ทางด้านซูอันที่อธิบายงานของนางกับจี้หยกวิเศษ สุดท้ายจึงตัดสินทำฉากกั้นออกมาสองลาย คือสวนดอกโบตั๋นหลากสีและเรือลำน้อยล่องลอยกลางทะเลสาบ
‘จีจี้ข้า้าลายปักแบบสามมิติ สำหรับลวดลายทั้งสองอย่างนี้ และช่วยทำให้ลูกค้าสามารถมองได้สองด้านนะ’
‘โอ้โห! นายหญิงหากท่านขายฉากกั้น ด้วยการปักแบบสามมิติไปแล้วล่ะก็ นั่นมิช่วยส่งเสริมให้ผู้ที่มัน มีแต่คนอิจฉาริษยาเพราะตนเองไม่อาจซื้อมาได้หรือเ้าคะ’
‘แล้วเ้าทำได้หรือไม่ได้เล่า ข้า้าคำตอบเพียงเื่นี้เท่านั้น ในเมื่อมันเป็สิ่งของมีค่าและราคาแพง คนร่ำรวยหรือจะเป็ปุถุชนทั่วไป ย่อมเกิดความอิจฉาได้เสมอนั่นแหละ’
‘ไอหยา นายหญิงอย่าเพิ่งใจร้อนสิเ้าคะ เื่ง่าย ๆ ไม่เคยเป็ปัญหาสำหรับจีจี้อยู่แล้ว ว่าแต่ท่าน้าใช้เมื่อใดและจำนวนกี่ผืนดีเ้าคะ’
‘ข้า้าอย่างละสามผืน และมันต้องเสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า พอข้าไปถึงร้านค้าสิ่งนี้จะวางขายด้านหน้าร้านได้ทันนะจีจี้”
‘จีจี้รับทราบเ้าค่ะ สินค้าเสร็จทันตามที่ท่าน้าแน่นอน”
‘ยอดเยี่ยมมากจีจี้’
ซูอันสั่งงานกับหยกวิเศษเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาตรวจสมุดบัญชีร้านค้า ตรวจสอบยอดรายได้ในวันที่นางไม่อยู่ แม้จะมีเยี่ยนหลิงจัดการแทนไปแล้วก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาทนางย่อมตรวจซ้ำอีกครั้ง เป็การป้องกันการทุจริตเื่ของเงินทอง จะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ คงเป็ไปไม่ได้เด็ดขาด
ในยามเช้าตรู่วันถัดมา แสงแดดแรกของวันใหม่ทอดลงบนลานหินหน้าประตูจวนตระกูลจิน พร้อมกับการปรากฏตัวของหวังเทียนเวิ่น รวมถึงผู้ติดตามอีกนับสิบเพื่อพบผู้นำตระกูลจิน เกี่ยวกับเื่การค้าผ้าไหมที่หวังเทียนเวิ่นอยากได้มา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูจวนที่ดังขึ้นแต่เช้าเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากเวลาที่หัวหน้าหมู่บ้านซานอี๋นำผ้าไหมมาส่ง มักจะเลยยามอู่ของวันเสมอและตอนนี้ยังไม่ถึงกำหนดการส่งผ้าไหม มู่ถงกับจือเหมยที่กำลังยืนส่งบุตรสาวออกไปดูแลร้านผ้า จึงเกิดความสงสัยไม่น้อยว่าผู้ใดที่เยือนในเวลาเช่นนี้
เจ๋อรุ่ยผู้รับหน้าที่เป็พ่อบ้านของจวน เปิดประตูเพื่อสอบถามผู้ที่มาที่ไปของผู้มาเยือน “เอ่อ ไม่ทราบว่าพวกท่านมาพบผู้ใดหรือขอรับ?”
“นายท่านของข้า้าพบผู้นำตระกูลจิน เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการค้าผ้าไหมครั้งใหญ่” เย่าฉีเป็ฝ่ายตอบคำถามของพ่อบ้านแทน
พ่อบ้านเจ๋อรุ่ยลอบสังเกตผู้มาเยือนเป็ครั้งคราว แม้อีกฝ่ายจะบอกว่า้ามาคุยเื่การค้า แต่ท่าทีที่เย่อหยิ่งและความน่ากลัวของผู้ติดตาม กลับทำให้พ่อบ้านเจ๋อรุ่ยรู้สึกระแวงไม่ได้ ในทางกลับกันเขาให้เกาอิ่งบ่าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับเข้าไปรายงานมู่ถงเสียก่อน
“เกาอิ่งเ้ารีบไปรายงานนายท่านกับคุณหนู ว่ามีแขก้าพบเพื่อขอเจรจาทำการค้ากับตระกูลจิน เร่งฝีเท้าให้เร็วหน่อยอย่าได้ชักช้าเล่า”
“ทราบแล้วขอรับท่านพ่อบ้าน”
“รบกวนนายท่านรอสักประเดี๋ยวนะขอรับ ต้องขออภัยที่ยังไม่อาจเชิญท่านเข้าไปด้านในได้ เนื่องจากนี่เป็คำสั่งจากคุณหนูเล็ก ถ้ามิได้รับอนุญาตถึงจะเป็คนรู้จักก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปได้ขอรับ” พ่อบ้านเจ๋อรุ่ยบอกถึงกฎที่ซูอันตั้งเอาไว้ ด้วยท่าทางนอบน้อมจริงใจ
นี่เป็ครั้งแรกที่หวังเทียนเวิ่นได้ยินเื่กฎแปลก ๆ แต่เพื่อสิ่งที่ตน้าสำคัญกว่ากฎเกณฑ์เล็ก ๆ เขาย่อมรอได้ “ไม่เป็ไรในเมื่อเป็กฎข้าย่อมมีมารยาทมากพอ ที่จะไม่บุกเข้าไปในจวนผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล”
“ขอบคุณนายท่านที่เข้าใจขอรับ”
เกาอิ่งวิ่งกลับมาหาหาพ่อบ้านเจ๋อรุ่ยอีกครั้ง ซึ่งเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งจิบชาจึงกลับมาแจ้งคำสั่งของซูอัน “ท่านพ่อบ้านคุณหนูเล็กให้เชิญแขกไปที่โถงรับรองได้ขอรับ”
“ขอบใจมากเกาอิ่ง เช่นนั้นเชิญนายท่านตามบ่าวมาเถิดขอรับ”
หวังเทียนเวิ่นเดินตามพ่อบ้านเข้ามาด้านใน ก็อดจะดูแคลนครอบครัวของซูอันไม่ได้ เพราะภายในจวนมิได้ตกแต่งลานด้านหน้า เฉกเช่นจวนขนาดใหญ่ของผู้คนที่ร่ำรวย นอกจากจะเป็ลานโล่ง ๆ แล้ว ก็มีเพียงแปลงดอกไม้ไม่กี่แปลงพอให้มีสีสัน
ซูอันและครอบครัวล้วนมีข้อสงสัย แขกที่มาเยือนถึงจวนของพวกเขาในวันนี้ จู่ ๆ ก็มาเคาะประตูถึงจวนไม่มีการส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า การกระทำเช่นนี้ช่างไร้มารยาทอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้ซูอันพึงระวังเป็พิเศษ นางจึงให้พวกอวี้เหลียนและอู๋ซูอยู่อารักขา ไม่จำเป็ต้องออกไปรอด้านนอก
หวังเทียนเวิ่นเข้ามายังโถงรับรองแขกอย่างถือตัว แต่ความถือตัวนี้กลับถูกทำลายด้วยความงามของเยี่ยนหลิง สายตาโลมเลียของหวังเทียนเวิ่นเปิดเผยอย่างชัดเจน และการกระทำเช่นนี้มีหรือที่จะเล็ดรอดสายตาของซูอันไปได้ แม้แต่เยี่ยนหลิงยังรู้สึกถึงความขยะแขยง จากสายตาของแขกผู้มาเยือนได้เช่นกัน
มู่ถงจำต้องเอ่ยทักทายเรียกสติของหวังเทียนเวิ่น “เชิญนั่งก่อน ไม่ทราบว่าท่านมาพบข้าในวันนี้ด้วยเื่อันใดหรือ?”
หวังเทียนเวิ่นได้สติแต่ไม่ยอมตอบ เขาให้เย่าฉีเป็คนตอบคำถามแทน “นายท่านของข้า้าเจรจาการค้าผ้าไหมกับพวกท่าน”
เย่าฉีตอบไปเพียงสั้น ๆ แต่เกรงว่ามู่ถงจะไม่เข้าใจ จึงต้องอธิบายเพิ่มเติมรายละเอียดเล็กน้อย “นายท่านของข้ามาจากตระกูลหวัง เป็ตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยไม่เป็รองผู้ใดในเมืองหลวง มีร้านผ้าไหมขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าเป็ถึงเชื้อพระวงศ์
ครั้งนี้นายท่านของข้าออกเดินทางเพื่อค้นหาผ้าไหม ที่มีลวดลายแปลกใหม่แต่งดงามในการตัดฉลองพระองค์ของฮองเฮา และนายท่านเห็นว่าผ้าไหมจากร้านของพวกท่านนั้น งดงามแปลกตาไม่เหมือนผู้ใด จึงอยากทำการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกันทั้งสองฝ่าย”
แม้จะฟังดูเป็โอกาสที่ดีสำหรับผ้าไหมของครอบครัว แต่สี่คนพ่อแม่ลูกกลับมิได้รู้สึกดีใจกับโอกาสนี้สักนิด มู่ถงที่เคยเอ่ยไว้แล้วว่าเื่การค้าเขายกให้ซูอันเป็คนจัดการ เขาจึงพยักหน้าให้ซูอันทันที
ซูอันไม่ละสายตาจากหวังเทียนเวิ่น นอกจากจะให้บ่าวคนสนิทบอกความ้าแทนแล้ว คนผู้นี้กลับเอาแต่นั่งจ้องมองพี่สาวของนางตาไม่กระพริบ จนเยี่ยนหลิงรู้สึกอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
‘เชอะ อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ยังกล้าใช้สายตาอ่านกินกับพี่สาวของข้า แก่ไม่อยู่ส่วนแก่อยากทำการค้าแต่ไม่จริงใจ ใครยอมร่วมมือด้วยก็โง่เต็มทีแล้ว’
“หึ ข้านั่งฟังมาตั้งนานยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นายใครเป็บ่าว หรือตระกูลหวังเชื่อฟังการตัดสินใจของบ่าว เป็กฎที่สืบทอดกันมางั้นรึ?”
เย่าฉีหน้าม้านไปชั่วพริบตากับคำพูดของซูอัน แต่เขายังคงออกหน้าแทนเ้านาย “คุณหนูท่านเป็บุตรสาวควรนั่งฟังเงียบ ๆ และให้บิดาของท่านเป็คนตัดสินใจจะดีกว่านะขอรับ”
เมื่อถูกคนเป็บ่าวรับใช้เอ่ยวาจาคล้ายออกคำสั่ง อู๋ซูจึงทนเงียบไม่ไหวอีกต่อไป “บังอาจ! ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเ้าเป็เพียงบ่าว กล้าดีอย่างไรมาออกคำสั่งกับคุณหนูเล็กเช่นนี้”
หวังเทียนเวิ่นละสายตาจากเยี่ยนหลิง หลังจากได้ยินอู๋ซูโวยวายกับบ่าวของตน เขาจึงต้องพูดย้ำด้วยตนเองอีกครั้ง “บ่าวของข้าก็แค่อธิบายเท่านั้น เอาเป็ว่าที่ข้ามาพบนายท่านจิน เพราะ้าทำการค้ากับท่านจริง ๆ นอกจากนี้ข้ายังมีข้อเสนอที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่าง หากท่านอยากให้ผ้าไหมตระกูลจินเป็ที่รู้จักในเมืองหลวง มิสู้พวกเรามาเกี่ยวดองกันผ่านบุตรสาวของท่านดีหรือไม่
ยิ่งน้องเขยของข้าเป็ถึงรองเ้ากรมพิธีการ ยามมีงานเลี้ยงในวังหลวงผ้าไหมของพวกท่าน ย่อมได้รับเลือกเป็ตระกูลแรก ๆ ค่าตอบแทนยิ่งมากกว่าลำดับท้าย ๆ เงินทองไหลมาเทมาไม่หยุดหย่อน พวกเราต่างได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝะ..”
ปัง!! “ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายบ้านแกสิไอ้หน้าปลวก! คิดว่าข้าไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเ้างั้นหรือ อย่าได้ทะนงตนว่าเป็คนฉลาดอยู่เพียงฝ่ายเดียวสิ” ซูอันยิ่งฟังยิ่งเดือดดาล
หวังเทียนเวิ่นรับไม่ได้ที่ถูกซูอันต่อว่าเกี่ยวกับหน้าตาของตน “นางเด็กเมื่อวานซืนกล้าดียังไงถึงได้ด่าข้าเช่นนี้ บิดามารดาเ้าไม่อบรมสั่งสอนให้เคารพผู้าุโหยะ..”
“เพ้ย!! อย่าได้บังอาจมาก้าวล่วงท่านพ่อท่านแม่ของข้า คนที่ทำตัวให้น่าเคารพนับถือไหนเลยข้าจะกล้าต่อว่าได้ แต่กับเ้าแก่ก็แก่หนังหน้าก็เหี่ยวย่นจนยับยู่ยี่ ถึงจะใส่เสื้อผ้าราคาแพงนับพันตำลึงทอง ยังไม่สามารถช่วยให้หน้าตาของเ้าดูดีขึ้นมาแม้แต่น้อย หน้าตาน่าเกลียดแล้วสันดานยิ่งน่ารังเกียจเข้าไปอีก พวกเ้ามาทางไหนกลับไปทางนั้น
ส่วนเื่ชื่อเสียงของผ้าไหมจากร้านของข้า ถึงไม่มีตระกูลหวังของตาแก่บ้าตัณหาเช่นเ้า ข้าก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังได้ก็แล้วกัน หลังจากข้าพูดจบพวกเ้าอย่าได้เอ่ยปากอีกเป็อันขาด เพราะจวนของข้ามันสะอาดมากกว่าปากที่พ่นคำพูดสกปรกของเ้า อวี้เหลียนส่งแขกแต่ถ้าแขกไม่ยอมกลับออกไปดี ๆ ก็จับโยนออกไปให้ไกลหน้าประตูจวน แล้วให้พ่อบ้านต้มน้ำร้อนไปล้างทำความสะอาดซะ!!”
“ขอรับคุณหนูเล็ก เชิญนายท่านหวังออกไปจากจวนด้วยขอรับ” อวี้เหลียนผายมือเชิญหวังเทียนเวิ่น ที่ยามนี้ตะลึงกับสายตาที่ดูน่ากลัวของซูอัน
เย่าฉีเองก็ััถึงสายตาของซูอันได้เช่นกัน เขาจึงรีบพาเ้านายออกจากจวนหลังนี้เสียก่อน ไว้รอคำสั่งจากหวังเทียนเวิ่นอีกครั้ง
เมื่อวาจาและท่าทางของซูอันที่แสดงออกมา บ่งบอกว่านางกำลังมีโทสะอย่างมาก ที่หวังเทียนเวิ่นบังอาจมาดูถูกความสามารถ และยังคิดจะกิจการรวมถึงตัวของเยี่ยนหลิง ตอนนี้คนในครอบครัวทั้งสามและผู้ติดตามที่อยู่ในโถงรับรอง ไม่มีใครรู้ว่าซูอันกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อันเอ๋อร์อย่าได้อารมณ์เสียกับคนเช่นนั้นเลย นี่เพิ่งจะเริ่มต้นก็มีคนแสดงความ้าออกมาแล้ว ยิ่งผ้าไหมมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ พวกเราย่อมหนีไม่พ้นความโลภของคนไม่รู้จักพอได้อยู่แล้ว” มู่ถงพยายามพูดปลอบบุตรสาวให้คลายความโกรธลง
เยี่ยนหลิงย่อมเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวผู้นี้มากกว่าใคร “อันเอ๋อร์เ้าด่าตาแก่นั่นได้ดีจริง ๆ แต่เ้าก็ไล่พวกมันออกไปได้แล้ว ก็อย่าอารมณ์เสียอีกเลยนะ เ้าบอกพี่เองมิใช่หรือว่าอีกไม่นานหน่วยคุ้มกันรุ่นที่สองก็จะพร้อมแล้ว หลังจากนั้นคงไม่มีใครกล้ามาหาเื่ได้อีก และพี่ก็รู้ว่าคนอย่างอันเอ๋อร์ย่อมมีวิธีจัดการอยู่ในหัว ใช่หรือไม่”
“ใช่เ้าค่ะ ข้าย่อมมีวิธีที่ดีอยู่ในหัวแน่นอน ต่อให้คนที่คิดจะเอาเปรียบตระกูลจินของเรา จะมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด ข้าไม่ยอมปล่อยให้คนเ่าั้ทำสำเร็จอย่างที่หวังแน่เ้าค่ะ
อู๋ซู /ไห่หยุนและพวกเว่ยโฉว ได้ฟังคำพูดนี้ของซูอันก็รู้สึกขนหัวลุกแปลก ๆ เมื่อพิจารณาให้ละเอียดกับคำพูดสุดท้าย พวกเขาล้วนคาดเดาว่าหวังเทียนเวิ่นผู้นี้ คงไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้อีกแล้ว
