หลิวเต้าเซียงยิ้มเ้าเล่ห์ในใจ นึกอยากจะจับหลิวจื้อเซิ่งมาเขย่าและเอ่ยว่า รีบแยกบ้านกันเถิด นางทนรอไม่ไหวแล้ว!
หลังจากแยกบ้าน นางก็จะสามารถซื้อบ้าน ที่ดินและเด็กรับใช้มาปรนนิบัติ ทำให้มารดาของตนเพียงแค่อ้าปากก็มีข้าวมาป้อนถึงที่ เพียงแค่ยื่นมือก็มีคนสวมเสื้อให้ แล้วก็ต้องไปรับยายผู้แสนดีที่รักและเอ็นดูนางมาอยู่ด้วยกัน
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเคยเจอกันเพียงหนเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไร ยายผู้แสนดีของนางก็บ่นว่า ยังมีไก่อีกสองตัวที่ไม่ได้กินและรอให้นางกลับไปครั้งหน้า จะเลือกตัวที่ใหญ่ที่สุดมาเชือด
หลิวเต้าเซียงเป็ตัวแทนของร่างเดิมที่ได้รับความรักจากหญิงชรา ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและไม่เห็นแก่ตัวจึงสั่งสมมาเป็ระยะเวลาหลายปี
“โอ๊ย ท่านพี่ กิจการของตระกูลเราก็เห็นกันอยู่ ในบ้านมีที่นาดีสามสิบไร่ แล้วก็ที่ดินแห้งสิบไร่ ท่านย่ามักจะไปถามหลี่เจิ้งว่ามีคน้าขายที่หรือไม่ นาง้าซื้อเพิ่ม เห็นทีท่านคงมีเงินอยู่ในมือไม่น้อย”
ที่ดินดีในหมู่บ้านสามสิบลี้มีไม่มากนัก ครึ่งหนึ่งนั้นตกอยู่ในมือของเซียงเซินที่มีเงิน ตระกูลหลิวมีเพียงสามสิบไร่ ประชากรในหมู่บ้านมีถึงหนึ่งร้อยกว่าคน การคิดจะซื้อที่นาดีจึงไม่ใช่เื่ง่าย
หลิวจื้อเซิ่งถามว่าเพราะเหตุใด
จากนั้นหลิวเต้าเซียงก็บอกเหตุผลกับเขา “ท่านพี่เองก็เห็นว่า พื้นที่ตรงนี้ใกล้กับูเา ที่นาดีไม่ได้ได้มาโดยง่าย”
ถึงมีเงินก็ไม่ใช่เื่ง่าย
หลิวจื้อเซิ่งอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงก็เผยประกายวาบ แล้วเอ่ย “อันที่จริง หากท่านพี่มีโอกาสก็ลองตื๊อท่านย่าให้ซื้อที่นาดีในหมู่บ้านอื่นสิ”
หรือว่าในมือท่านย่า จะมีเงินไม่น้อยเช่นนั้นหรือ?
ในใจของหลิวจื้อเซิ่งเกิดเมฆหมอกก้อนใหญ่ เนื่องจากว่าหลายปีมานี้ ท่านพ่อของเขาบอกว่าน้องๆ เองก็ลำบาก ทุกปีจึงต้องลากของแห้งกับข้าวเปลือกกลับไปยังเมืองฝู่เฉิง จึงไม่เคยขอเงินกับหลิวฉีซื่อ
แน่นอนว่า พ่อของเขาหรือหลิวสี่กุ้ยไม่ได้ให้เงินแก่หลิวฉีซื่อมาก่อนเช่นกัน ถึงแม้จะส่งของมาให้ที่บ้านบ้าง แต่นั่นก็เป็ของที่เ้านายให้มา
“ในมือท่านย่าคงมีเงินมากมาย อาเล็กเองก็ยังเรียนอยู่ มิเช่นนั้น ข้าคงไปโน้มน้าวท่านย่าให้ซื้อที่นาดีเพิ่ม ทางนั้นูเาน้อยและมีที่นาเยอะ เพียงแต่แพงไปหน่อย”
หลิวเต้าเซียงหวั่นไหว ไม่รู้ว่าทางนั้นที่นาดีราคาไร่ละเท่าไร
นางคิดในใจแล้วพูดออกมาด้วย
หัวใจของหลิวจื้อเซิ่งยิ่งจมดิ่งอย่างรุนแรง ท่านย่ามีเงินไม่น้อยจริงด้วย มิเช่นนั้น เหตุใดน้องเต้าเซียงจึงใส่ใจเื่ที่นาดีทางนั้นว่ามีราคาเท่าไร
เขาย่อมไม่รู้ว่าในมือของหลิวเต้าเซียงเองก็มีเงิน และนางก็มีแผนของตนเอง
“หมู่บ้านสามสิบลี้ของเราขายหกตำลึงต่อหนึ่งไร่ ในอำเภอขายเจ็ดตำลึงต่อหนึ่งไร่ ในจังหวัดคงขายแปดตำลึง และในตัวเขตที่ใกล้กับการขนส่งน่าจะสิบตำลึงต่อหนึ่งไร่”
คำพูดของเขาเป็การหยั่งเชิงเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของหลิวเต้าเซียง
ถูกต้อง ในสายตาเขาหลิวเต้าเซียงเป็เด็กสาวที่ฉลาด ซึ่งเขาไม่ได้ชอบใจนัก เพราะทำให้เขารู้สึกว่าน้องสาวของตนเองหรือหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กลายเป็คนโง่!
หลิวเต้าเซียงแอบคำนวณเงินในมือของตน นางยังมีอีกหนึ่งร้อยสี่สิบตำลึง อีกหนึ่งเดือนก็จะมีเพิ่มมาประมาณเกือบสี่สิบตำลึง สามารถไปซื้อที่นาดียี่สิบไร่ในตัวอำเภอได้ เพียงแต่นางรู้สึกว่าที่นาดียี่สิบไร่น้อยเกินไป อีกทั้งยังไม่ได้แยกบ้าน สู้ซื้อบ้านแล้วปล่อยเช่าดีกว่า
นางรู้ว่าหลิวจื้อเซิ่งแอบมองการหยั่งเชิง แต่นางหาได้ใส่ใจไม่
นางสนใจเพียงว่าเงินของนางสามารถออกดอกออกผลได้มากกว่านี้หรือไม่
บ้านในตำบลนั้นมีจำกัด นางเองก็ไม่มีปัญญาซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านได้
ช้าก่อน ดูเหมือนว่านี่จะเป็ความคิดที่ไม่เลว
นางอารมณ์ดีขึ้น กระทั่งลมร้อนแรงที่พัดมาก็กลายเป็อบอุ่นขึ้นมา
เดือนกันยายนเป็่ที่เปรียบดั่งเสือแห่งฤดูไม้ใบร่วงที่อากาศร้อนที่สุด
“น้องเต้าเซียงคิดว่าท่านย่าจะเห็นว่ามันแพงไปหรือไม่?” หลิวจื้อเซิ่งเห็นนางขมวดคิ้วครุ่นคิด ต่อมาใบหน้าก็เผยรอยยิ้มมีความสุข
ตามคาด อย่างที่เขาได้คาดเดาไว้ ในมือของย่ามีเงินไม่น้อย
เขาไม่จําเป็ต้องถามไถ่เพื่อความชัดเจนจากหลิวเต้าเซียงอีกแล้ว
“ข้าไม่รู้” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างจริงจัง นางกำลังนั่งใช้นิ้วคำนวณอยู่ตรงระเบียง “บ้านเรามีที่นาดีสามสิบไร่ ที่ดินแห้งสิบไร่ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อบอกว่า ที่นาแห้งน่าจะมีรายได้เก้าตำลึง ส่วนนาของเราเป็ที่นาดีชั้นดี ในหมู่บ้านนี้ต่างก็รู้ดี ประมาณหนึ่งไร่จะเก็บเกี่ยวได้สามหาบ [1] ข้าวเปลือกราคาสามอีแปะครึ่งต่อหนึ่งชั่ง ปีๆ หนึ่งก็เก็บเกี่ยวสองรอบ แต่ข้าคำนวณไม่เป็”
นางเงยหน้าขึ้นมองและถามหลิวจื้อเซิ่งด้วยความสับสน “ท่านพี่ ท่านว่าปีๆ หนึ่งบ้านเรามีผลเก็บเกี่ยวเท่าไรหรือ?”
ใช่ว่านางคำนวณไม่เป็ แต่ไม่อยากให้หลิวจื้อเซิ่งรู้มากกว่า
ดวงตาของหลิวจื้อเซิ่งเผยประกายและคำนวณในใจอย่างรวดเร็วว่าในหนึ่งปีจะมีเงินอยู่ในมือของท่านย่าเท่าไร
หลิวเต้าเซียงเอามือชันคางแล้วเยาะเย้ยในใจ นางคำนวณได้ั้แ่แรกแล้ว
ข้าวเปลือกหนึ่งหาบเท่ากับหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง สามหาบก็เท่ากับสามร้อยหกสิบชั่ง
ปีหนึ่งก็ได้อยู่ราวเจ็ดสิบห้าถึงเจ็ดสิบหกตำลึง
หลิวจื้อเซิ่งอายุสิบสามปี เมื่อคำนวณเช่นนี้ ในมือของหลิวฉีซื่อก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันตำลึง
“อ๋อ ใช่สิ ทุกปีท่านย่ายังมีรับสอนงานเย็บปักถักร้อยให้บ้านเซียงเซินเ่าั้ด้วย ได้ยินว่าหนึ่งเดือนได้ถึงสามตำลึงเชียว”
หนึ่งปีก็ได้อยู่สามสิบกว่าตำลึง
ไม่น่าแปลกใจที่ความมั่นใจของท่านย่าถึงได้เต็มเปี่ยมเพียงนั้น มิน่าอาสี่ขอเงินถึงได้ยกให้ง่ายดายปานนั้น
แม้หลังจากจ่ายภาษีเบ็ดเตล็ดทุกชนิดแล้ว ก็ยังคงมีเงินจํานวนมากในหนึ่งปี
สภาพจิตใจของหลิวจื้อเซิ่งนั้นชั่วร้ายมาก แต่เขายังคงรักษารอยยิ้มไว้
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็จอมปลอมยิ่งนัก
“เ้าเป็เด็กคิดเป็ อย่าได้โทษท่านย่า อาสี่เล่าเรียนปีๆ หนึ่งต้องใช้จ่ายไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นอาเล็กอายุก็ยังน้อย ท่านย่าก็ต้องคอยดูแล”
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างสับสนมึนงง
นางเข้าใจดีว่า เขากำลังกรอกหูนางอ้อมๆ ว่าหลิววั่งกุ้ยกับหลิวเสี่ยวหลันใช้เงินมือเติบ
ขณะเดียวกัน นางก็รู้ว่าเขาอยากได้ยินอะไร
“ใช่ อาสี่มักจะวานให้ลุงรองกับป้ารองนำเงินไปให้เขาที่ตำบล”
แขนเสื้อของหลิวจื้อเซิ่งสั่นไหวเล็กน้อย หลิวเต้าเซียงเอามือชันคางแล้วหลับตาพริ้ม โกรธแล้วหรือ? โกรธสิดี!
“ลุงสี่ยุ่งมากนักหรือ? ข้าเองก็เล่าเรียนในสถาบันทุกวัน แต่หาได้ยุ่งเช่นอาสี่”
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เหมือนกันหรอก ท่านย่าบอกว่า ปีถัดๆ ไปอาสี่จะลงสนามสอบ หากว่าสอบติดเซิงหยวน [2] ที่นาดีสามสิบไร่ของเราก็จะประหยัดภาษีได้สิบกว่าตำลึง”
ซิ่วไฉในราชวงศ์โจวนอกจากจะได้รับเสบียงแจกจ่ายในทุกเดือน นอกจากนั้น ยังได้รับลดหย่อนการจ่ายภาษีที่นาดีห้าสิบไร่ เพื่อทำให้บรรดาซิ่วไฉจะได้ตั้งใจกับการเล่าเรียน ไม่ต้องเสียสมาธิกับเื่อื่น
“ฟังจากที่น้องเต้าเซียงพูดเช่นนี้ เห็นทีการเล่าเรียนของอาสี่คงใช้ได้ทีเดียว” หลิวจื้อเซิ่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะหลิววั่งกุ้ยเรียนเร็วกว่าเขาถึงสี่ปี
“อืม ได้ยินท่านย่าบอกว่า อาสี่ได้รับการจับตามองจากอาจารย์ยิ่งนัก แม้จะออกไปเยี่ยมเยียนสหายก็ยินดีที่จะพาเขาไปด้วยอยู่บ่อยครั้ง”
ในสายตาของหลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าอาจารย์ท่านนั้นเพียงมองเห็นหลิววั่งกุ้ยเป็ถุงเงิน อาจารย์พาลูกศิษย์ออกไปเปิดหูเปิดตา ย่อมเป็เื่ที่ลูกศิษย์ควรตอบแทนด้วยความสะดวกสบายทุกเื่ไม่ใช่หรือ!
หลิวจื้อเซิ่งยิ่งไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ มีเหตุผลอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ?
ท่านพ่อของเขาอยู่ในจวนตระกูลหวงอย่างระมัดระวัง หนึ่งปีนั้นก็หาได้เพียงแค่สามสิบกว่าตำลึง เมื่อรวมกับรางวัลจากจวนตระกูงหวง ก็ได้ไม่เกินห้าสิบตำลึงเศษ เทียบกับกิจการในมือของท่านย่าไม่ได้
จนท้ายที่สุดเขาก็ยังเชื่อว่า กิจการกว่าครึ่งหนึ่งของที่บ้านเป็ของครอบครัวฝั่งเขา
อย่างไรก็ตาม เขามีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น เพราะตามพระราชกฤษฎีกากฎหมายราชวงศ์โจวได้กําหนดไว้ในลักษณะนี้
แต่เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะว่าหลิววั่งกุ้ยน่าจะรู้ชัดเจนถึงข้อนี้ ไม่เพียงที่จะไม่ประมาณตน แต่ยังใช้เงินของหลิวฉีซื่ออย่างมือเติบ
“อาสี่คงมีมิตรสหายกว้างขวาง อาจารย์ชื่นชอบเขาเพียงนี้ เดาว่าในเื่การบ้านก็คงทุ่มเทในการสอนอย่างมาก”
หลิวเต้าเซียงกะพริบตากลมโต คิดอย่างเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่แล้วจึงตอบ “อาสี่เองก็ยุ่ง จริงๆ นะ กระทั่งเทศกาลเชงเม้งกับเทศกาลบะจ่างก็ไม่ได้กลับมา บอกว่าต้องไปพบปะมิตรสหาย”
การเรียกแทนตนเองของทั้งสองสามารถดูออกได้ทั้งความสนิทสนมและความห่างเหิน
“การพบปะสหายเพื่องานกวี ค่าใช้จ่ายสูงนัก” หลิวจื้อเซิ่งกวาดตามองนางอย่างดูแคลน เด็กน้อยชนบทก็คือเด็กน้อยในชนบทวันยังค่ำ ไม่มีทางกลายเป็ไข่มุกที่ขาวสะอาดไร้สิ่งแปลกปลอม
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจว่าเขาคิดอย่างไร
จากนั้นนางก็พูดว่า “ตอนเทศกาลเชงเม้ง อาสี่ไหว้วานให้ลุงรองนำเงินกลับไปที่ตำบล ต่อมาป้ารองก็ช่วยมาขอไปอีกสองรอบ ต่อมาอีกก็เทศกาลบะจ่าง อาสี่ก็ไปพบปะสหายอีก ท่านย่าบอกว่า การสังสรรค์เป็เื่ดี มีส่วนช่วยต่อการเรียน จึงให้อาสี่ไปอีกห้าตำลึง อ้อ ครั้งนั้น ได้ยินว่าพี่จื้อไฉกับพี่จื้อเซิ่งก็ได้คนละห้าตำลึงเช่นกัน”
หลิวจื้อเซิ่งไม่อยากได้ยินและไม่อยากให้คนเอ่ยถึงเื่เงินห้าตำลึงที่สุด
ในความคิดของท่านพ่อเขา ท่านย่าสมควรยกให้สิบถึงยี่สิบตำลึงอย่างไม่ลังเลด้วยซ้ำ
“จื้อไฉก็ขอเงินหรือ?” ทันใดนั้นหลิวจื้อเซิ่งก็พบว่าตนเองพลาดบางอย่างไป
“ป้ารองบอกว่า พี่จื้อไฉกับเ้าเป่าอ้วนเล่าเรียนกัน ลุงรองแบกรับภาระไม่ไหว ดังนั้น จึงขอเงินกับท่านย่า”
“บ่อยหรือไม่?”
“ข้าไม่รู้!”
หลิวจื้อเซิ่งโกรธจัด!
ต่อมาจึงคิดดู ท่านย่าจัดการเื่อันใดแล้วจะปล่อยให้เด็กอย่างนางรู้ได้อย่างไร
ตกกลางคืน หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นทีคงจะเที่ยวเล่นข้างนอกอย่างสนุกสนาน
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว วันนี้เล่าเรียนเหนื่อยยิ่งนัก บุตรสาวของบ้านเซียงเซินนั้นที่แท้ก็ถูกส่งไปเป็ภรรยาน้อยของท่านอ๋อง คงคิดว่าตนเองเป็เชื้อพระวงศ์แล้วจริงๆ!”
หลิวจื้อเซิ่งตอนนี้กลับมาอยู่ในความสงบ เมื่อเห็นนางเข้ามาจึงตอบ “ภรรยาน้อยอะไร ลำพังสถานะของเซียงเซิน บุตรสาวนางคงเป็ได้เพียงทาสในจวนอ๋อง หากคลอดบุตรมาก็อาจจะเป็ภรรยาได้”
“ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีหรือ? ใครทำอะไรท่าน?” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ดูออก เพราะนางกับหลิวจื้อเซิ่งนั้นรักใคร่สนิทสนมกันไม่น้อย
นางวางกล่องอาหารเล็กในมือลงบนโต๊ะด้านหน้าเขา “ท่านย่าเกริ่นไปว่าท่านพี่อยู่บ้าน ฮูหยินเซียงเซียนคนนั้นก็รู้จักกาลเทศะและให้คนเตรียมนมวัวผสมถั่วลิสงให้ข้านำกลับมาด้วยหนึ่งถ้วย”
หลิวจื้อเซิ่งรู้สึกรำคาญใจ เขาพบว่าตนเองไม่มีทางสนิทสนมกับหลิวฉีซื่อได้อีก
“เฉี่ยวเอ๋อร์ชื่นชอบของหวานเช่นนี้ พี่ไม่อยากดื่ม เ้าเก็บไว้ดื่มเถิด”
เขาเอื้อมมือออกไปหยุดหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ที่ทำท่าจะพูดอะไร แล้วก็เล่าเื่ที่ตนเองได้คุยกับหลิวเต้าเซียงให้นางฟังหนึ่งรอบ จากนั้นก็ถาม “เ้ามองว่าอย่างไร?”
“ท่านย่าของเราไม่น่ามีถึงพันตำลึง แต่ไม่มีหลักพันก็น่าจะมีถึงแปดร้อยตำลึง” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ดวงตาเป็ประกาย
หลิวจื้อเซิ่งวางตำราในมือลง ยื่นมือขึ้นมานวดขมับแล้วตอบ “จากที่กล่าวคือ กิจการของท่านย่ากว่าครึ่งหนึ่งควรแบ่งให้แก่ครอบครัวฝั่งเรา เพียงแต่ ลุงรองกับท่านอาสี่เหมือนจะไม่ได้คิดเช่นนี้ หรือบางทีต้องบอกว่า พวกเขาไม่พอใจให้เป็เช่นนั้น”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์สังเกตเห็นว่าหลิวจื้อเซิ่งไม่เรียกหลิววั่งกุ้ยว่า ‘อาสี่’ อย่างสนิทสนมอีกต่อไป
“ท่านย่าของเราร้ายกาจนัก การคิดจะล้วงเงินจากมือนางยากเย็นนัก!”
-----
เชิงอรรถ
[1] หาบ ภาษาจีนคือคำว่า 石 สือ ซึ่งในยุคโบราณ หนึ่งหาบเท่ากับ 120 ชั่ง ซึ่งเท่ากับ 60 กิโลกรัมในยุคปัจจุบัน
30 ชั่ง เท่ากับ 1 จวิน (鈞จวิน)
4 จวิน เท่ากับ 1 หาบ (石สือ)
1 หาบ เท่ากับ 120 ชั่ง (斤จิน)
[2] เซิงหยวน 生员 (บัณฑิตระดับอำเภอ) หรือที่เรียกว่าซิ่วไฉ ซึ่งหมายถึงผู้ที่สอบผ่านถงเซิงระดับอำเภอ
