นี่เป็วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบัง เสียงกระพือปีกโผบินของเหล่าวิหคดังแว่วมาเป็ครั้งคราว สายลมในฤดูใบไม้ผลิโชยพัด ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ภายในจวนใหญ่ซึ่งก่อด้วยอิฐแดง พื้นกระเบื้องเขียว บรรดาคนรับใช้ชายหญิงพากันเดินขวักไขว่ ดูชุลมุนไม่น้อย
ตอนนั้นเอง ก็มีสตรีผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตุ่ย[1]ทอมือ ปักลายเมฆสีเขียวหม่น เดินผ่านประตูเข้ามา พร้อมอ่างทองแดงในมือที่มีควันร้อนกรุ่น นางวางอ่างน้ำอุ่นลงบนโต๊ะไม้ด้านข้าง ก่อนหมุนตัว เดินไปยังเตียงใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกล
บนเตียงมีร่างหญิงสาวกำลังนอนหลับใหล แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ นางจะมีอาการไม่สู้ดีนัก คิ้วได้รูปขมวดมุ่น ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ริมฝีปากอันแห้งผากก็เอาแต่พร่ำพึมพำ “ไม่... ไม่...”
ผ้าห่มร่นลงมา เผยให้เห็นลำแขนเรียวเสลาราวกับหยก มือเล็กที่วางบนหน้าท้อง ขยุ้มผ้าไหมสีชมพูอ่อนจนข้อนิ้วขาวซีด เมื่อเห็นเช่นนั้น สาวใช้จึงรีบเข้ามาดูทันที
“คุณหนู... คุณหนู เป็อะไรไปเ้าคะ? ตื่นเถิดเ้าค่ะ!”
ท่ามกลางความมืด มีเสียงหนึ่งดังขึ้น...
หนีเจียเอ๋อร์เบิกตาโพลง แววตาทอประกายเกลียดชังจนเสี่ยวเสวียนถึงกับผงะ พบว่าคุณหนูของตนผุดลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครา
หนีเจียเอ๋อร์หอบหายใจ ลำคอแห้งผาก ยังคงรู้สึกได้ถึงความเ็ปและแรงบีบรัด แต่มิได้ใส่ใจ เพียงกวาดตามองไปทั่วห้อง จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ยังมีชีวิตอยู่? ตนยังไม่ตาย!
หนีเจียเอ๋อร์ลูบคอตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกย้อนดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังเงียบไปครู่ใหญ่ นางก็กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ ดวงตาแดงก่ำสั่นไหวด้วยความแค้นเคืองระคนเศร้าโศก
สวีเพ่ยหราน... แต่งงานกันมาสิบปี ไม่คิดเลยว่าเ้าจะกล้าลงมือสังหารข้า อย่างไร้ความปรานีเช่นนี้!
“คุณหนู เป็อะไรไปเ้าคะ?” สาวใช้มองมาด้วยความกังวล
หนีเจียเอ๋อร์หันไปมองอีกฝ่าย ก่อนเบิกตากว้าง นี่คือเสี่ยวเสวียน... สาวใช้ส่วนตัวของตน มิใช่หรือ!
อีกฝ่ายก็ยังไม่ตายเช่นกัน?
หนีเจียเอ๋อร์ตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ ก็ดึงเสี่ยวเสวียนเข้ามากอดทันที ไออุ่นจากร่างของสาวใช้คนสนิท ทำให้ดวงตาของหญิงสาว ท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำตา
“เสี่ยวเสวียน ดีจริงๆ ที่เ้ายังไม่ตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเสวียนก็ยิ่งงุนงง นางค่อยๆ ยกมือขึ้นตบหลังของผู้เป็นายเบาๆ “คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเ้าคะ? เสี่ยวเสวียนจะตายได้อย่างไร! หรือว่าจะฝันร้าย?”
หนีเจียเอ๋อร์ชะงัก ก่อนผละออกมาด้วยความแปลกใจ แต่มิใช่เพราะคำพูดของอีกฝ่าย หากเป็ภาพที่ปรากฏตรงหน้า...
โต๊ะซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มีหนังสือที่ตนชอบวางอยู่ ส่วนอีกด้านเป็โต๊ะเครื่องแป้ง ที่ข้างๆ กันคือตลับกำยานเงินแกะสลักทรงกลม กลิ่นดอกมะลิที่นางโปรดปรานอบอวลอยู่ในห้อง และสุดท้ายคือเสี่ยวเสวียน ผู้สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตุ่ยทอมือสีเขียวหม่น
หญิงสาวจำได้ว่า เสื้อตัวนี้ตนเป็คนมอบให้อีกฝ่าย ก่อนแต่งงานกับสวีเพ่ยหราน
อา! นี่คือห้องนอนของนางเอง...
ตอนนี้ ตนกำลังอยู่ที่บ้านเดิมหรือ?
แต่มันถูกไฟไหม้ไปแล้วนี่! จะเป็ไปได้อย่างไร?
หนีเจียเอ๋อร์เหม่อมองด้วยความสับสน ใจเต้นไม่เป็ส่ำ พลางลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ซึ่งด้านนอกเป็ทะเลสาบเล็กๆ ผิวน้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกแสบตาเล็กน้อย
“คุณหนู ไม่สบายตรงไหนหรือเ้าคะ? ข้าว่า ท่านน่าจะพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ดีหรือไม่?” เสี่ยวเสวียนมองตามผู้เป็นายด้วยความเป็ห่วง รีบเดินไปที่เตียงเพื่อนำรองเท้ามาสวมให้
หนีเจียเอ๋อร์ยังคงตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
มิใช่ว่า นางถูกสวีเพ่ยหรานฆ่าไปแล้วหรอกหรือ!
หรือว่า เพราะยังไม่ตาย จึงถูกนำตัวมาขังไว้ที่นี่ แต่บ้านของนางถูกไฟไหม้ไปแล้วนี่นา...
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หนีเจียเอ๋อร์ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเหลือบไปเห็น ‘สอนหญิง[2]’ ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ทันใดนั้น ความทรงจำเมื่อครั้งที่ตนอายุครบสิบหกปีก็โลดแล่นเข้ามา นางถูกบิดาลงโทษให้คัด ‘สอนหญิง’ หนึ่งร้อยจบ
การลงโทษในครานั้น นางย่อมจำได้ไม่มีวันลืม!
แต่ ทว่า...
หนีเจียเอ๋อร์ค่อยๆ หยิบหนังสือ ‘สอนหญิง’ ขึ้นมามองด้วยความพิศวง หนังสือเล่มนี้... มิใช่ของปลอม
หรือว่า... ตนจะย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบปีก่อน?
คิดเช่นนั้นหญิงสาวก็ไม่รอช้า รีบตรงไปยังหัวเตียง เพื่อหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ภายในนั้นมีปิ่นปักผมดอกบัว หนีเจียเอ๋อร์มองปิ่นในกล่อง พลางเม้มปากแน่น นี่คือของแทนใจซึ่งสวีเพ่ยหรานเคยมอบให้เมื่อสิบปีก่อน... แสดงว่า นางย้อนเวลากลับมาแล้วจริงๆ!
‘ภูผาไร้ขอบเขต นภาและผืนปฐีสอดประสาน ข้าขอสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างเ้า’
หนีเจียเอ๋อร์มองปิ่นดอกบัวในกล่อง ก่อนแสยะยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ทุกสิ่ง ล้วนเป็เื่หลอกลวง!
นางหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา ความเย็นของปิ่นทำให้รู้ได้ทันที ว่าของแทนใจชิ้นนี้ มีมูลค่าสูงเพียงใด แต่หนีเจียเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ ขว้างมันลงกับพื้นอย่างแรง
เคร้ง!
เสียงดังก้องไปทั่วห้อง เศษปิ่นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ สภาพของมันในยามนี้ ต่อให้เป็ช่างมีฝีมือก็ไม่อาจซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้
สวีเพ่ยหราน ในเมื่อ์เมตตาให้โอกาสข้าอีกครั้ง เช่นนั้น ข้าก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก!
“คุณหนู ทำอะไรเ้าคะ?”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เสี่ยวเสวียนแทบจะกรีดร้องด้วยความใ รีบเข้ามาเก็บชิ้นส่วนของปิ่นปักผมด้วยความเสียดาย ก่อนลุกขึ้น แล้วหันไปมองหนีเจียเอ๋อร์อย่างเป็ห่วง
ปิ่นเล่มนี้ เป็เครื่องประดับผมที่คุณหนูชอบมาก ไม่คิดเลยว่าจะกล้าทำลายมันได้
“คุณหนู... ทำไมท่านขว้างปิ่นปักผมที่คุณชายสวีมอบให้เล่าเ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์มองสาวใช้ แววตาเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและซับซ้อน ชาติก่อน หลังแต่งงานเข้าสกุลสวี จู่ๆ เสี่ยวเสวียนก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
มาคิดดูแล้ว นางก็น่าจะถูกฆาตกรที่ฆ่าล้างสกุลหนี สังหารไปอีกคนเป็แน่!
พอนึกถึงเื่นี้ หนีเจียเอ๋อร์ก็หลับตาลงอย่างข่มอารมณ์
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ตอนนี้ ข้าไม่ชอบมันแล้วก็เท่านั้น!”
“คุณหนู วันนี้ท่านดูแปลกๆ นะเ้าคะ เมื่อวานยังดูแลมันราวกับของล้ำค่า แต่มาวันนี้กลับไม่ชอบเสียแล้ว...” เสี่ยวเสวียน มองคุณหนูของตนอย่างกังขา
หนีเจียเอ๋อร์หรี่ตาลง ด้วยไม่อาจบอกเื่ที่ตนคืนชีพ ทั้งยังย้อนกลับมาสู่อดีตให้ใครรู้ได้ มิฉะนั้น จะต้องมีคนคอยจ้องจับผิดเป็แน่ แล้วเื่วุ่นวายก็ย่อมตามมาไม่จบไม่สิ้น
เมื่อคิดเช่นนั้น หญิงสาวจึงเหลือบไปมองอ่างทองแดงที่เสี่ยวเสวียนยกเข้ามา ในอ่างมีน้ำสะอาด ซึ่งแช่ผ้าไหมเช็ดหน้าสีขาวเอาไว้
หนีเจียเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ก่อนจุ่มมือลงไป พอััได้ถึงความอุ่นของน้ำ ดวงตาก็ไหวระริก
“นายท่านกับอี๋เหนียง[3]เล่า?”
เสี่ยวเสวียนรีบก้าวเข้ามา หยิบผ้าไปบิดหมาดๆ ก่อนยื่นให้ “เรียนคุณหนู นายท่านกับอี๋เหนียง กำลังปรึกษาหารือกับนายท่านสวีและคุณชายสวี เกี่ยวกับเื่การสู่ขอเ้าค่ะ!”
--------------------------------------
[1] ผ้าฝ้ายตุ่ย คือ ผ้าที่ทอจาก ‘ฝ้ายตุ่ย’ ซึ่งเป็ฝ้ายธรรมชาติ มิได้ผ่านการย้อม
ดอกฝ้ายตุ่ย จะมีขนาดเล็กกว่าดอกฝ้ายขาว ลักษณะปุยสั้น ไม่ค่อยฟูเหมือนฝ้ายขาว
ในท้องตลาดบ้านเรา บางทีก็เรียกว่าฝ้ายกะตุ่ย หรือฝ้ายตุ่น หรือฝ้ายตะหลุง หรือฝ้ายแม้ว แตกต่างกันตามท้องถิ่น
โดยคำว่า ‘ตุ่ย’ หรือ ‘ตุ่น’ มาจากสีของฝ้ายที่ออกไปทางสีน้ำตาลตุ่นๆ
ส่วนคำว่า ‘ตะหลุง’ เป็ภาษาท้องถิ่นของชาวภูไท แปลว่า ‘ค่าง’ ซึ่งน่าจะมาจากสีของฝ้าย ที่คล้ายกับสีขนของค่างนั่นเอง
[2] สอนหญิง หรือ ‘女则: หนี่เจ๋อ’ เป็วรรณกรรมสอนสตรีเื่แรกๆ ของจีน ประพันธ์ขึ้นโดยนักวิชาการสตรีนาม ‘ปันเจา’ ผู้มีแิสนับสนุนให้สตรีได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับบุรุษ แต่ขณะเดียวกันปันเจา ก็เป็ผู้มีความยึดมั่นในหลักปรัชญาขงจื๊อ ที่มีแนวความคิดบุรุษเป็ใหญ่
‘สอนหญิง’ จึงเป็วรรณกรรมที่แฝงไปด้วยปรัชญาขงจื๊อ ซึ่งพูดถึงบทบาทของสตรี ทั้งในด้านปัจเจกชน สังคม จริยธรรม และการศึกษา ยกเว้นเพียงด้านการเมืองที่ไม่ถูกกล่าวถึง
[3] อี๋เหนียง หมายถึง อนุภรรยาของนายท่านในบ้าน