาติที่แล้วเป็เด็กตั้งใจเรียน ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางจดจำความรู้ทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันเป็แน่ แล้วพอถึงเวลาต้องไปสอบก็คงจบเห่
เซี่ยโม่คิดพร้อมกับอุ้มตัวกวางเข้าไปในห้องครัว เธอลงมือถลกหนังแล่เนื้อ ต่อด้วยจัดการพวกเครื่องใน เหลือแค่ส่วนหัวและขาไว้
กระทั่งคุณตาคุณยายตื่นนอน และอาจารย์มาถึงที่บ้าน เธอกำลังตุ๋นเนื้อกวางอยู่พอดี
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนได้กลิ่นหอมเลยเดินเข้ามาดูในห้องครัว ในหม้อต้มมีควันลอยกรุ่นขึ้นมา
“โม่โม่ ไหนว่าตอนเช้าจะแค่ขึ้นเขาเอาเสี่ยวเฮยไปปล่อยอย่างเดียว นี่หลานล่าสัตว์มาด้วยเหรอ หรือว่าเข้าไปในป่าลึกอีกแล้ว”
“คุณตา คุณยาย อาจารย์ แม่เสี่ยวเฮยคงพาตัวมันไปตอนกลางดึก เนื้อกวางที่กำลังตุ๋นอยู่น่าจะเป็ของตอบแทนที่แม่เสี่ยวเฮยให้มาค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นคุณปู่จ้าวจึงพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “เห็นไหม เหมือนที่ฉันพูดไม่มีผิด หมาป่าเป็สัตว์ที่รู้บุญคุณ ขนาดเซี่ยอวิ๋นที่เป็คนยังสู้หมาป่าตัวหนึ่งไม่ได้เลย”
“พี่อย่าพูดไปถึงเด็กคนนั้นเลย เดี๋ยวผมพานจะกินข้าวไม่ลง” คุณตารีบเอ่ยขัด
คุณปู่จ้าวพยักหน้ารัวๆ “ฉันผิดเอง โม่โม่ ที่นี่มีเหล้าไหม ฉันจะได้เอามาดื่มลงโทษตัวเอง”
“อาจารย์ ยังเช้าอยู่อย่าเพิ่งดื่มเลยค่ะ อาจารย์ต้องไปฝังเข็มให้คุณอาจ้าวไม่ใช่เหรอคะ ส่วนคุณตาอีกเดี๋ยวก็ต้องไปต้อนวัว ไว้รอตอนเย็นค่อยดื่มดีไหมคะ” แม้ชายชราทั้งสองจะดูอารมณ์ดี แต่ตอนนี้ยังเช้าเกินไปที่จะดื่มสุรา เธอจึงเอ่ยโน้มน้าวพวกเขา
คุณปู่จ้าวพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้ ว่าแต่เช้านี้มีอะไรกินบ้าง”
“ฉันนวดแป้งบะหมี่เตรียมไว้แล้วค่ะ ว่าจะใส่น้ำแกงที่ได้จากเนื้อกวางตุ๋น ผักกวางตุ้ง แล้วก็เนื้อหั่นซอยลงไปด้วย รับประกันว่าอร่อยแน่นอนค่ะ”
“ดีๆ เอาตามที่เราว่ามานั่นแหละ”
---------------------------------
[1] เก๋งใกล้น้ำได้พระจันทร์ก่อน หมายถึง การที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราก็จะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่น