หลัวเลี่ยยืนอยู่นอกบริเวณป่าที่มีแสงส่องออกมา เขาลอบสังเกตอย่างระมัดระวัง
บริเวณโดยรอบเงียบงัน และดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ
“ผลึกสุริยนที่เตะตาเช่นนี้ทำไมถึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นหรือมาเอามันไปกันนะ”
“หรือเพราะว่าที่นี่อันตรายมาก”
“ดูจากร่องรอยของต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ แล้ว ที่นี่คงมีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่ แต่เพราะเปลวเพลิงพวกนั้นแผดเผารุนแรงเกินไป จึงเผาทั้งกระดูกและเืจนไม่เหลือเศษซาก”
หลัวเลี่ยลูบคางพร้อมกับมองไปยังผลึกสุริยนที่ลอยอยู่ท่ามกลางต้นไม้ด้วยหัวใจที่เต้นรัว
สิ่งที่ลอยส่องแสงอยู่นั้นคือผลึกสุริยนที่มีคุณสมบัติซึมซับแก่นพลังจากดวงอาทิตย์อันบริสุทธิ์เอาไว้ ผลึกสุริยนนี้ถือเป็สมบัติชั้นยอดที่จะช่วยให้ผู้ฝึกวรยุทธ์สามารถก้าวข้ามทะลวงระดับพลังจากระดับผู้ฝึกตนเข้าสู่ระดับหยินหยางได้
หลัวเลี่ยลังเลเล็กน้อย เพราะเขาไม่สามารถระบุได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นอันตรายเพียงใด
ในเทือกเขาเหยียนรื่อที่มีูเาน้อยใหญ่และทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ มีผู้คนสิบกว่าคนอยู่ที่นี่ พวกเขากระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และในจำนวนนั้นก็มีคนที่หลัวเลี่ยเคยพบในภพจิตัอย่างจั่วซุนและมู่เจี้ยนเฟยอีกด้วย
พวกเขาล้วนเป็ยอดฝีมือในแคว้นเหยียนหลง
จั่วซุนกำลังเล่าเื่เหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึงของ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ที่เขาพบเจอมาด้วยตนเองให้เพื่อนของเขาฟัง
มู่เจี้ยนเฟยกำลังเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือที่อยู่เหนือพื้นขึ้นมาราวสามจั้ง เขาเหม่อมองไปไกล ไม่รู้ว่าในใจของเขากำลังคิดเื่อะไรอยู่
นอกจากนี้ยังมีคนยืนพิงต้นไม้อยู่อีก คนคนนั้นกำลังจัดแต่งเล็บของตนอย่างระมัดระวังด้วยมีดขนาดเล็ก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ คนคนนั้นก็คือไก้อู๋ซวง
นางอยู่ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนหลง นอกจากนี้นางยังเป็ศิษย์ของท่านบรรพชนอูอวิ๋นเซียนอีกด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าสถานะของไก้อู๋ซวงนั้นย่อมสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นางสวมชุดสีแดงหม่น และนั่งอยู่เพียงลำพังบนโขดหินกลางแม่น้ำใสในหุบเขา ลมวูบหนึ่งพัดมา ทำให้น้ำในแม่น้ำเกิดระลอกคลื่นและผมของนางปลิวไสว ภาพนี้ลบภาพที่ไก้อู๋ซวงเย่อหยิ่งและไม่สนใจใครออกไปได้อย่างสิ้นเชิง
“หลัวเลี่ย!”
ไก้อู๋ซวงพึมพำกับตัวเอง
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ชื่อนี้ก็ได้ปรากฏขึ้น และเริ่มวนเวียนอยู่ภายในหัวของนางราวกับเป็ปีศาจที่ตามมาหลอกหลอน และนางก็ไม่สามารถเลิกคิดเื่นี้ได้เลย สิ่งนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของนาง ทำให้นางโกรธมาก
เหตุผลที่นางโกรธคือมีคนกล้ายั่วโมโหนาง!
และคนที่กล้าก็ยังเป็คนในรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย
แม้ว่าไก้อู๋ซวงจะเพิ่งฟักออกมาจากไข่ แต่ชีวิตของนางในไข่ัก็เหมือนถอยกลับไปั้แ่นางยังเป็เด็กที่ธรรมดา และเริ่มฝึกฝนั้แ่อยู่ในนั้น
ดังนั้นั้แ่ไก้อู๋ซวงออกมาจากไข่จนถึงตอนนี้ นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเพิ่งเกิดเลยสักนิด
ไก้อู๋ซวงคิดเพียงว่า นางก็คือเยาวชนคนหนึ่งที่มีอายุสิบแปดปี
แต่ยิ่งคิดแบบนั้น ไก้อู๋ซวงก็ยิ่งอารมณ์เสีย
หลัวเลี่ยคือใคร และมีสิทธิ์อะไรจะมาสังหารนาง?
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ตามมาก็คือหลัวเลี่ยสามารถก้าวเข้าสู่เทือกเขาเหยียนรื่อผ่านบททดสอบเจตจำนงแห่งธารา ซึ่งถือว่าเป็บททดสอบที่ยากที่สุดในบรรดาบททดสอบของสะพานเหนือเมฆ โดยที่เขาสามารถทำลายบททดสอบได้ในเวลาไม่ถึงสองเค่อเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีข่าวเพิ่มเติมว่า หลัวเลี่ยสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนิจนถึงระดับถ่องแท้ได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนเศษเท่านั้น นอกจากนี้เขายังมีประวัติว่าเคยสังหารหลี่ว์เยวี่ย ผู้ที่สามารถใช้วิชาแพร่โรคระบาดได้ในพริบตาอีกด้วย จากข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับรู้มาทำให้ไก้อู๋ซวงเริ่มตระหนักได้ว่าหลัวเลี่ยสมกับเป็คู่ต่อสู้ของนางจริงๆ
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่จั่วซุนโม้เื่ของเขาที่เคยประสบกับ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ให้คนอื่นๆ ฟังจบแล้ว เขาก็มาที่แม่น้ำแล้วโค้งคำนับไก้อู๋ซวง จากนั้นก็เรียกนางด้วยเสียงที่แ่เบา
ไก้อู๋ซวงลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
“องค์หญิง หม่อมฉันกังวลว่าตอนนี้หลัวเลี่ยมาถึงเทือกเขาเหยียนรื่อแล้ว แต่เขากลับไม่ได้มาตามหาพวกเรา เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ บางทีเขาอาจพบอะไรบางอย่างเข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จั่วซุนกล่าว
“พบอะไร” ไก้อู๋ซวงถาม
จั่วซุนรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ได้ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับไก้อู๋ซวง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้านางด้วยซ้ำ เขาได้แต่ก้มหัวลงและพูดว่า “ผลึกสุริยนพ่ะย่ะค่ะ”
ไก้อู๋ซวงพูดอย่างเฉยเมย “จนถึงตอนนี้เ้าก็ยังคิดว่าข้าทำผิดที่ไม่เอาผลึกสุริยนมาใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ” จั่วซุนตอบอย่างกล้าหาญ
“บังอาจ!”
ไก้อู๋ซวงพูดอย่างเ็า “เ้าโง่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เดิมทีข้าคิดว่าเด็กที่มากฝีมือจากแคว้นเหยียนหลงคงจะพอมีสมองอยู่บ้าง สงสัยว่าข้าจะประเมินเ้าสูงไปสินะ”
เมื่อจั่วซุนและคนอื่นๆ ได้ยินประโยคนี้ของไก้อู๋ซวง พวกเขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย
แม้แต่มู่เจี้ยนเฟยและอัจฉริยะคนอื่นๆ ที่มีความภาคภูมิใจในตนเองและหยิ่งยโสก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครออกมาโต้แย้งคำพูดของไก้อู๋ซวง
“องค์หญิงโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย” จั่วซุนกัดฟันระงับความโกรธ
“ฮึ!”
ไก้อู๋ซวงพูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “ข้าให้คนไปปล่อยผลึกสุริยนเอาไว้ที่นั่นเอง”
มีเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนประหลาดใจกับคำตอบนี้
ไก้อู๋ซวงพูดกับตัวเองว่า “ของสิ่งนั้นคือผลึกสุริยนที่มีหยาดตะวันอยู่ภายใน แม้ว่ามันจะเป็หยาดตะวันเพียงเล็กน้อยที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่มันก็ยังสามารถเติมเต็มความ้าของข้าได้อยู่ ข้า้าให้มันซึมซับแก่นพลังดวงอาทิตย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นข้าจึงปล่อยมันไว้ที่นั่น เพื่อให้มันสามารถซึมซับพลังให้ได้มากที่สุด เดิมทีข้าคิดว่าสถานที่แห่งนั้นจะเหมาะสมที่สุด แต่มันก็ยังไม่ใช่ หากจะทำให้ความ้าของข้าสมบูรณ์ ข้าคงต้องรอไปอีกอย่างน้อยสามถึงห้าเดือน แต่ข้ารอไม่ไหวแล้ว ดังนั้นในตอนที่ข้าไปหาท่านอาจารย์ ข้าจึงได้วิธีที่สามารถเติมเต็มความ้าโดยเร็วที่สุดมาได้แล้ว”
“ดังนั้นข้าจึงวางมันไว้ที่นั่น เพื่อให้พวกที่ไม่รู้จักประมาณตนเข้าไปหามัน แน่นอนว่าหากมีคนเตะโดนมันเข้า จุดจบสุดท้ายคงมีเพียงความตายเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อคนพวกนั้นตายไปแล้ว กระดูกและเืเนื้อของพวกเขาก็จะถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก จากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็พลังส่วนหนึ่งในการหล่อเลี้ยงผลึกสุริยน ช่วยย่นระยะเวลาที่ผลึกสุริยนจะพร้อมสำหรับเป้าหมายของข้าให้เร็วขึ้น”
เหี้ยม! โหด!
จั่วซุนและคนอื่นๆ นึกถึงคำสองคำนี้
ใครจะไม่ถูกผลึกสุริยนที่มีหยาดตะวันอยู่ภายในล่อลวงบ้าง แต่เมื่อคนพวกนั้นเตะโดนผลึกสุริยนแล้ว ผลลัพธ์ของพวกเขาก็คือความตายเท่านั้น หลังจากตายแล้วยังกลายเป็วัตถุดิบชั้นเลิศในการหล่อเลี้ยงผลึกสุริยนอีกด้วย
“เหตุใดองค์หญิงจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากคนในสำนักเดียวกัน เหตุใดต้องทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” จั่วซุนถามขึ้น
ไก้อู๋ซวงมองไปทางจั่วซุนด้วยสายตาทิ่มแทง “เ้าคิดว่าที่ข้าเลือกอูอวิ๋นเซียนเป็อาจารย์เพราะข้าอยากขอร้องเขาหรือ เ้าโง่ อัจฉริยะคนหนึ่ง หากอยากไปให้ถึงจุดสูงสุดของวิชายุทธ์และเปลี่ยนชีวิตของตนเองก็ต้องพึ่งพาตนเอง หากพึ่งพาผู้อื่นั้แ่ต้นแล้วจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร คนแบบนั้นที่ถือตัวว่าเป็อัจฉริยะจะมีสักกี่คนที่สามารถขึ้นเป็บรรพชนได้ และหากไม่ได้เป็บรรพชนก็คงไม่อาจขึ้นไปถึงระดับเทพได้แน่”
มุมปากของจั่วซุนกระตุก ผู้หญิงคนนี้พูดโอ้อวดว่านางกำลังจะขึ้นเป็เทพ
ในทางตรงกันข้าม มู่เจี้ยนเฟยกลับลอบยิ้มอย่างลับๆ เมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น เขากล้าบอกเลยว่าผลึกสุริยนนั้นต้องเป็ของที่มาจากตระกูลของบรรพชนอูอวิ๋นเซียนเป็แน่ แต่ความ้าของพวกเขาคงไม่อาจเติมเต็มได้ เพราะพลังของดวงอาทิตย์นั้นรวบรวมได้ยากเย็นเช่นกัน
“องค์หญิง เจี้ยนเฟยยังข้องใจในบางเื่ ขอองค์หญิงช่วยไขความกระจ่างให้หม่อมฉันทีพ่ะย่ะค่ะ” มู่เจี้ยนเฟยกล่าวอย่างเฉยเมย
ไก้อู๋ซวงปฏิบัติต่อมู่เจี้ยนเฟยอย่างดี นางแทบจะไม่ออกปากพูดเหน็บแนมเหมือนที่นางปฏิบัติต่อจั่วซุน แต่น้ำเสียงของนางก็ยังคงเ็ามากเช่นกัน “พูดมา”
มู่เจี้ยนเฟยพูดว่า “องค์หญิงคิดจะใช้ผลึกสุริยนที่ซึมซับพลังจนเต็มที่ไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไก้อู๋ซวงยังคงเงียบ
ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงออกมา
ในหุบเขาเหยียนรื่อเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านกิ่งก้านและใบไม้ นอกจากนี้สายลมยังพัดพากลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้และสมุนไพรต่างแดนเข้ามากระทบจมูกอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงยานคางของไก้อู๋ซวงก็ดังขึ้น
“หนึ่งแตกดับหนึ่งกำเนิดคือวัฏจักรแห่งนิพพาน พลิกหยินเปลี่ยนหยางเป็ตายล้วนแล้วแต่ฟ้าดินลิขิต!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้